ไทยไม่ใช่คู่แข่งเวียดนาม? เจาะลึกจุดยืนเศรษฐกิจที่ต่างกัน
บทสนทนาในแวดวงเศรษฐกิจมักมีการเปรียบเทียบประเทศไทยกับเวียดนามในฐานะคู่แข่งสำคัญของภูมิภาคอาเซียนอยู่เสมอ แต่เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดแล้วจะพบว่าทั้งสองประเทศมีโครงสร้างเศรษฐกิจ จุดแข็ง และยุทธศาสตร์การพัฒนาที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ คำถามที่ว่า ไทยไม่ใช่คู่แข่งเวียดนาม? เจาะลึกจุดยืนเศรษฐกิจที่ต่างกัน จึงเป็นประเด็นที่น่าสนใจ เพื่อทำความเข้าใจถึงตำแหน่งที่แท้จริงของทั้งสองชาติในเวทีเศรษฐกิจโลก การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของเวียดนามในด้านการส่งออกและการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ทำให้เกิดการวิเคราะห์ว่าไทยกำลังสูญเสียความสามารถในการแข่งขันหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ไทยยังคงมีความได้เปรียบในอุตสาหกรรมมูลค่าสูงบางประเภท ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการแข่งขันอาจไม่ได้เกิดขึ้นในทุกมิติอย่างที่เข้าใจกัน
ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ
- โครงสร้างเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน: เวียดนามมุ่งเน้นการเติบโตจากการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) และการส่งออกสินค้าที่ได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า ในขณะที่ไทยมีความแข็งแกร่งในอุตสาหกรรมมูลค่าเพิ่มสูง เช่น ยานยนต์และชิ้นส่วน
- ความได้เปรียบด้านการค้า: เวียดนามมีความได้เปรียบทางการแข่งขันด้านการส่งออกอย่างชัดเจน โดยมีข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ที่ครอบคลุมกว่า และมีต้นทุนค่าแรงและพลังงานที่ถูกกว่าไทย ซึ่งส่งผลให้มูลค่าการส่งออกแซงหน้าไทยมาแล้วหลายปีติดต่อกัน
- อัตราการเติบโตและเป้าหมายระยะยาว: เศรษฐกิจเวียดนามเติบโตในอัตราที่สูงกว่าไทยอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการก้าวสู่การเป็นประเทศรายได้สูงภายในปี 2588 พร้อมกับการปฏิรูปโครงสร้างภาครัฐอย่างจริงจัง
- ความท้าทายของประเทศไทย: ไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายในการรักษาความสามารถในการแข่งขัน โดยจำเป็นต้องเร่งปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะด้านดิจิทัลและคมนาคม รวมถึงปฏิรูประบบราชการเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน
ภาพรวมเศรษฐกิจไทย-เวียดนาม: คู่แข่งหรือคู่ค้าในสมรภูมิที่ต่างกัน?
การเปรียบเทียบเศรษฐกิจไทยและเวียดนามเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในบริบทของการแข่งขันในภูมิภาคอาเซียน เนื่องจากทั้งสองประเทศต่างเป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญสำหรับการลงทุนและการตั้งฐานการผลิตของบรรษัทข้ามชาติ ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา เวียดนามได้แสดงศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างน่าทึ่ง จนถูกขนานนามว่าเป็น “เสือตัวใหม่แห่งเอเชีย” และตัวเลขทางเศรษฐกิจหลายด้านก็เริ่มแซงหน้าประเทศไทยไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นมูลค่าการส่งออก หรือปริมาณการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่หลั่งไหลเข้าไปอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม การมองว่าไทยและเวียดนามเป็นคู่แข่งโดยตรงในทุกมิติอาจเป็นการวิเคราะห์ที่ผิวเผินเกินไป เพราะเมื่อเจาะลึกลงไปในรายละเอียดจะพบว่าโมเดลการพัฒนาเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน เวียดนามใช้กลยุทธ์การดึงดูดการลงทุนด้วยต้นทุนการผลิตที่ต่ำ ทั้งค่าแรงและค่าพลังงาน รวมถึงการเปิดเสรีทางการค้าผ่านข้อตกลง FTA จำนวนมาก เพื่อผลักดันภาคการส่งออกให้เป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ในขณะที่เศรษฐกิจไทยมีโครงสร้างที่ซับซ้อนกว่า โดยพึ่งพาทั้งการส่งออก การท่องเที่ยว และการบริโภคภายในประเทศ อีกทั้งยังมีฐานอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งและมีมูลค่าสูงกว่าในบางเซกเตอร์ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน ซึ่งเวียดนามยังไม่สามารถก้าวขึ้นมาทัดเทียมได้ในปัจจุบัน
ดังนั้น การทำความเข้าใจจุดยืนที่แท้จริงของทั้งสองประเทศจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อนักลงทุนและผู้กำหนดนโยบาย เพื่อประเมินโอกาสและความเสี่ยงได้อย่างถูกต้อง แทนที่จะมองภาพเป็นการแข่งขันแบบเอาแพ้เอาชนะเพียงอย่างเดียว การมองในมุมของ “ผู้เล่นในสมรภูมิที่ต่างกัน” อาจให้ภาพที่ชัดเจนกว่า ซึ่งแต่ละประเทศต่างมีจุดแข็งและจุดอ่อนที่ต้องบริหารจัดการ เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันและสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว
เปรียบเทียบตัวชี้วัดสำคัญทางเศรษฐกิจ
เพื่อให้เห็นภาพความแตกต่างของจุดยืนทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและเวียดนามได้ชัดเจนยิ่งขึ้น การพิจารณาจากตัวชี้วัดสำคัญต่างๆ จะช่วยสะท้อนให้เห็นถึงยุทธศาสตร์และศักยภาพของแต่ละประเทศ
ประเด็น | เวียดนาม | ไทย |
---|---|---|
การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) | มีสัดส่วน FDI ต่อ GDP สูงกว่าไทยเกือบเท่าตัว และกำลังเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนอย่างต่อเนื่อง | สัดส่วน FDI ต่อ GDP ต่ำกว่า และมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียโอกาสหากไม่เร่งปรับตัวเพื่อเพิ่มความน่าสนใจในการลงทุน |
การส่งออกและ FTA | มูลค่าการส่งออกแซงหน้าไทยมาแล้ว 6 ปีติดต่อกัน มี FTA 17 ฉบับ ครอบคลุมกว่า 60 ประเทศ ทำให้ได้เปรียบด้านภาษี | มี FTA 16 ฉบับ กับ 23 ประเทศ ทำให้เสียเปรียบในตลาดโลก แต่ยังคงเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ |
การเติบโตของ GDP | เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 มีอัตราการเติบโตสูงถึง 7%+ สะท้อนถึงพลวัตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง | อัตราการเติบโตอยู่ในระดับต่ำกว่า 3% และเผชิญกับความท้าทายเชิงโครงสร้างที่ต้องแก้ไข |
ต้นทุนการผลิต | ได้เปรียบด้านต้นทุนค่าแรงและค่าไฟฟ้าที่ถูกกว่าไทยโดยเฉลี่ย 5-10% ทำให้เป็นฐานการผลิตที่น่าดึงดูด | ต้นทุนการผลิตสูงกว่า ทำให้ต้องแข่งขันด้วยคุณภาพและนวัตกรรมในอุตสาหกรรมมูลค่าเพิ่มสูง |
การบริหารจัดการภาครัฐ | รัฐบาลมีการปฏิรูปโครงสร้าง ลดความซ้ำซ้อนของระบบราชการ และพัฒนาระบบการจัดเก็บภาษีให้มีความชัดเจน โปร่งใส | จำเป็นต้องเร่งปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารจัดการภาครัฐเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน |
การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI)
ตัวชี้วัดที่ชัดเจนที่สุดอย่างหนึ่งคือสัดส่วนการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (FDI to GDP) ซึ่งเวียดนามมีตัวเลขสูงกว่าไทยเกือบเท่าตัว สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อศักยภาพการเติบโตของเวียดนาม รัฐบาลเวียดนามได้ดำเนินนโยบายเชิงรุกในการทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น ทั้งท่าเรือ ถนน และระบบโลจิสติกส์ ควบคู่ไปกับการปฏิรูประบบราชการเพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักลงทุน ซึ่งกลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดเม็ดเงินจากทั่วโลก ในทางกลับกัน ไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายในการดึงดูด FDI ระลอกใหม่ และมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียบทบาทการเป็นศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาคหากไม่มีการปรับตัวอย่างเร่งด่วน
มูลค่าการส่งออกและข้อตกลงการค้าเสรี (FTA)
ในสมรภูมิการส่งออก เวียดนามได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นที่น่าเกรงขาม โดยมีมูลค่าการส่งออกแซงหน้าประเทศไทยมาเป็นเวลา 6 ปีติดต่อกัน ปัจจัยสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือเครือข่ายข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ที่กว้างขวาง โดยเวียดนามมี FTA ถึง 17 ฉบับ ครอบคลุมคู่ค้ากว่า 60 ประเทศทั่วโลก ทำให้สินค้าที่ผลิตในเวียดนามได้เปรียบด้านกำแพงภาษีและสามารถเข้าถึงตลาดขนาดใหญ่ได้ง่ายกว่า ในขณะที่ไทยมี FTA 16 ฉบับ กับคู่ค้าเพียง 23 ประเทศ ทำให้เสียเปรียบในการแข่งขันด้านราคาในตลาดโลกอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ สถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนยังเป็นปัจจัยเร่งให้นักลงทุนย้ายฐานการผลิตมายังเวียดนามเพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการทางภาษี ซึ่งยิ่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับภาคการส่งออกของเวียดนามมากขึ้นไปอีก
อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP Growth)
ความแตกต่างของพลวัตทางเศรษฐกิจสะท้อนผ่านอัตราการเติบโตของ GDP ได้อย่างชัดเจน โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 เศรษฐกิจเวียดนามสามารถขยายตัวได้ในระดับที่สูงกว่า 7% ซึ่งเป็นอัตราที่น่าประทับใจเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของโลก การเติบโตนี้เป็นผลมาจากการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ การปรับปรุงประสิทธิภาพของภาครัฐ และการไหลเข้าของการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ในทางตรงกันข้าม เศรษฐกิจไทยเติบโตในอัตราที่ช้ากว่ามาก คือไม่ถึง 3% และกำลังเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างหลายประการ ทั้งสังคมสูงวัย หนี้ครัวเรือนในระดับสูง และความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง
ต้นทุนการผลิตและโครงสร้างอุตสาหกรรม
ปัจจัยด้านต้นทุนเป็นอีกหนึ่งความได้เปรียบที่สำคัญของเวียดนาม โดยมีต้นทุนค่าแรงและค่าไฟฟ้าโดยเฉลี่ยต่ำกว่าไทยประมาณ 5-10% ทำให้ต้นทุนการผลิตโดยรวมต่ำกว่า ซึ่งดึงดูดอุตสาหกรรมที่เน้นการใช้แรงงานเป็นหลัก (Labor-intensive) เช่น เสื้อผ้า รองเท้า และการประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ แม้ว่าสินค้าในกลุ่มเหล่านี้จะเป็นสินค้าที่ไทยและเวียดนามแข่งขันกันโดยตรง แต่ไทยยังคงรักษาความได้เปรียบในอุตสาหกรรมที่ต้องใช้เทคโนโลยีและทักษะแรงงานขั้นสูง เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน ซึ่งเป็นฐานการผลิตที่แข็งแกร่งและมีห่วงโซ่อุปทานที่ครบวงจร ซึ่งเวียดนามยังต้องใช้เวลาอีกนานในการพัฒนาเพื่อก้าวขึ้นมาแข่งขัน
ยุทธศาสตร์การเติบโตของเวียดนาม: มุ่งสู่การเป็นประเทศรายได้สูง
การเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนามไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากการวางยุทธศาสตร์ระยะยาวที่ชัดเจน โดยรัฐบาลเวียดนามได้ตั้งเป้าหมายที่ท้าทายในการผลักดันประเทศให้ก้าวสู่การเป็นประเทศที่มีรายได้สูงภายในปี 2588 วิสัยทัศน์นี้ถูกขับเคลื่อนผ่านนโยบายและการปฏิรูปในหลายมิติ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุนและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
การปฏิรูปโครงสร้างภาครัฐและระบบราชการ
หนึ่งในกุญแจสำคัญที่ทำให้เวียดนามน่าสนใจในสายตานักลงทุนต่างชาติคือความมุ่งมั่นในการปฏิรูปโครงสร้างภาครัฐ รัฐบาลได้ดำเนินการปรับปรุงระบบราชการอย่างจริงจัง เพื่อลดขั้นตอนที่ซ้ำซ้อนและไม่มีความจำเป็น เพิ่มความโปร่งใส และอำนวยความสะดวกให้กับภาคธุรกิจ การปรับปรุงระบบการจัดเก็บภาษีให้มีความชัดเจนและเป็นธรรมมากขึ้นก็เป็นอีกปัจจัยที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน การปฏิรูปเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดต้นทุนแฝงในการดำเนินธุรกิจ แต่ยังส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าเวียดนามพร้อมที่จะเปิดรับการลงทุนและแข่งขันในเวทีโลกอย่างเต็มที่
ความท้าทายและมุมมองจากนักลงทุน
แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจของเวียดนามจะดูสดใส แต่นักลงทุนบางส่วนก็ยังคงจับตามองความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ในช่วงปีที่ผ่านมา มีปรากฏการณ์ที่นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นในตลาดเวียดนาม ซึ่งสร้างความกังวลอยู่บ้าง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนไทยหลายรายที่เข้าไปลงทุนในเวียดนามยังคงมีมุมมองที่เป็นบวก โดยชี้ว่าพื้นฐานเศรษฐกิจของเวียดนามยังคงแข็งแกร่ง และกำลังซื้อของผู้บริโภคภายในประเทศก็เริ่มฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัดหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19
อย่างไรก็ดี ยังมีความกังวลในหมู่นักวิเคราะห์บางกลุ่มว่าประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของไทยในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 ซึ่งเกิดจากการเติบโตที่ร้อนแรงเกินไป อาจเกิดขึ้นซ้ำรอยกับเวียดนามได้หรือไม่ ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องติดตามและประเมินความเสี่ยงอย่างรอบคอบในระยะยาว
จุดยืนของประเทศไทย: ความท้าทายบนความได้เปรียบเดิม
ในขณะที่เวียดนามกำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยเองก็กำลังอยู่บนทางแยกที่สำคัญ แม้จะเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน แต่ไทยก็ยังคงมีจุดแข็งและความได้เปรียบเดิมที่สามารถนำมาต่อยอดได้ หากมีการปรับตัวและวางยุทธศาสตร์ที่ถูกต้อง
อุตสาหกรรมยานยนต์: ป้อมปราการที่ยังแข็งแกร่ง
อุตสาหกรรมที่ถือเป็นจุดแข็งที่ชัดเจนที่สุดของไทยคืออุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น “ดีทรอยต์แห่งเอเชีย” มาอย่างยาวนาน ประเทศไทยมีระบบนิเวศของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่สมบูรณ์ ตั้งแต่ผู้ผลิตรถยนต์แบรนด์ชั้นนำของโลก ไปจนถึงผู้ผลิตชิ้นส่วนในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ที่มีความเชี่ยวชาญและคุณภาพเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน ทักษะแรงงาน และเครือข่ายซัพพลายเออร์ที่แข็งแกร่งนี้ เป็นสิ่งที่เวียดนามยังไม่สามารถสร้างขึ้นมาทัดเทียมได้ในระยะเวลาอันสั้น ความได้เปรียบในอุตสาหกรรมมูลค่าสูงนี้จึงเป็นปราการสำคัญที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยและเป็นฐานในการต่อยอดไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในอนาคต
ความจำเป็นในการปรับตัวและยกระดับ
อย่างไรก็ตาม การพึ่งพาเพียงความได้เปรียบเดิมอาจไม่เพียงพออีกต่อไปในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียบทบาทสำคัญทางเศรษฐกิจในภูมิภาค หากไม่เร่งปรับตัวและลงทุนเพิ่มเติมเพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขัน ความท้าทายสำคัญคือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้ทันสมัย โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและระบบคมนาคมขนส่ง เพื่อรองรับเศรษฐกิจยุคใหม่และลดต้นทุนโลจิสติกส์ให้กับภาคธุรกิจ นอกจากนี้ การปฏิรูประบบราชการให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตอบสนองต่อความต้องการของภาคเอกชนได้อย่างรวดเร็ว ถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยรักษาและดึงดูดการลงทุนให้คงอยู่ในประเทศไทยต่อไป การมุ่งเน้นส่งเสริมอุตสาหกรรมมูลค่าเพิ่มสูงอื่นๆ นอกเหนือจากยานยนต์ เช่น อุตสาหกรรมดิจิทัล การแพทย์ขั้นสูง และเทคโนโลยีชีวภาพ จะเป็นหนทางในการสร้างเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจตัวใหม่และกระจายความเสี่ยงในระยะยาว
บทสรุป: ไทยและเวียดนามบนเส้นทางเศรษฐกิจที่แตกต่าง
จากข้อมูลทั้งหมดสามารถสรุปได้ว่า ไทยและเวียดนามมิใช่คู่แข่งที่เหมือนกันทุกประการ แต่เป็นผู้เล่นทางเศรษฐกิจที่มีกลยุทธ์และจุดยืนที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน เวียดนามเลือกใช้โมเดลการเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยการดึงดูด FDI และการส่งออก โดยอาศัยความได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิตที่ต่ำและเครือข่ายข้อตกลงการค้าเสรีที่กว้างขวางเป็นอาวุธสำคัญ ในขณะที่ประเทศไทยยังคงรักษาความแข็งแกร่งในอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูงและใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อน เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์
การแข่งขันระหว่างสองประเทศจึงไม่ได้เกิดขึ้นในทุกสมรภูมิ แต่เป็นการแข่งขันในบางกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น อิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้า และปิโตรเคมี สำหรับประเทศไทย ความท้าทายที่สำคัญในปัจจุบันไม่ใช่การแข่งขันกับเวียดนามโดยตรงเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการแข่งขันกับตัวเองเพื่อที่จะปรับตัวและยกระดับโครงสร้างเศรษฐกิจให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก การวางแผนพัฒนาที่มุ่งเน้นอุตสาหกรรมดิจิทัลและอุตสาหกรรมมูลค่าเพิ่มสูง ควบคู่ไปกับการปรับปรุงประสิทธิภาพภาครัฐและเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน จะเป็นปัจจัยชี้ขาดที่จะกำหนดทิศทางและความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจไทยในอนาคต การทำความเข้าใจจุดแข็งและจุดอ่อนของทั้งตนเองและประเทศเพื่อนบ้าน จะนำไปสู่การกำหนดนโยบายและกลยุทธ์ทางธุรกิจที่เหมาะสม เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียนที่มีพลวัตสูงต่อไป