ธปท. ปักหมุด! เริ่มใช้ ‘เงินบาทดิจิทัล’ ปีหน้า
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประกาศความคืบหน้าที่สำคัญของโครงการพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางสำหรับภาคประชาชน (Retail Central Bank Digital Currency หรือ Retail CBDC) ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อ ‘เงินบาทดิจิทัล’ โครงการนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของประเทศเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ
ภาพรวมโครงการเงินบาทดิจิทัล
- การนำร่องใช้งาน: ธปท. มีแผนเริ่มทดลองใช้งานเงินบาทดิจิทัลในวงจำกัดกับภาคประชาชน (Pilot Test) ภายในปี 2569 เพื่อประเมินประสิทธิภาพและผลกระทบ ก่อนพิจารณาขยายผลในวงกว้าง
- สถานะเทียบเท่าเงินสด: เงินบาทดิจิทัลถูกออกแบบให้มีคุณสมบัติคล้ายเงินสด คือเป็นหนี้สินของธนาคารกลาง มีมูลค่าคงที่ (1 บาทดิจิทัล = 1 บาท) และไม่มีการให้ดอกเบี้ย
- วัตถุประสงค์หลัก: เพื่อเป็นทางเลือกในการชำระเงินที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสำหรับประชาชน สนับสนุนนวัตกรรมทางการเงิน และเป็นเครื่องมือในการดำเนินนโยบายของภาครัฐให้เข้าถึงประชาชนได้โดยตรงและรวดเร็ว
- แนวทางการพัฒนา: การพัฒนาเป็นไปอย่างรอบคอบ โดยมีการทดสอบใน 2 รูปแบบหลัก คือ Foundation Track สำหรับทดสอบการใช้งานพื้นฐาน และ Innovation Track เพื่อเปิดให้เอกชนร่วมพัฒนานวัตกรรมต่อยอด
โครงการ ธปท. ปักหมุด! เริ่มใช้ ‘เงินบาทดิจิทัล’ ปีหน้า เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงทิศทางการพัฒนาระบบการชำระเงินของไทยในอนาคต การพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลนี้ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อทดแทนเงินสดหรือเงินฝากในระบบธนาคารพาณิชย์ แต่เป็นการเพิ่มทางเลือกให้แก่ประชาชนและภาคธุรกิจในการเข้าถึงเงินในรูปแบบดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางโดยตรง ซึ่งมีความน่าเชื่อถือและปลอดภัยสูงสุด การดำเนินการดังกล่าวสอดคล้องกับแนวโน้มของธนาคารกลางทั่วโลกที่กำลังศึกษาและพัฒนา CBDC เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับบริบทของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปสู่ยุคดิจิทัลอย่างรวดเร็ว
ความสำคัญของโครงการนี้อยู่ที่การสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่น สามารถรองรับนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเงินใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือที่อาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งผ่านนโยบายการคลังของภาครัฐไปยังประชาชนกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำและทันท่วงที ซึ่งจะส่งผลดีต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
ทำความเข้าใจ ‘เงินบาทดิจิทัล’ (Retail CBDC)
ก่อนจะลงลึกในรายละเอียดของโครงการ สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจพื้นฐานว่าเงินบาทดิจิทัลคืออะไร และมีความแตกต่างจากเงินในรูปแบบอื่นที่ใช้งานกันอยู่ในปัจจุบันอย่างไร
นิยามและความหมายของเงินบาทดิจิทัล
เงินบาทดิจิทัล หรือ Retail CBDC คือ สกุลเงินบาทในรูปแบบดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งมีสถานะทางกฎหมายเทียบเท่ากับธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน กล่าวคือเป็น “หนี้สิน” ของธนาคารกลางที่ประชาชนสามารถถือครองได้โดยตรง แตกต่างจากเงินฝากในธนาคารพาณิชย์ซึ่งถือเป็นหนี้สินของธนาคารพาณิชย์นั้นๆ หรือเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) ในแอปพลิเคชันต่างๆ ที่ออกโดยผู้ให้บริการทางการเงินภาคเอกชน
ด้วยเหตุนี้ เงินบาทดิจิทัลจึงถือเป็นเงินดิจิทัลที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุด เพราะได้รับการค้ำประกันโดยตรงจากธนาคารกลางของประเทศ ซึ่งมีหน้าที่รักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน
คุณสมบัติสำคัญที่ควรรู้
ธปท. ได้กำหนดคุณสมบัติเบื้องต้นของเงินบาทดิจิทัลไว้หลายประการ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการและป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อระบบการเงินโดยรวม ดังนี้:
- มีลักษณะคล้ายเงินสด (Cash-like): เงินบาทดิจิทัลถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการชำระค่าสินค้าและบริการเป็นหลัก จึงไม่มีการจ่ายดอกเบี้ย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการโยกย้ายเงินฝากออกจากระบบธนาคารพาณิชย์อย่างรวดเร็วและเป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบการเงินได้
- รูปแบบการกระจายผ่านตัวกลาง (Intermediated Model): ธปท. จะไม่กระจายเงินบาทดิจิทัลให้กับประชาชนโดยตรง แต่จะดำเนินการผ่านตัวกลาง เช่น สถาบันการเงิน หรือผู้ให้บริการทางการเงินที่ได้รับอนุญาต เพื่อให้การบริการเป็นไปอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ อาศัยโครงข่ายและความเชี่ยวชาญของภาคเอกชนที่มีอยู่เดิม
- การกำหนดเงื่อนไขการถือครอง: ในระยะแรกอาจมีการกำหนดเพดานการถือครองเงินบาทดิจิทัลต่อบุคคล เพื่อจำกัดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงิน และเป็นการศึกษาพฤติกรรมการใช้งานในวงจำกัดก่อน
- ตั้งอยู่บนเทคโนโลยีที่เปิดกว้าง: โครงสร้างพื้นฐานของเงินบาทดิจิทัลจะถูกออกแบบมาให้สามารถรองรับการพัฒนาและต่อนวัตกรรมโดยภาคเอกชนได้ เพื่อให้เกิดบริการทางการเงินใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและระบบเศรษฐกิจในอนาคต
เส้นทางการพัฒนาและขั้นตอนการทดสอบ
ธนาคารแห่งประเทศไทยได้วางแผนการพัฒนาเงินบาทดิจิทัลอย่างเป็นขั้นตอนและรอบคอบ โดยแบ่งการทดสอบออกเป็นโครงการย่อยๆ เพื่อศึกษาและประเมินผลในแต่ละมิติอย่างละเอียดก่อนนำไปใช้งานจริงในวงกว้าง
จากแนวคิดสู่การทดลอง: Foundation Track
Foundation Track คือขั้นตอนการทดสอบการใช้งานเงินบาทดิจิทัลในระดับพื้นฐาน เพื่อประเมินประสิทธิภาพของเทคโนโลยีและสถาปัตยกรรมของระบบในสภาพแวดล้อมจริงที่มีผู้ใช้งานและร้านค้าเข้าร่วมในวงจำกัด การทดสอบในลักษณะนี้ได้เคยดำเนินการในช่วงปลายปี 2565 ถึงกลางปี 2566 โดยมีกลุ่มเป้าหมายเข้าร่วมประมาณ 10,000 คน
วัตถุประสงค์หลักของ Foundation Track คือการทดสอบฟังก์ชันการทำงานหลักๆ เช่น การเติมเงิน การโอนเงิน และการชำระค่าสินค้าและบริการ เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้งานจริง ข้อจำกัดทางเทคนิค และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เพื่อนำมาปรับปรุงและพัฒนาระบบให้มีความพร้อมสำหรับการใช้งานในระดับที่ใหญ่ขึ้นต่อไป
เปิดประตูสู่นวัตกรรม: Innovation Track
ควบคู่ไปกับ Foundation Track ธปท. ได้ริเริ่มโครงการ Innovation Track ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ภาคเอกชน สถาบันการเงิน และนักพัฒนา สามารถนำเสนอแนวคิดและพัฒนานวัตกรรมการใช้ประโยชน์จากเงินบาทดิจิทัลในรูปแบบใหม่ๆ ที่นอกเหนือไปจากการชำระเงินพื้นฐาน แนวทางนี้มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมให้เกิดระบบนิเวศทางการเงินที่หลากหลายและสร้างสรรค์
Innovation Track เป็นเวทีสำหรับภาคเอกชนในการทดลองและนำเสนอ Use Case ใหม่ๆ ซึ่งจะช่วยให้ ธปท. มองเห็นศักยภาพของเงินบาทดิจิทัลในการตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของภาคธุรกิจและประชาชนได้อย่างเต็มที่
ตัวอย่างของนวัตกรรมที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น การสร้างโปรแกรมที่สามารถกำหนดเงื่อนไขการใช้จ่ายเงิน (Programmable Money) เพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะเจาะจง หรือการพัฒนาโซลูชันการชำระเงินสำหรับธุรกรรมที่มีความซับซ้อน ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับระบบเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ
ก้าวต่อไป: สู่การใช้งานในวงกว้างปี 2569
ข้อมูลและผลลัพธ์ที่ได้จากการทดสอบทั้งใน Foundation Track และ Innovation Track จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ ธปท. นำมาพิจารณาในการออกแบบนโยบายและรูปแบบของเงินบาทดิจิทัลที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย ก่อนที่จะมีการตัดสินใจเปิดให้ใช้งานในวงกว้าง (Public Pilot) ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2569 ตามแผนที่ได้วางไว้
การดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอนนี้สะท้อนให้เห็นถึงความรอบคอบของธนาคารกลางในการนำเทคโนโลยีใหม่มาปรับใช้ โดยให้ความสำคัญกับเสถียรภาพของระบบการเงินโดยรวมเป็นอันดับแรก
เป้าหมายและประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
การพัฒนาเงินบาทดิจิทัลมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของประเทศ ซึ่งจะส่งผลดีในหลายมิติทั้งต่อประชาชน ภาคธุรกิจ และภาครัฐ
สำหรับประชาชนและภาคธุรกิจ
- เพิ่มทางเลือกในการชำระเงิน: เงินบาทดิจิทัลจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการชำระเงินที่ปลอดภัย สะดวก และรวดเร็ว นอกเหนือจากเงินสด บัตรเครดิต หรือ e-Money ที่มีอยู่ในปัจจุบัน
- ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ: สำหรับภาคธุรกิจ เงินบาทดิจิทัลอาจช่วยลดต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการเงินสด และเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการชำระเงินและการกระทบยอดทางบัญชี
- ส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงิน (Financial Inclusion): สำหรับประชาชนในพื้นที่ห่างไกลหรือกลุ่มที่ยังเข้าไม่ถึงบริการของธนาคารพาณิชย์ เงินบาทดิจิทัลอาจเป็นช่องทางที่ช่วยให้สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินพื้นฐานได้ง่ายขึ้น
สำหรับเศรษฐกิจและนโยบายภาครัฐ
- โครงสร้างพื้นฐานสำหรับเศรษฐกิจดิจิทัล: เงินบาทดิจิทัลจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่รองรับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและนวัตกรรมทางการเงินในอนาคต
- เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินนโยบาย: ภาครัฐสามารถใช้เงินบาทดิจิทัลเป็นเครื่องมือในการส่งมอบความช่วยเหลือหรือเงินอุดหนุนต่างๆ ไปยังประชาชนกลุ่มเป้าหมายได้อย่างโดยตรง รวดเร็ว และตรวจสอบได้ ซึ่งจะช่วยลดขั้นตอนและป้องกันการรั่วไหล
- ลดความเสี่ยงเชิงระบบ: การมีเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางจะช่วยลดการพึ่งพาสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยภาคเอกชน (เช่น Stablecoins) ซึ่งอาจมีความเสี่ยงด้านเสถียรภาพและอาจส่งผลกระทบต่ออำนาจอธิปไตยทางการเงินของประเทศในระยะยาว
เปรียบเทียบเงินบาทดิจิทัลกับสกุลเงินรูปแบบอื่น
เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้น การเปรียบเทียบคุณสมบัติของเงินบาทดิจิทัลกับเงินในรูปแบบอื่นๆ จะช่วยให้เห็นภาพความแตกต่างและบทบาทเฉพาะของเงินแต่ละประเภท
คุณสมบัติ | เงินบาทดิจิทัล (Retail CBDC) | เงินฝากธนาคาร | เงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) | สกุลเงินคริปโต (Decentralized) |
---|---|---|---|---|
ผู้ออก | ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) | ธนาคารพาณิชย์ | บริษัทเอกชน (Non-bank) | ไม่มีหน่วยงานกลาง (เครือข่าย) |
รูปแบบ | ดิจิทัล (หนี้สินของ ธปท.) | ดิจิทัล (หนี้สินของธนาคารพาณิชย์) | ดิจิทัล (มูลค่าเงินที่เก็บในระบบ) | ดิจิทัล (สินทรัพย์บนบล็อกเชน) |
ความเสี่ยงด้านเครดิต | ไม่มี (ปลอดภัยสูงสุด) | ต่ำ (ได้รับการคุ้มครองเงินฝาก) | มี (ขึ้นอยู่กับความมั่นคงของผู้ออก) | สูงมาก (ไม่มีผู้รับผิดชอบ) |
การให้ดอกเบี้ย | ไม่มี | มี (ขึ้นกับประเภทบัญชี) | ไม่มี | ไม่มี (แต่มีกลไกอื่นสร้างผลตอบแทน) |
เสถียรภาพด้านราคา | คงที่ (1 บาทดิจิทัล = 1 บาท) | คงที่ | คงที่ | ผันผวนสูงมาก |
ความท้าทายและการบริหารความเสี่ยง
แม้ว่าเงินบาทดิจิทัลจะมีศักยภาพและประโยชน์ในหลายด้าน แต่การนำมาใช้งานจริงก็มาพร้อมกับความท้าทายและความเสี่ยงที่ ธปท. ต้องบริหารจัดการอย่างรัดกุม
ผลกระทบต่อเสถียรภาพระบบการเงิน
ความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดคือความเป็นไปได้ที่จะเกิดการแห่ถอนเงินฝากจากธนาคารพาณิชย์ไปถือครองเงินบาทดิจิทัล (Digital Bank Run) โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดวิกฤตความเชื่อมั่น เนื่องจากประชาชนอาจมองว่าเงินบาทดิจิทัลมีความปลอดภัยสูงกว่าเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อย่างรวดเร็วและเป็นวงกว้าง อาจส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องและเสถียรภาพของระบบธนาคารได้
เพื่อป้องกันความเสี่ยงนี้ ธปท. จึงได้ออกแบบให้เงินบาทดิจิทัลไม่มีการจ่ายดอกเบี้ย และอาจมีการกำหนดเพดานการถือครอง เพื่อลดแรงจูงใจในการใช้เงินบาทดิจิทัลเป็นสินทรัพย์เพื่อการออม และคงบทบาทหลักไว้เพื่อการใช้จ่าย
ความปลอดภัยทางไซเบอร์และความเป็นส่วนตัว
ระบบเงินบาทดิจิทัลจะต้องมีมาตรฐานความปลอดภัยทางไซเบอร์ในระดับสูงสุด เพื่อป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ การปลอมแปลง หรือการฉ้อโกง ซึ่งอาจสร้างความเสียหายต่อความเชื่อมั่นของประชาชนได้ นอกจากนี้ ประเด็นด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูลการทำธุรกรรมก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องมีการออกแบบนโยบายและกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลและการป้องกันการกระทำที่ผิดกฎหมาย เช่น การฟอกเงิน หรือการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย
การยอมรับและการเข้าถึงของประชาชน
ความสำเร็จของโครงการเงินบาทดิจิทัลขึ้นอยู่กับการยอมรับและใช้งานของประชาชนในวงกว้างเป็นสำคัญ ประชาชนและร้านค้าจะต้องมองเห็นประโยชน์ที่ชัดเจนในการใช้งานเมื่อเทียบกับวิธีการชำระเงินที่มีอยู่เดิม นอกจากนี้ การพัฒนาจะต้องคำนึงถึงความครอบคลุม (Inclusivity) เพื่อให้แน่ใจว่าประชาชนทุกกลุ่ม รวมถึงผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ที่ขาดทักษะทางดิจิทัล สามารถเข้าถึงและใช้งานเงินบาทดิจิทัลได้โดยไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
บทสรุป: อนาคตการเงินไทยกับเงินบาทดิจิทัล
การเดินหน้าโครงการเงินบาทดิจิทัลของธนาคารแห่งประเทศไทย ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของการปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของประเทศเพื่อก้าวเข้าสู่ยุคสังคมไร้เงินสดและเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างแท้จริง แม้ว่าเส้นทางข้างหน้าจะยังมีความท้าทายอีกมาก แต่ด้วยแนวทางการพัฒนาที่รอบคอบและเป็นขั้นตอน โดยมีการศึกษาและทดสอบอย่างละเอียดร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ย่อมเป็นการสร้างความเชื่อมั่นว่าการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้จะดำเนินไปอย่างราบรื่นและเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย
เงินบาทดิจิทัลไม่ได้เป็นเพียงเทคโนโลยีใหม่ แต่เป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เสริมสร้างเสถียรภาพทางการเงิน และเปิดประตูสู่โอกาสและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยไปข้างหน้า การติดตามความคืบหน้าของโครงการนี้อย่างใกล้ชิดจึงเป็นสิ่งที่ทุกภาคส่วนควรให้ความสำคัญ เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์ทางการเงินที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้