“`html
ของต้องสำแดง 2567 รู้ไว้ก่อนโดนปรับที่กรมศุลกากร
- สรุปประเด็นสำคัญสำหรับนักเดินทาง
- ความสำคัญของการสำแดงสิ่งของเมื่อเดินทางเข้าประเทศ
- เจาะลึก ของต้องสำแดง 2567 คืออะไร
- ช่องเขียว-ช่องแดง: เส้นทางที่ต้องเลือกให้ถูกต้องที่สนามบิน
- กฎระเบียบเฉพาะด้านที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ
- บทลงโทษ กรณีหลีกเลี่ยงหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายศุลกากร
- สรุปแนวทางปฏิบัติเพื่อการเดินทางที่ราบรื่น
การเดินทางกลับเข้าประเทศไทยหลังจากการท่องเที่ยวหรือทำธุรกิจในต่างแดน เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น แต่สิ่งหนึ่งที่นักเดินทางทุกคนต้องให้ความสำคัญคือขั้นตอนการผ่านพิธีการศุลกากร โดยเฉพาะความเข้าใจเกี่ยวกับ ของต้องสำแดง 2567 ซึ่งเป็นข้อบังคับสำคัญที่กรมศุลกากรได้กำหนดไว้ การทราบข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบันจะช่วยให้การเดินทางกลับเป็นไปอย่างราบรื่น ปราศจากปัญหายุ่งยาก การเสียค่าปรับที่ไม่จำเป็น หรือแม้กระทั่งการถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
สรุปประเด็นสำคัญสำหรับนักเดินทาง
เพื่อความสะดวกและรวดเร็วในการทำความเข้าใจ นี่คือประเด็นหลักที่ผู้เดินทางทุกคนควรทราบเกี่ยวกับกฎระเบียบของกรมศุลกากรในปี 2567:
- ของต้องสำแดงคืออะไร: คือสิ่งของที่ต้องแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากรที่ช่องแดง (Goods to Declare) ซึ่งรวมถึงของที่มีมูลค่าเกิน 20,000 บาท, ของที่มีปริมาณเกินกว่าการใช้ส่วนตัว, ของต้องห้าม และของต้องกำกัด
- ช่องเขียว vs ช่องแดง: หากไม่มีของต้องสำแดง สามารถเดินผ่านช่องเขียว (Nothing to Declare) ได้ทันที แต่หากมีของต้องสำแดง หรือไม่แน่ใจ ต้องเดินเข้าช่องแดงเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบและประเมินภาษีนำเข้า
- บทลงโทษรุนแรง: การพยายามลักลอบนำของต้องสำแดงผ่านช่องเขียว หรือสำแดงข้อมูลเท็จ ถือเป็นความผิดร้ายแรง อาจมีโทษปรับสูงสุดถึง 4 เท่าของราคาสินค้ารวมอากร และ/หรือจำคุกไม่เกิน 10 ปี
- เงินตราต่างประเทศ: การนำเงินตราต่างประเทศหรือตราสารเปลี่ยนมือมีมูลค่ารวมเกิน 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือเทียบเท่า ต้องสำแดงต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากร มิฉะนั้นจะถือเป็นความผิดทางอาญา
- ความไม่แน่ใจ: หากไม่มั่นใจว่าสิ่งของที่นำเข้ามานั้นจัดอยู่ในประเภทใด ควรเลือกเข้าช่องแดงเพื่อสอบถามและสำแดงต่อเจ้าหน้าที่เสมอ ซึ่งเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมาย
ความสำคัญของการสำแดงสิ่งของเมื่อเดินทางเข้าประเทศ
กฎระเบียบศุลกากรถูกสร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์หลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการปกป้องเศรษฐกิจภายในประเทศจากการนำเข้าสินค้าที่อาจส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตในท้องถิ่น การควบคุมความปลอดภัยและสาธารณสุขโดยการจำกัดการนำเข้าสินค้าอันตรายหรือสารปนเปื้อน และการจัดเก็บภาษีอากรเพื่อเป็นรายได้ของรัฐสำหรับนำไปพัฒนาประเทศ การสำแดงสิ่งของจึงเป็นหน้าที่ของผู้เดินทางทุกคนที่ต้องปฏิบัติตาม
กฎระเบียบนี้มีผลบังคับใช้กับบุคคลทุกคนที่เดินทางเข้าสู่ราชอาณาจักรไทย ไม่ว่าจะเป็นพลเมืองไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ หรือผู้ที่เดินทางมาเพื่อวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ การละเลยหรือไม่ให้ความสำคัญกับข้อกำหนดเหล่านี้อาจนำไปสู่ผลกระทบที่รุนแรงกว่าที่คาดคิด ตั้งแต่การถูกยึดสิ่งของ การเสียค่าปรับจำนวนมาก ไปจนถึงการมีประวัติอาชญากรรม ซึ่งอาจส่งผลต่อการเดินทางในอนาคตได้
เจาะลึก ของต้องสำแดง 2567 คืออะไร
เพื่อให้สามารถปฏิบัติตามกฎระเบียบได้อย่างถูกต้อง การทำความเข้าใจนิยามและประเภทของ “ของต้องสำแดง” ถือเป็นหัวใจสำคัญที่สุด
นิยามและหลักการพื้นฐาน
ของต้องสำแดง (Goods to Declare) หมายถึง สิ่งของใดๆ ที่ผู้โดยสารนำติดตัวเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งตามกฎหมายศุลกากรกำหนดให้ต้องมีการแจ้งหรือแสดงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ศุลกากร ณ ช่องตรวจสีแดง เพื่อผ่านกระบวนการตรวจสอบ ประเมินอากร หรือขอใบอนุญาตนำเข้าตามประเภทของสินค้านั้นๆ หลักการสำคัญคือการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถประเมินและดำเนินการตามขั้นตอนได้อย่างถูกต้อง
ประเภทของที่เข้าข่ายต้องสำแดง
สิ่งของที่เข้าข่ายเป็นของต้องสำแดงสามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ดังนี้:
-
ของที่ต้องชำระอากร (Goods Subject to Duties and Taxes)
กลุ่มนี้คือสินค้าที่ผู้เดินทางนำเข้ามาและมีมูลค่าหรือปริมาณเกินกว่าเกณฑ์ที่ได้รับการยกเว้นอากร ซึ่งโดยทั่วไปได้แก่:
- ของใช้ส่วนตัวที่มีมูลค่ารวมกันเกิน 20,000 บาท (ไม่รวมของใช้ส่วนตัวที่ใช้แล้วระหว่างเดินทาง)
- สินค้าที่มีลักษณะเป็นการค้า แม้จะมีมูลค่าไม่เกิน 20,000 บาท
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เกินกว่า 1 ลิตร
- บุหรี่ ยาเส้น หรือซิการ์ ที่มีปริมาณรวมกันเกิน 200 มวน (สำหรับบุหรี่) หรือน้ำหนักเกิน 250 กรัม (สำหรับยาเส้น/ซิการ์)
การช้อปปิ้งต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าแบรนด์เนม นาฬิกา เครื่องสำอาง หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หากมีมูลค่ารวมเกินเกณฑ์ที่กำหนด จะต้องถูกนำมาคำนวณภาษีนำเข้าทั้งหมด
-
ของต้องห้าม (Prohibited Goods)
คือของที่กฎหมายห้ามมิให้นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยเด็ดขาด การนำเข้าของเหล่านี้ถือเป็นความผิดร้ายแรง มีโทษทั้งจำและปรับ ของต้องห้ามที่สำคัญ ได้แก่:
- สารเสพติดให้โทษทุกชนิด
- วัตถุลามกอนาจาร
- สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ เช่น ซอฟต์แวร์ปลอม หรือสินค้าลอกเลียนแบบเครื่องหมายการค้า
- ธนบัตรหรือเหรียญกษาปณ์ปลอม
- สัตว์ป่าสงวนหรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากสัตว์ป่าคุ้มครองตามอนุสัญญา CITES
-
ของต้องกำกัด (Restricted Goods)
คือของที่การนำเข้าต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องก่อนนำเข้ามาในประเทศ หากไม่มีใบอนุญาตจะไม่สามารถนำเข้าได้ และอาจถูกยึดหรือดำเนินคดี
การนำเข้าของต้องกำกัดโดยไม่มีใบอนุญาตที่ถูกต้อง อาจทำให้สิ่งของถูกยึดไว้ที่กรมศุลกากรจนกว่าจะนำใบอนุญาตมาแสดงได้ หรืออาจถูกส่งกลับไปยังประเทศต้นทาง หรือถูกทำลายตามระเบียบ
ประเภทของต้องกำกัด หน่วยงานที่รับผิดชอบ (ตัวอย่าง) ยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เครื่องสำอาง สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) อาวุธปืน เครื่องกระสุน วัตถุระเบิด กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย พืชและส่วนต่างๆ ของพืช กรมวิชาการเกษตร สัตว์มีชีวิตและซากสัตว์ กรมปศุสัตว์ พระพุทธรูป ศิลปวัตถุ โบราณวัตถุ กรมศิลปากร เครื่องมือวิทยุคมนาคม โดรน สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
ช่องเขียว-ช่องแดง: เส้นทางที่ต้องเลือกให้ถูกต้องที่สนามบิน
เมื่อเดินทางมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิหรือสนามบินนานาชาติอื่นๆ ในประเทศไทย หลังจากรับกระเป๋าสัมภาระแล้ว ผู้เดินทางจะต้องเลือกเดินผ่านช่องตรวจศุลกากร ซึ่งมี 2 ช่องทางหลักที่มีความหมายแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ช่องเขียว (Nothing to Declare)
ช่องทางนี้สงวนไว้สำหรับผู้โดยสารที่มั่นใจว่าตนเอง ไม่มี ของต้องสำแดง ของต้องห้าม หรือของต้องกำกัดใดๆ ติดตัวมาเลย ซึ่งหมายความว่า:
- ของที่นำมาทั้งหมดเป็นของใช้ส่วนตัวตามสมควร
- มูลค่าของใช้ส่วนตัวที่ซื้อจากต่างประเทศ (ไม่นับของที่ใช้แล้ว) รวมกันแล้วไม่เกิน 20,000 บาท
- ไม่มีสินค้าที่มีลักษณะทางการค้า
- ไม่ได้นำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ หรือซิการ์เกินปริมาณที่กฎหมายกำหนด
การเดินผ่านช่องเขียวเปรียบเสมือนการยืนยันกับเจ้าหน้าที่ว่าได้ปฏิบัติตามกฎหมายศุลกากรทุกประการ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ศุลกากรมีอำนาจในการสุ่มตรวจผู้โดยสารที่ผ่านช่องเขียวได้ หากตรวจพบว่ามีการลักลอบนำของต้องสำแดงเข้ามา จะถือว่ามีเจตนาหลีกเลี่ยงกฎหมายและต้องเผชิญกับบทลงโทษที่รุนแรง
ช่องแดง (Goods to Declare)
ช่องทางนี้สำหรับผู้โดยสารที่อยู่ในกรณีดังต่อไปนี้:
- มีของที่ต้องชำระอากร (มูลค่าเกิน 20,000 บาท หรือปริมาณเกินกำหนด)
- มีของต้องกำกัด ซึ่งต้องแสดงใบอนุญาตนำเข้าต่อเจ้าหน้าที่
- มีสินค้าที่มีลักษณะทางการค้า หรือเพื่อการพาณิชย์
- ไม่แน่ใจ ว่าสิ่งของที่นำติดตัวมานั้นต้องสำแดงหรือไม่
การเลือกเข้าช่องแดงเป็นการแสดงความสุจริตใจ และเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุดหากมีความไม่แน่นอนใดๆ เจ้าหน้าที่จะให้คำแนะนำและช่วยเหลือในการประเมินสิ่งของ หากพบว่าเป็นของที่ต้องชำระภาษี เจ้าหน้าที่จะคำนวณภาษีนำเข้าตามพิกัดอัตราศุลกากร และผู้โดยสารสามารถชำระภาษีและนำของออกจากสนามบินได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
กฎระเบียบเฉพาะด้านที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ
การสำแดงเงินตราต่างประเทศ
นอกเหนือจากสินค้าทั่วไปแล้ว การนำเงินตราเข้า-ออกประเทศก็มีข้อกำหนดที่ชัดเจนเช่นกัน ตามกฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หากผู้เดินทางนำเงินตราต่างประเทศที่เป็นธนบัตรหรือเหรียญกษาปณ์ หรือตราสารเปลี่ยนมือ (เช่น เช็คเดินทาง) เข้ามาหรือนำออกจากประเทศไทย โดยมีมูลค่ารวมกัน เกินกว่า 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือเทียบเท่าในสกุลเงินอื่น จะต้องสำแดงรายการเงินตรานั้นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ศุลกากร ณ ช่องตรวจ
การไม่สำแดง หรือสำแดงรายการเป็นเท็จ ถือเป็นความผิดทางอาญา ซึ่งอาจนำไปสู่การยึดเงินตราดังกล่าวและถูกดำเนินคดีตามกฎหมายได้ มาตรการนี้มีขึ้นเพื่อป้องกันการฟอกเงินและการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย
สินค้านำเข้าทางไปรษณีย์ระหว่างประเทศ
สำหรับผู้ที่สั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศและจัดส่งมาทางไปรษณีย์หรือบริษัทขนส่งด่วน กฎระเบียบศุลกากรก็มีผลบังคับใช้เช่นกัน โดยมีหลักเกณฑ์ที่สำคัญคือ หากสินค้าที่นำเข้ามาในคราวเดียวกันมีราคา FOB (Free On Board) รวมกันเกิน 40,000 บาท ผู้รับจะต้องจัดทำใบขนสินค้าขาเข้าและปฏิบัติพิธีการศุลกากรอย่างเป็นทางการ
หากไม่ดำเนินการให้ถูกต้อง สินค้าอาจถูกกักไว้ที่ด่านศุลกากร และผู้รับอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการดำเนินการทางเอกสารและค่าจัดเก็บสินค้า นอกจากนี้ สินค้าทุกชิ้นที่นำเข้ายังคงต้องเสียภาษีอากรตามประเภทและมูลค่า เว้นแต่จะเข้าข่ายได้รับการยกเว้นตามที่กฎหมายกำหนด (เช่น ของที่มีราคาไม่เกิน 1,500 บาท)
บทลงโทษ กรณีหลีกเลี่ยงหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายศุลกากร
การเพิกเฉยต่อกฎระเบียบศุลกากรอาจนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่รุนแรงกว่าการเสียภาษีหลายเท่าตัว กฎหมายได้กำหนดบทลงโทษที่ชัดเจนสำหรับผู้ที่พยายามหลีกเลี่ยง
อัตราโทษตามกฎหมาย
ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 การกระทำผิดเกี่ยวกับการลักลอบหนีศุลกากร เช่น การนำของที่ยังไม่ผ่านพิธีการศุลกากรเข้ามาโดยไม่สำแดง หรือการสำแดงข้อมูลเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงอากร มีบทลงโทษที่หนักหน่วงดังนี้:
- โทษปรับ: อาจถูกปรับเป็นเงินสูงสุดถึง 4 เท่าของราคาสิ่งของนั้นๆ รวมกับค่าอากรที่ต้องชำระ
- โทษจำคุก: อาจต้องโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี
- ทั้งจำทั้งปรับ: ศาลอาจพิจารณาลงโทษทั้งจำคุกและปรับควบคู่กันไป
นอกจากนี้ สิ่งของที่ใช้ในการกระทำความผิด เช่น สินค้าที่ลักลอบนำเข้า จะถูกริบเป็นของแผ่นดินทันที
ผลกระทบที่ตามมาจากการถูกดำเนินคดี
นอกเหนือจากค่าปรับและโทษจำคุก การถูกดำเนินคดีศุลกากรยังสร้างผลกระทบอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดี การมีประวัติอาชญากรรมซึ่งอาจส่งผลต่อการสมัครงานหรือการขอวีซ่าเดินทางไปต่างประเทศในอนาคต และความยุ่งยากในการดำเนินชีวิตประจำวัน ความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงไม่คุ้มค่าอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับการปฏิบัติตามกฎหมายให้ถูกต้องตั้งแต่แรก
สรุปแนวทางปฏิบัติเพื่อการเดินทางที่ราบรื่น
การทำความเข้าใจเรื่อง ของต้องสำแดง 2567 เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคนที่เดินทางเข้าประเทศไทย เพื่อให้การเดินทางกลับบ้านหรือการมาเยือนเป็นไปอย่างราบรื่นและปราศจากปัญหาที่ด่านศุลกากร ควรยึดถือแนวทางปฏิบัติต่อไปนี้อย่างเคร่งครัด:
- วางแผนก่อนซื้อ: ก่อนซื้อสินค้าราคาสูงจากต่างประเทศ ควรคำนวณมูลค่ารวมและตรวจสอบว่าเกินเกณฑ์ 20,000 บาทหรือไม่ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการชำระภาษี
- ตรวจสอบรายการสินค้า: สำรวจสิ่งของในกระเป๋าเดินทางอีกครั้งก่อนถึงด่านศุลกากร เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีของต้องห้ามหรือของต้องกำกัดที่ไม่มีใบอนุญาต
- เก็บใบเสร็จรับเงิน: ควรเก็บใบเสร็จของสินค้าที่ซื้อมา เพื่อใช้เป็นหลักฐานแสดงมูลค่าที่แท้จริงต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากร
- เลือกช่องทางที่ถูกต้อง: ประเมินสิ่งของของตนเองอย่างตรงไปตรงมา และเลือกเดินเข้าช่องเขียวหรือช่องแดงให้สอดคล้องกับความเป็นจริง
- สำแดงเมื่อไม่แน่ใจ: หากมีข้อสงสัยแม้เพียงเล็กน้อย การเดินเข้าช่องแดงเพื่อสอบถามเจ้าหน้าที่คือทางออกที่ดีและปลอดภัยที่สุด
การปฏิบัติตามกฎระเบียบของกรมศุลกากรไม่เพียงแต่เป็นหน้าที่ของพลเมืองที่ดี แต่ยังเป็นการปกป้องตนเองจากความเสี่ยงทางกฎหมายและค่าปรับจำนวนมหาศาล การเตรียมตัวที่ดีและความซื่อสัตย์ในการสำแดงข้อมูล จะทำให้ทุกการเดินทางสิ้นสุดลงด้วยความสบายใจ
“`