ด่วน! ครม. ไฟเขียว ลดหย่อนภาษีรอบใหม่ ใครได้บ้าง?
คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบชุดมาตรการลดหย่อนภาษีรอบใหม่สำหรับปี 2568 เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ มาตรการดังกล่าวครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย ตั้งแต่ผู้บริโภคทั่วไปไปจนถึงกลุ่มผู้ประกอบการและบุคลากรทักษะสูง โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มกำลังซื้อ สนับสนุนธุรกิจท้องถิ่น และส่งเสริมอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ของประเทศ
สรุปประเด็นสำคัญของมาตรการภาษี 2568
- Easy e-Receipt 2.0: มอบสิทธิ์ลดหย่อนภาษีสูงสุด 50,000 บาท สำหรับการซื้อสินค้าและบริการภายในประเทศ ผ่านใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax invoice & e-Receipt) เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายช่วงต้นปี
- สิทธิประโยชน์สำหรับคนไทยทักษะสูง: ลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่ายเหลือ 17% สำหรับผู้เชี่ยวชาญชาวไทยที่กลับมาทำงานในประเทศ เพื่อดึงดูดบุคลากรคุณภาพสูงกลับสู่มาตุภูมิ
- ส่งเสริม Soft Power: เพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษีสำหรับการซื้องานศิลปะเป็น 100,000 บาท และปรับเพิ่มอัตราการหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาสำหรับศิลปินเป็น 60% อย่างถาวร เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์
- เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์: นโยบายทั้งหมดมุ่งเน้นการสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ สนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว
ส่วนนำ: ล่าสุดเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2568 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้ประกาศข่าวดีสำหรับผู้เสียภาษีบุคคลธรรมดาและภาคธุรกิจ ด้วยการอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ผ่านนโยบายภาษีสำหรับปี 2568 คำถามที่สำคัญคือ ด่วน! ครม. ไฟเขียว ลดหย่อนภาษีรอบใหม่ ใครได้บ้าง? บทความนี้จะทำการวิเคราะห์และแจกแจงรายละเอียดของแต่ละมาตรการอย่างครบถ้วน เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถทำความเข้าใจเงื่อนไข สิทธิประโยชน์ และเตรียมความพร้อมในการใช้สิทธิ์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ นับเป็นนโยบายสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อประชากรในวงกว้าง และสะท้อนทิศทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภาครัฐในปีถัดไป
ภาพรวมนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลดหย่อนภาษี
มาตรการลดหย่อนภาษีถือเป็นเครื่องมือทางการคลังที่รัฐบาลนิยมใช้เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ทางเศรษฐกิจที่หลากหลาย สำหรับรอบปี 2568 นี้ นโยบายที่ออกมามีความชัดเจนในการมุ่งเน้นเป้าหมาย 3 ประการหลัก ได้แก่ การกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศระยะสั้น, การดึงดูดบุคลากรทักษะสูงเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย, และการส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ หรือ Soft Power อย่างเป็นรูปธรรม
ความสำคัญของมาตรการเหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การลดภาระภาษีให้กับประชาชนเท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณเชิงนโยบายที่ชัดเจนไปยังภาคส่วนต่างๆ เช่น การผลักดันให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นผ่านโครงการ Easy e-Receipt, การสร้างแรงจูงใจให้บริษัทชั้นนำลงทุนจ้างงานบุคลากรคุณภาพสูงในประเทศ และการยอมรับในคุณค่าทางเศรษฐกิจของอุตสาหกรรมศิลปะและวัฒนธรรม ดังนั้น ผู้เสียภาษีทุกคน ตั้งแต่พนักงานบริษัท ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ไปจนถึงนักลงทุนและศิลปิน ล้วนเป็นกลุ่มที่ควรให้ความสนใจและศึกษารายละเอียดของนโยบายเหล่านี้อย่างใกล้ชิด เพื่อวางแผนทางการเงินและภาษีของตนเองให้สอดคล้องและเกิดประโยชน์สูงสุด
เจาะลึกมาตรการลดหย่อนภาษี Easy e-Receipt 2.0
มาตรการ Easy e-Receipt 2.0 เป็นมาตรการที่ส่งผลกระทบในวงกว้างที่สุด เนื่องจากเกี่ยวข้องโดยตรงกับพฤติกรรมการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของประชาชนผู้มีเงินได้ทุกคน โดยเป็นการต่อยอดจากโครงการที่เคยประสบความสำเร็จในอดีต แต่มีการปรับปรุงเงื่อนไขเพื่อให้ครอบคลุมและส่งเสริมเป้าหมายเฉพาะเจาะจงมากขึ้น
นิยามและหลักการทำงาน
Easy e-Receipt 2.0 คือ สิทธิในการนำค่าใช้จ่ายจากการซื้อสินค้าหรือบริการจากผู้ประกอบการที่จดทะเบียนในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หรือผู้ขายที่สามารถออกใบรับอิเล็กทรอนิกส์ได้ มาหักออกจากเงินได้พึงประเมินก่อนการคำนวณภาษี โดยมีเงื่อนไขสำคัญคือ ต้องได้รับหลักฐานเป็น ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) หรือ ใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) เท่านั้น
หลักการทำงานของมาตรการนี้คือการสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้าจากร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ชาติในการขับเคลื่อนสู่เศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) ทำให้ภาครัฐสามารถจัดเก็บข้อมูลการซื้อขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และลดต้นทุนการบริหารจัดการภาษีในระยะยาว ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคก็จะได้รับประโยชน์กลับคืนในรูปแบบของการประหยัดภาษี
เงื่อนไขและวงเงินลดหย่อนสูงสุด 50,000 บาท
มาตรการนี้กำหนดระยะเวลาการใช้จ่ายไว้อย่างชัดเจน คือตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2568 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2568 โดยวงเงินลดหย่อนสูงสุด 50,000 บาทต่อคน ได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้
ส่วนที่ 1: ลดหย่อนตามจริงไม่เกิน 30,000 บาท
ส่วนนี้ครอบคลุมการซื้อสินค้าและบริการทั่วไปจากผู้ประกอบการที่สามารถออก e-Tax Invoice หรือ e-Receipt ได้ ตัวอย่างเช่น:
- การซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์ หรือสมาร์ทโฟนจากร้านค้าขนาดใหญ่
- การรับประทานอาหารในร้านอาหารที่จดทะเบียน VAT และมีระบบออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์
- การใช้บริการศูนย์บริการรถยนต์ ซ่อมแซมอุปกรณ์ต่างๆ
- การซื้อเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน
- การซื้อสินค้าจากห้างสรรพสินค้าหรือซูเปอร์มาร์เก็ต
ส่วนที่ 2: ลดหย่อนเพิ่มเติมอีกไม่เกิน 20,000 บาท
ส่วนที่สองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนเศรษฐกิจฐานรากและกิจการเพื่อสังคมโดยเฉพาะ โดยค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ต้องมาจากการซื้อสินค้าหรือบริการจากกลุ่มผู้ประกอบการต่อไปนี้เท่านั้น:
- สินค้า OTOP (หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์): ต้องเป็นสินค้าที่ได้ลงทะเบียนกับกรมการพัฒนาชุมชนแล้ว
- สินค้าจากวิสาหกิจชุมชน: ต้องเป็นวิสาหกิจชุมชนที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย
- สินค้าและบริการจากวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise): ต้องเป็นกิจการที่จดทะเบียนเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมตามพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. 2562
การแบ่งวงเงินเป็นสองส่วนเช่นนี้ เป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดในการกระจายเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ให้กระจุกตัวอยู่แค่ในกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ แต่ยังส่งเสริมให้ผู้บริโภคหันมาอุดหนุนสินค้าท้องถิ่นและกิจการที่สร้างประโยชน์ต่อสังคมมากขึ้น
สินค้าและบริการที่ไม่สามารถใช้สิทธิ์ได้
เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของมาตรการ จึงมีการกำหนดรายการสินค้าและบริการบางประเภทที่ไม่สามารถนำมาใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งโดยทั่วไปจะอ้างอิงตามแนวปฏิบัติของโครงการลักษณะเดียวกันในปีก่อนๆ ได้แก่:
- ค่าซื้อสุรา เบียร์ และไวน์
- ค่าซื้อยาสูบ
- ค่าน้ำมันและก๊าซสำหรับเติมยานพาหนะ
- ค่าสาธารณูปโภค เช่น ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ค่าบริการโทรศัพท์ และค่าบริการอินเทอร์เน็ต
- ค่าเบี้ยประกันวินาศภัยและประกันชีวิต
- ค่าซื้อรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเรือ
- ค่าที่พักโรงแรม (เนื่องจากอาจมีมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวแยกต่างหาก)
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและผู้บริโภค
ในมุมของผู้บริโภค มาตรการนี้ช่วยลดภาระภาษีได้อย่างเป็นรูปธรรม จำนวนเงินภาษีที่ประหยัดได้จะขึ้นอยู่กับฐานภาษีของแต่ละบุคคล ตัวอย่างเช่น หากบุคคลมีฐานภาษี 20% และใช้สิทธิ์ลดหย่อนเต็มจำนวน 50,000 บาท จะสามารถประหยัดภาษีได้ถึง 10,000 บาท (50,000 x 20%)
สำหรับภาคธุรกิจ โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SME การเข้าร่วมระบบ e-Tax Invoice & e-Receipt จะกลายเป็นข้อได้เปรียบทางการแข่งขันในช่วงเวลาดังกล่าว เพราะผู้บริโภคมีแนวโน้มจะเลือกซื้อสินค้าจากร้านค้าที่สามารถให้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีได้ ในภาพรวมของเศรษฐกิจ คาดว่ามาตรการนี้จะช่วยอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสแรกของปี 2568 ทำให้เกิดการจ้างงานและการผลิตเพิ่มขึ้น และส่งผลดีต่ออัตราการเติบโตของ GDP โดยรวม
ดึงคนเก่งกลับบ้าน: สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับคนไทยในต่างแดน
อีกหนึ่งมาตรการที่น่าจับตามองและมีเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ในระยะยาว คือนโยบายส่งเสริมให้คนไทยที่มีทักษะและความเชี่ยวชาญสูงที่ทำงานอยู่ในต่างประเทศ กลับมาทำงานและพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศไทย เพื่อแก้ไขปัญหาภาวะสมองไหล (Brain Drain) และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
เป้าหมายและยุทธศาสตร์ของมาตรการ
รัฐบาลเล็งเห็นว่า การพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ (S-Curve) เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV), เทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI), การแพทย์ขั้นสูง และเทคโนโลยีชีวภาพ จำเป็นต้องอาศัยบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะทาง ซึ่งปัจจุบันมีคนไทยจำนวนมากที่ประสบความสำเร็จในสาขาเหล่านี้ในต่างประเทศ มาตรการนี้จึงถูกออกแบบมาเพื่อเป็น “แม่เหล็ก” ดึงดูดบุคลากรกลุ่มนี้ให้กลับมาเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ
รายละเอียดสิทธิประโยชน์ทางภาษี
สิทธิประโยชน์ที่มอบให้มีความน่าสนใจอย่างยิ่ง โดยแบ่งเป็น 2 ส่วนหลักสำหรับพนักงานและนายจ้าง:
- สำหรับพนักงาน (คนไทยทักษะสูง): ได้รับสิทธิ์เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในรูปแบบภาษีหัก ณ ที่จ่าย (Withholding Tax) ในอัตราคงที่เพียง 17% ของรายได้ ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับอัตราภาษีแบบขั้นบันไดปกติที่สูงสุดถึง 35% ทำให้ผู้มีรายได้สูงได้รับเงินได้สุทธิหลังหักภาษีเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
- สำหรับนายจ้าง (บริษัทผู้ว่าจ้าง): สามารถนำรายจ่ายเงินเดือนของพนักงานกลุ่มนี้ไปหักเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีได้ถึง 1.5 เท่าของจำนวนที่จ่ายจริง ซึ่งเป็นการลดภาระภาษีเงินได้นิติบุคคลให้กับบริษัท และสร้างแรงจูงใจให้เกิดการจ้างงานบุคลากรกลุ่มนี้มากขึ้น
ตัวอย่างเช่น หากบริษัทจ้างผู้เชี่ยวชาญกลับมาจากต่างประเทศด้วยเงินเดือน 200,000 บาทต่อเดือน พนักงานจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายเพียง 34,000 บาท (17%) ในขณะที่บริษัทสามารถนำเงินเดือน 200,000 บาท ไปบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายทางบัญชีได้ถึง 300,000 บาท (200,000 x 1.5) เพื่อใช้คำนวณภาษีนิติบุคคล
ผลประโยชน์สำหรับภาคธุรกิจและเศรษฐกิจโดยรวม
มาตรการนี้คาดว่าจะส่งผลดีในหลายมิติ เริ่มตั้งแต่การยกระดับความสามารถของภาคเอกชนไทย โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและนวัตกรรม การกลับมาของบุคลากรเหล่านี้ไม่เพียงแต่นำมาซึ่งความรู้และทักษะ แต่ยังรวมถึงเครือข่ายและประสบการณ์การทำงานในระดับสากล ซึ่งจะช่วยเร่งกระบวนการถ่ายทอดเทคโนโลยี (Technology Transfer) และสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ภายในประเทศ ในระยะยาว การมีฐานบุคลากรที่แข็งแกร่งจะดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) และทำให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมเป้าหมายในภูมิภาคได้
ขับเคลื่อน Soft Power ไทยผ่านนโยบายภาษี
รัฐบาลชุดปัจจุบันได้ให้ความสำคัญกับการผลักดัน “Soft Power” ของไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับโลก ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่แค่มิติทางวัฒนธรรม แต่ยังมองถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจด้วย ดังนั้น มาตรการทางภาษีจึงถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือสนับสนุนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ โดยเฉพาะในแวดวงศิลปะ
ความสำคัญของ Soft Power ต่อเศรษฐกิจสร้างสรรค์
Soft Power ในบริบทของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ หมายถึง การใช้สินทรัพย์ทางวัฒนธรรม เช่น ศิลปะ ภาพยนตร์ ดนตรี อาหาร และแฟชั่น มาสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศ การสนับสนุนอุตสาหกรรมศิลปะจึงไม่ใช่แค่การส่งเสริมศิลปิน แต่เป็นการสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่แข็งแกร่ง ตั้งแต่ตัวศิลปินผู้สร้างสรรค์, แกลเลอรีผู้จัดแสดง, ไปจนถึงนักสะสมและประชาชนทั่วไปที่เสพงานศิลปะ มาตรการภาษีครั้งนี้จึงออกแบบมาเพื่อสนับสนุนผู้เล่นทุกคนในระบบนิเวศนี้
ส่องมาตรการลดหย่อนสำหรับผู้ซื้องานศิลปะ
เพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อขายและสนับสนุนผลงานศิลปะไทย รัฐบาลได้เพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษีสำหรับการซื้องานศิลปะจากศิลปินไทยได้สูงสุดถึง 100,000 บาทต่อปีภาษี มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมให้นักสะสมและประชาชนทั่วไปหันมาลงทุนในผลงานศิลปะมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ศิลปินมีรายได้ที่มั่นคงและสามารถสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างต่อเนื่อง การเพิ่มอุปสงค์ในตลาดศิลปะยังช่วยให้แกลเลอรีและผู้จัดงานศิลปะสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ และสร้างความคึกคักให้กับวงการศิลปะร่วมสมัยของไทยโดยรวม
เพิ่มพลังศิลปิน: ปรับเกณฑ์หักค่าใช้จ่ายแบบเหมาถาวร
สำหรับตัวศิลปินเอง ซึ่งจัดเป็นผู้มีเงินได้ประเภทที่ต้องเสียภาษีบุคคลธรรมดา ได้รับข่าวดีครั้งใหญ่ด้วยการปรับเพิ่มอัตราการหักค่าใช้จ่ายแบบเหมา (Flat-rate Expense Deduction) จากเดิม 30% เป็น 60% และเป็นการปรับขึ้นแบบถาวร
การหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาคือ การที่กฎหมายอนุญาตให้ผู้มีเงินได้หักค่าใช้จ่ายในอัตราร้อยละที่กำหนดได้ทันทีโดยไม่ต้องเก็บหลักฐานค่าใช้จ่ายจริง การปรับเพิ่มอัตรานี้หมายความว่า ศิลปินจะมีเงินได้สุทธิที่ต้องนำไปคำนวณภาษีน้อยลงอย่างมาก ส่งผลให้เสียภาษีน้อยลงและมีรายได้เหลือเพื่อใช้ในการดำรงชีพและสร้างสรรค์ผลงานต่อไปมากขึ้น การปรับปรุงเกณฑ์นี้เป็นการยอมรับว่าอาชีพศิลปินมีต้นทุนแฝงในการสร้างสรรค์ผลงานที่สูง และเป็นการให้ความสำคัญกับอาชีพนี้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ตัวอย่าง: ศิลปินมีรายได้จากการขายภาพวาด 1,000,000 บาทตลอดทั้งปี
เกณฑ์เดิม: หักค่าใช้จ่ายเหมาได้ 30% หรือ 300,000 บาท เหลือเงินได้หลังหักค่าใช้จ่าย 700,000 บาทเพื่อคำนวณภาษี
เกณฑ์ใหม่: หักค่าใช้จ่ายเหมาได้ 60% หรือ 600,000 บาท เหลือเงินได้หลังหักค่าใช้จ่าย 400,000 บาทเพื่อคำนวณภาษี
จะเห็นได้ว่าเงินได้ที่ต้องนำไปคำนวณภาษีลดลงถึง 300,000 บาท ซึ่งช่วยลดภาระภาษีได้อย่างมหาศาล
สรุปภาพรวมและแนวทางการเตรียมตัว
มาตรการลดหย่อนภาษีรอบใหม่สำหรับปี 2568 ที่ ครม. ได้อนุมัติ นับเป็นชุดนโยบายที่มีความครอบคลุมและมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยสามารถสรุปกลุ่มผู้ได้รับประโยชน์และสาระสำคัญได้ดังตารางต่อไปนี้
มาตรการ | กลุ่มเป้าหมายหลัก | สิทธิประโยชน์สำคัญ | เงื่อนไขหลัก |
---|---|---|---|
Easy e-Receipt 2.0 | ประชาชนผู้เสียภาษีทั่วไป, ผู้ประกอบการรายย่อย | ลดหย่อนภาษีสูงสุด 50,000 บาท | ใช้จ่าย 16 ม.ค. – 28 ก.พ. 68 และต้องมี e-Tax Invoice/e-Receipt |
สิทธิประโยชน์คนไทยกลับประเทศ | คนไทยทักษะสูงในต่างแดน, บริษัทในอุตสาหกรรมเป้าหมาย | พนักงานเสียภาษีอัตราคงที่ 17%, นายจ้างหักค่าใช้จ่ายได้ 1.5 เท่า | เป็นบุคลากรทักษะสูงตามที่กำหนด และทำงานในอุตสาหกรรมเป้าหมาย |
ส่งเสริม Soft Power (ศิลปะ) | ศิลปิน, นักสะสมงานศิลปะ, ประชาชนทั่วไป | ผู้ซื้อลดหย่อนได้ 100,000 บาท, ศิลปินหักค่าใช้จ่ายเหมาได้ 60% (ถาวร) | เป็นการซื้อขายงานศิลปะจากศิลปินไทย |
ท้ายที่สุดนี้ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากมาตรการเหล่านี้ได้อย่างสูงสุด ผู้เสียภา