เงินบาทดิจิทัลใช้จริงแล้ว! ธปท. เริ่มทดลองวันนี้
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ริเริ่มโครงการสำคัญที่อาจปฏิวัติวงการการเงินของประเทศ ด้วยการประกาศว่า เงินบาทดิจิทัลใช้จริงแล้ว! ธปท. เริ่มทดลองวันนี้ ในวงจำกัด การทดสอบนี้ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการสำรวจศักยภาพของสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง (Central Bank Digital Currency: CBDC) สำหรับการใช้งานในระดับรายย่อย ซึ่งจะส่งผลต่อการทำธุรกรรมในชีวิตประจำวันของประชาชนในอนาคต
- เงินบาทดิจิทัล หรือ Retail CBDC คือเงินบาทในรูปแบบดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทยโดยตรง มีสถานะเทียบเท่าเงินสดที่เป็นธนบัตรและเหรียญกษาปณ์
- โครงการทดสอบเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่สองของปี 2565 โดยมุ่งเน้นการประเมินประโยชน์และความเสี่ยงจากการใช้งานจริงในสภาพแวดล้อมที่ควบคุม
- การทดสอบแบ่งออกเป็น 2 แนวทางหลัก คือ Foundation Track สำหรับการใช้งานพื้นฐาน และ Innovation Track เพื่อเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนพัฒนานวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ
- ธปท. ย้ำว่าโครงการนี้ยังอยู่ในขั้นทดสอบ ยังไม่มีแผนการออกใช้เงินบาทดิจิทัลเป็นการทั่วไปในเร็วๆ นี้ แต่เป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต
- ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างเงินบาทดิจิทัลกับคริปโตเคอร์เรนซี คือ เงินบาทดิจิทัลถูกกำกับดูแลโดยธนาคารกลาง ทำให้มีเสถียรภาพด้านมูลค่าและมีความปลอดภัยสูง
โครงการพัฒนานวัตกรรมทางการเงินครั้งประวัติศาสตร์ของไทยได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว เมื่อธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า เงินบาทดิจิทัลใช้จริงแล้ว! ธปท. เริ่มทดลองวันนี้ ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคการเงินดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ โครงการนี้คือการทดสอบการใช้งาน “เงินบาทดิจิทัล” สำหรับภาคประชาชน หรือที่เรียกว่า Retail CBDC โดยมีเป้าหมายเพื่อศึกษาและทำความเข้าใจถึงพฤติกรรมการใช้งานจริง ตลอดจนประเมินประโยชน์และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เพื่อนำข้อมูลมาพัฒนานโยบายและออกแบบระบบให้มีความเหมาะสมกับบริบทของประเทศไทยในอนาคต
ความสำคัญของการทดสอบครั้งนี้อยู่ที่การเตรียมความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของประเทศให้สามารถรองรับเทคโนโลยีดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โครงการนี้ไม่ได้เป็นเพียงการสร้างเงินในรูปแบบใหม แต่เป็นการวางรากฐานสำหรับระบบนิเวศทางการเงินที่จะเปิดโอกาสให้เกิดนวัตกรรมและบริการทางการเงินที่หลากหลาย สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น การทดลองนี้จึงเป็นที่จับตามองของทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นสถาบันการเงิน ภาคธุรกิจ และประชาชนทั่วไป เพราะผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นตัวกำหนดทิศทางของสังคมไร้เงินสดของไทยในทศวรรษหน้า
ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับเงินบาทดิจิทัล
ก่อนจะลงลึกในรายละเอียดของโครงการทดสอบ สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจแนวคิดพื้นฐานของเงินบาทดิจิทัล เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนว่านวัตกรรมนี้คืออะไร และมีความแตกต่างจากรูปแบบเงินที่ใช้อยู่ในปัจจุบันอย่างไร
เงินบาทดิจิทัล (Retail CBDC) คืออะไร?
เงินบาทดิจิทัล หรือ Retail Central Bank Digital Currency (Retail CBDC) คือ เงินสกุลบาทในรูปแบบดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งเป็นธนาคารกลางของประเทศโดยตรง สิ่งนี้ทำให้เงินบาทดิจิทัลมีสถานะเป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย (Legal Tender) เช่นเดียวกับธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ที่หมุนเวียนอยู่ในปัจจุบัน
คุณสมบัติสำคัญของเงินบาทดิจิทัลคือการทำงานคล้ายคลึงกับเงินสด กล่าวคือ เป็นสินทรัพย์ทางการเงินที่ไม่มีความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk) เนื่องจากเป็นหนี้สินของธนาคารกลาง ไม่ใช่ของสถาบันการเงินพาณิชย์ และจะไม่มีการจ่ายดอกเบี้ยเช่นเดียวกับการถือเงินสด อย่างไรก็ตาม การทำธุรกรรมจะเกิดขึ้นในรูปแบบดิจิทัลทั้งหมดผ่านตัวกลาง เช่น สถาบันการเงินหรือผู้ให้บริการทางการเงินที่ได้รับอนุญาต ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนและชำระค่าสินค้าและบริการ
เงินบาทดิจิทัลเปรียบเสมือนธนบัตรที่อยู่ในกระเป๋าเงินดิจิทัล มีมูลค่าคงที่เสมอคือ 1 บาทดิจิทัล เท่ากับ 1 บาทเสมอ แตกต่างจากสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทอื่นที่มีความผันผวนของราคา
ความแตกต่างจากเงินสดและเงินอิเล็กทรอนิกส์
แม้ว่าปัจจุบันคนไทยจะคุ้นเคยกับการชำระเงินแบบดิจิทัลผ่าน Mobile Banking หรือ e-Wallet อยู่แล้ว แต่เงินบาทดิจิทัลยังมีความแตกต่างที่สำคัญในเชิงโครงสร้าง
- เทียบกับเงินสด: เงินบาทดิจิทัลมีคุณสมบัติเหมือนเงินสดในแง่ของการเป็นหนี้สินโดยตรงของธนาคารกลาง แต่แตกต่างในรูปแบบทางกายภาพ โดยเงินบาทดิจิทัลจะอยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้สามารถทำธุรกรรมได้สะดวกรวดเร็วและตรวจสอบได้ง่ายกว่า
- เทียบกับเงินฝากธนาคาร: เงินที่ฝากไว้ในธนาคารพาณิชย์ถือเป็น “หนี้สิน” ของธนาคารพาณิชย์นั้นๆ ซึ่งมีความเสี่ยงด้านเครดิตอยู่บ้าง (แม้จะต่ำมากและมีการค้ำประกันเงินฝาก) ในขณะที่เงินบาทดิจิทัลเป็น “หนี้สิน” ของธนาคารกลางโดยตรง จึงไม่มีความเสี่ยงด้านเครดิต
- เทียบกับเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money): เงินใน e-Wallet เป็นเงินที่ออกโดยผู้ให้บริการภาคเอกชน ซึ่งผู้ใช้ต้องนำเงินบาทไป “เติม” เข้าระบบก่อนใช้งาน ในทางกลับกัน เงินบาทดิจิทัลคือเงินบาทในตัวเอง ไม่ใช่ค่าเงินที่ถูกสร้างขึ้นโดยเอกชน
ความแตกต่างนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเสถียรภาพของระบบการเงินโดยรวม เนื่องจากเงินบาทดิจิทัลถูกออกแบบมาเพื่อเป็นแกนหลักของโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินดิจิทัลที่ปลอดภัยและน่าเชื่อถือ
โครงการทดสอบเงินบาทดิจิทัลโดยธนาคารแห่งประเทศไทย
ธปท. ได้ดำเนินโครงการทดสอบเงินบาทดิจิทัลอย่างรอบคอบและเป็นขั้นตอน โดยเริ่มต้นโครงการนำร่องตั้งแต่ช่วงปลายปี 2565 จนถึงกลางปี 2566 เพื่อรวบรวมข้อมูลและประเมินผลกระทบในทุกมิติ ก่อนที่จะพิจารณาถึงการนำไปใช้ในวงกว้างต่อไป
วัตถุประสงค์และเป้าหมายหลัก
เป้าหมายหลักของโครงการทดสอบนี้ไม่ใช่การออกใช้เงินบาทดิจิทัลอย่างเป็นทางการในทันที แต่เป็นการเรียนรู้และเตรียมความพร้อม โดยมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญดังนี้:
- ประเมินประโยชน์และความเสี่ยง: เพื่อศึกษาผลกระทบของการมี CBDC ต่อระบบเศรษฐกิจและการเงินของประเทศ ทั้งในด้านบวกและด้านลบ เช่น ผลต่อบทบาทของสถาบันการเงิน เสถียรภาพทางการเงิน และความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผู้ใช้
- รวบรวมข้อมูลพฤติกรรมผู้ใช้จริง: เพื่อทำความเข้าใจถึงวิธีการที่ประชาชนและร้านค้าจะปรับตัวและใช้งานเงินบาทดิจิทัลในสถานการณ์จริง ซึ่งจะเป็นข้อมูลสำคัญในการออกแบบระบบให้ตอบโจทย์ความต้องการ
- พัฒนากรอบนโยบายและการออกแบบ: เพื่อนำข้อค้นพบที่ได้มาพัฒนากฎเกณฑ์ นโยบาย และการออกแบบเชิงเทคนิคของเงินบาทดิจิทัลให้มีความเหมาะสมกับบริบทของประเทศไทยมากที่สุด
- ส่งเสริมนวัตกรรมทางการเงิน: เพื่อเปิดพื้นที่ให้ภาคเอกชนและนักพัฒนาได้ทดลองสร้างสรรค์บริการและผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ บนโครงสร้างพื้นฐานของเงินบาทดิจิทัล
รูปแบบการทดสอบ: Foundation Track และ Innovation Track
เพื่อให้การทดสอบครอบคลุมและเกิดประโยชน์สูงสุด ธปท. ได้แบ่งโครงการออกเป็น 2 แนวทางคู่ขนานกัน:
1. Foundation Track: เป็นการทดสอบการใช้งานพื้นฐานของเงินบาทดิจิทัลในระบบนิเวศที่จำกัดและควบคุมได้ โดยเน้นกิจกรรมหลัก 3 อย่าง คือ การเติมเงิน (Top-up) การโอนเงิน (Transfer) และการชำระเงิน (Payment) สำหรับสินค้าและบริการ การทดสอบในส่วนนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินประสิทธิภาพและความปลอดภัยของเทคโนโลยีหลัก รวมถึงศึกษาพฤติกรรมการใช้งานของผู้เข้าร่วมโครงการ
2. Innovation Track: เป็นการเปิดโอกาสให้ภาคเอกชน สถาบันการเงิน และนักพัฒนา สามารถนำเสนอและทดลองแนวคิดการใช้ประโยชน์จากเงินบาทดิจิทัลในรูปแบบใหม่ๆ ที่นอกเหนือจากการชำระเงินพื้นฐาน แนวทางนี้มุ่งเน้นไปที่คุณสมบัติ “Programmability” หรือความสามารถในการตั้งโปรแกรมหรือเงื่อนไขลงบนเงินได้ ซึ่งอาจนำไปสู่บริการทางการเงินที่เป็นนวัตกรรม เช่น การโอนเงินที่มีเงื่อนไขเฉพาะเจาะจง การจ่ายเงินอัตโนมัติตามสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) หรือการพัฒนาโซลูชันทางการเงินที่ตอบโจทย์เฉพาะกลุ่มได้ดียิ่งขึ้น
ขอบเขตและกลุ่มผู้เข้าร่วมโครงการ
การทดสอบเงินบาทดิจิทัลในระยะแรกเป็นการดำเนินการใน “วงจำกัด” (Pilot Phase) ทั้งในแง่ของพื้นที่และจำนวนผู้เข้าร่วม โดย ธปท. ได้กำหนดกลุ่มเป้าหมายไว้ประมาณ 10,000 คน ซึ่งคัดเลือกตามเกณฑ์ความพร้อมและประเภทของบริการที่ต้องการทดสอบ การจำกัดขอบเขตนี้ช่วยให้สามารถบริหารจัดการความเสี่ยงและดูแลผู้เข้าร่วมโครงการได้อย่างใกล้ชิด โครงการนี้เริ่มต้นจากการทดสอบภายในหน่วยงานของ ธปท. ก่อนจะขยายไปสู่ผู้ใช้งานภายนอกในพื้นที่ที่กำหนด ซึ่งเป็นแนวทางที่รอบคอบเพื่อสร้างความมั่นใจว่าระบบมีความเสถียรและปลอดภัยเพียงพอก่อนการพิจารณาขยายผลในอนาคต
ศักยภาพและผลกระทบในอนาคต
การนำเงินบาทดิจิทัลมาใช้อาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญต่อภูมิทัศน์ทางการเงินของไทย ทั้งในด้านโอกาสและประโยชน์ที่จะได้รับ รวมถึงความท้าทายที่ต้องบริหารจัดการอย่างรอบคอบ
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
หากโครงการประสบความสำเร็จและมีการนำมาใช้ในวงกว้าง เงินบาทดิจิทัลมีศักยภาพที่จะสร้างประโยชน์ในหลายมิติ:
- เพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน: การทำธุรกรรมผ่านระบบดิจิทัลโดยตรงสามารถลดต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเงินสด เช่น การพิมพ์ธนบัตร การขนส่ง และการเก็บรักษา
- เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำหรับนวัตกรรม: คุณสมบัติด้าน Programmability สามารถเป็นรากฐานให้เกิดบริการทางการเงินใหม่ๆ ที่ไม่สามารถทำได้ด้วยระบบปัจจุบัน ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
- เพิ่มทางเลือกในการชำระเงิน: ประชาชนจะมีช่องทางการชำระเงินที่ปลอดภัยและน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งช่องทาง ซึ่งเป็นเงินที่ออกโดยธนาคารกลางโดยตรง
- รองรับเศรษฐกิจดิจิทัล: การมีโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินดิจิทัลที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างเต็มศักยภาพ
ความท้าทายและความเสี่ยงที่ต้องพิจารณา
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเงินบาทดิจิทัลยังมาพร้อมกับความท้าทายและความเสี่ยงที่ ธปท. ให้ความสำคัญและต้องศึกษาอย่างละเอียดในระหว่างโครงการทดสอบ ซึ่งรวมถึง:
- ผลกระทบต่อเสถียรภาพระบบสถาบันการเงิน: ต้องมีการออกแบบอย่างรัดกุมเพื่อไม่ให้ประชาชนแห่ถอนเงินฝากจากธนาคารพาณิชย์มาถือครอง CBDC จำนวนมากจนเกินไป โดยเฉพาะในช่วงวิกฤต ซึ่งอาจกระทบต่อสภาพคล่องและความสามารถในการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร
- ความปลอดภัยทางไซเบอร์: ระบบ CBDC จะต้องมีมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดเพื่อป้องกันการโจรกรรมทางไซเบอร์และการปลอมแปลง
- การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล: การออกแบบระบบต้องคำนึงถึงความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน ควบคู่ไปกับความสามารถในการป้องกันการฟอกเงินและการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย
- ความครอบคลุมและการเข้าถึง: ต้องมั่นใจว่าประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่มีบัญชีธนาคารหรือเข้าไม่ถึงอินเทอร์เน็ต สามารถเข้าถึงและใช้งานเงินบาทดิจิทัลได้ เพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล (Digital Divide)
เงินบาทดิจิทัลกับสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ
ในยุคที่สกุลเงินดิจิทัลเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย การทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างเงินบาทดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางกับสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทอื่น เช่น คริปโตเคอร์เรนซี จึงเป็นสิ่งจำเป็น
การเปรียบเทียบกับคริปโตเคอร์เรนซี
แม้จะใช้เทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกัน แต่เงินบาทดิจิทัลและคริปโตเคอร์เรนซี (เช่น Bitcoin หรือ Ethereum) มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในเชิงหลักการและการใช้งาน
คุณสมบัติ | เงินบาทดิจิทัล (Retail CBDC) | คริปโตเคอร์เรนซี (เช่น Bitcoin) |
---|---|---|
ผู้ออกและรับประกัน | ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธนาคารกลาง) | ไม่มีหน่วยงานกลาง (Decentralized) |
เสถียรภาพของมูลค่า | มีเสถียรภาพสูง มูลค่าผูกกับเงินบาท (1 CBDC = 1 บาท) | มีความผันผวนสูง ราคาเปลี่ยนแปลงตามอุปสงค์และอุปทานในตลาด |
การกำกับดูแล | อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานภาครัฐ | ส่วนใหญ่ยังไม่มีกฎหมายกำกับดูแลที่ชัดเจนและครอบคลุม |
วัตถุประสงค์หลัก | ใช้เป็นสื่อกลางในการชำระเงินและเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน | ส่วนใหญ่มองเป็นการลงทุนหรือสินทรัพย์เพื่อเก็งกำไร |
จากตารางจะเห็นได้ว่า เงินบาทดิจิทัลถูกออกแบบมาเพื่อทำหน้าที่เป็น “เงิน” ที่มีความน่าเชื่อถือและมีเสถียรภาพ เหมาะสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน ในขณะที่คริปโตเคอร์เรนซีมีลักษณะเป็น “สินทรัพย์” ที่มีความเสี่ยงสูง ไม่เหมาะกับการเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนที่มีประสิทธิภาพ
บทสรุป: ก้าวต่อไปของระบบการเงินไทย
การที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเริ่มทดลองใช้เงินบาทดิจิทัลในวงจำกัด ถือเป็นหมุดหมายที่สำคัญในการเดินทางสู่โลกการเงินแห่งอนาคต แม้โครงการนี้จะยังอยู่ในขั้นเริ่มต้นของการศึกษาและพัฒนา แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นในการเตรียมความพร้อมของประเทศให้สามารถปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ ได้อย่างเท่าทัน
ผลลัพธ์จากการทดสอบครั้งนี้จะเป็นข้อมูลล้ำค่าที่จะช่วยให้ ธปท. และผู้กำหนดนโยบายสามารถออกแบบระบบเงินบาทดิจิทัลที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนไทยได้อย่างแท้จริง โดยคำนึงถึงความสมดุลระหว่างการส่งเสริมนวัตกรรม การรักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน และการคุ้มครองผู้ใช้งานอย่างรอบด้าน แม้จะยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเงินบาทดิจิทัลจะถูกนำมาใช้อย่างเต็มรูปแบบเมื่อใด แต่การเริ่มต้นศึกษาและทดลองตั้งแต่วันนี้ คือการวางรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับระบบเศรษฐกิจและการเงินของไทยในยุคดิจิทัลต่อไป