แจกอีก! เงินดิจิทัลสีเขียวคืออะไร ใครได้บ้าง


แจกอีก! เงินดิจิทัลสีเขียวคืออะไร ใครได้บ้าง

สารบัญ

ในช่วงเวลาที่เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญในทุกมิติของสังคม คำว่า “เงินดิจิทัล” กลายเป็นหัวข้อที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง อย่างไรก็ตาม ภายใต้คำเดียวกันนี้กลับมีความหมายและวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบระหว่าง “เงินดิจิทัลสีเขียว” ซึ่งเป็นเครื่องมือทางการเงินเพื่อความยั่งยืน และ “เงินดิจิทัลวอลเล็ต” จากนโยบายรัฐบาลที่มุ่งเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจ การทำความเข้าใจในความแตกต่างนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง

  • เงินดิจิทัลสีเขียว (Green Token) เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อการลงทุนในโครงการด้านสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่เงินที่รัฐบาลแจกให้ประชาชนทั่วไป
  • โครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาทของรัฐบาล เป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น โดยมีกลุ่มเป้าหมายและเงื่อนไขคุณสมบัติที่ชัดเจน
  • ทั้งสองแนวคิดใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นพื้นฐาน แต่มีเป้าหมายสุดท้ายที่แตกต่างกัน คือ การระดมทุนเพื่อความยั่งยืน และการส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ
  • การลงทุนใน Green Token อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และมีความเสี่ยงเช่นเดียวกับการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น

คำถามที่ว่า แจกอีก! เงินดิจิทัลสีเขียวคืออะไร ใครได้บ้าง ได้สร้างความสนใจและเกิดความสับสนในวงกว้าง เนื่องจากหลายคนอาจเข้าใจว่าเป็นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่จากภาครัฐ แต่ในความเป็นจริงแล้ว “เงินดิจิทัลสีเขียว” หรือ Green Token คือนวัตกรรมทางการเงินที่มุ่งเน้นการระดมทุนสำหรับโครงการที่ส่งเสริมสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อการลงทุนโดยเฉพาะ ขณะที่โครงการแจกเงินดิจิทัลของรัฐบาลเป็นนโยบายที่ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจ บทความนี้จะชี้แจงความแตกต่างของเงินดิจิทัลทั้งสองประเภทอย่างละเอียด เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับหลักการทำงาน วัตถุประสงค์ และกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้อง

ภาพรวมของเงินดิจิทัลสองรูปแบบ

ในยุคดิจิทัลปัจจุบัน คำว่า “เงินดิจิทัล” ถูกนำมาใช้ในหลากหลายบริบท ตั้งแต่สกุลเงินคริปโตที่ซื้อขายกันในตลาดโลก ไปจนถึงเงินในแอปพลิเคชันกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Wallet) อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาในบริบทของประเทศไทยที่กำลังเป็นประเด็นอยู่ในขณะนี้ สามารถแบ่งแยก “เงินดิจิทัล” ที่ถูกกล่าวถึงบ่อยครั้งออกเป็น 2 ประเภทหลักที่มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ได้แก่ เงินดิจิทัลเพื่อการลงทุนที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืน และเงินดิจิทัลที่เป็นเครื่องมือของนโยบายรัฐบาล

ความสำคัญของการทำความเข้าใจเรื่องนี้เพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากนโยบายของภาครัฐได้ทำให้คำว่า “เงินดิจิทัล” กลายเป็นคำที่คุ้นเคยในระดับครัวเรือน ขณะเดียวกัน กระแสการลงทุนเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Investing) ทั่วโลกก็กำลังผลักดันให้เกิดนวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ เช่น “เงินดิจิทัลสีเขียว” การแยกแยะความแตกต่างระหว่างสองสิ่งนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของนิยามศัพท์ แต่ยังส่งผลต่อการตัดสินใจทางการเงินและการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประชาชน ตั้งแต่นักลงทุนที่มองหาโอกาสใหม่ๆ ไปจนถึงประชาชนทั่วไปที่รอรับสิทธิ์จากมาตรการของรัฐ

เจาะลึก “เงินดิจิทัลสีเขียว” หรือ Green Token

เจาะลึก "เงินดิจิทัลสีเขียว" หรือ Green Token

เงินดิจิทัลสีเขียว หรือที่รู้จักกันในชื่อ Green Token เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เฉพาะเจาะจง คือเพื่อระดมทุนไปใช้ในโครงการที่เกี่ยวข้องกับการรักษาสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ถือเป็นเครื่องมือทางการเงินยุคใหม่ที่ผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีบล็อกเชนและแนวคิดการเงินสีเขียว (Green Finance)

Green Token ไม่ใช่เงินที่รัฐบาล “แจก” แต่เป็น “ช่องทางการลงทุน” ที่เปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปสามารถสนับสนุนโครงการเพื่อสิ่งแวดล้อมได้โดยตรง พร้อมโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนนั้น

นิยามและหลักการทำงาน

ตามหลักการ Green Token คือโทเคนดิจิทัลที่ออกโดยผู้ประกอบการหรือเจ้าของโครงการเพื่อสิ่งแวดล้อม เพื่อนำเงินที่ได้จากการเสนอขายโทเคน (Initial Coin Offering – ICO) ไปพัฒนาโครงการตามที่ระบุไว้ เช่น โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์, โครงการปลูกป่า, โครงการจัดการขยะ หรือเทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

กระบวนการทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อสร้างความโปร่งใสและคุ้มครองผู้ลงทุน จุดเด่นสำคัญของ Green Token คือ:

  • การเข้าถึงแหล่งทุนที่ง่ายขึ้น: โครงการด้านสิ่งแวดล้อมขนาดกลางและขนาดเล็กสามารถระดมทุนจากมวลชนได้โดยตรง แทนที่จะต้องพึ่งพาสถาบันการเงินขนาดใหญ่เพียงอย่างเดียว
  • ความสามารถในการแบ่งหน่วยย่อย: โทเคนสามารถแบ่งเป็นหน่วยเล็กๆ ได้ ทำให้นักลงทุนรายย่อยสามารถเข้าร่วมลงทุนได้ด้วยเงินจำนวนไม่มาก
  • ความโปร่งใสและตรวจสอบได้: การใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนช่วยให้สามารถติดตามการใช้เงินทุนและผลการดำเนินงานของโครงการได้ง่ายขึ้น

ใครคือผู้ที่ได้ประโยชน์จาก Green Token

คำว่า “ใครได้บ้าง” ในบริบทของ Green Token ไม่ได้หมายถึงผู้ที่ได้รับเงินให้เปล่า แต่หมายถึงกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องและได้รับประโยชน์ในมิติต่างๆ ดังนี้:

  1. ผู้ลงทุน: คือผู้ที่ “ได้” โทเคนจากการนำเงินไปลงทุน พวกเขาจะได้รับผลตอบแทนตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน (Whitepaper) ซึ่งอาจอยู่ในรูปแบบของส่วนแบ่งรายได้จากโครงการ, คาร์บอนเครดิต หรือผลประโยชน์ในรูปแบบอื่น นอกจากนี้ยังได้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมโดยตรง
  2. เจ้าของโครงการ: สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อทำให้โครงการด้านสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้นได้จริง
  3. สังคมและสิ่งแวดล้อม: ได้รับประโยชน์จากการมีโครงการที่ช่วยลดผลกระทบทางลบต่อสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาว

บทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG

Green Token สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติที่มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน โดยการเป็นช่องทางระดมทุนให้กับธุรกิจและโครงการที่เกี่ยวข้องกับสินค้า BCG เช่น ธุรกิจพลังงานสะอาด, เกษตรอินทรีย์, และการรีไซเคิล จะช่วยผลักดันให้โมเดลเศรษฐกิจนี้เติบโตได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น ถือเป็นฟันเฟืองสำคัญที่เชื่อมโยงตลาดทุนเข้ากับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ

ความท้าทายและข้อควรพิจารณา

แม้ว่า Green Token จะมีศักยภาพสูง แต่ก็ยังมีความท้าทายอยู่บ้าง เนื่องจากเป็นตลาดที่ค่อนข้างใหม่ ผู้ลงทุนจำเป็นต้องศึกษาข้อมูลโครงการอย่างละเอียดและประเมินความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง เช่น ความเสี่ยงจากการดำเนินโครงการที่ไม่ประสบความสำเร็จ หรือความผันผวนของมูลค่าโทเคนในตลาดรอง การมีหน่วยงาน ก.ล.ต. เข้ามากำกับดูแลจึงเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความน่าเชื่อถือและมาตรฐานให้กับตลาดนี้

โครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท จากนโยบายรัฐบาล

ในทางกลับกัน โครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท เป็นนโยบายของรัฐบาลที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเครื่องมือในการดำเนินมาตรการทางการคลัง โดยมีเป้าหมายหลักที่แตกต่างจาก Green Token อย่างสิ้นเชิง นี่คือโครงการที่ “แจก” เงินในรูปแบบของสิทธิการใช้จ่ายให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมาย เพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะทางเศรษฐกิจ

วัตถุประสงค์หลัก: การกระตุ้นเศรษฐกิจ

เป้าหมายสำคัญที่สุดของโครงการนี้คือการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในระยะสั้น เพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ รัฐบาลคาดหวังว่าเมื่อประชาชนผู้ได้รับสิทธิ์นำเงินไปใช้จ่าย จะเกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจหลายรอบ ส่งผลให้ผู้ประกอบการรายย่อยและธุรกิจต่างๆ มีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยพยุงและขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวม

เงื่อนไขและคุณสมบัติผู้ได้รับสิทธิ์ในเฟสล่าสุด

สำหรับโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ตในเฟสที่ 3 ที่มีการประกาศออกมานั้น “ผู้ที่ได้บ้าง” คือประชาชนทั่วไปที่ผ่านเกณฑ์คุณสมบัติตามที่รัฐบาลกำหนด ซึ่งเงื่อนไขสำคัญประกอบด้วย:

  • อายุ: ต้องมีอายุ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ปิดรับลงทะเบียน
  • ทะเบียนบ้าน: มีชื่อและที่อยู่ในทะเบียนบ้านตามที่กำหนด
  • รายได้: ไม่เป็นผู้มีเงินได้พึงประเมินเกิน 840,000 บาทต่อปีภาษี ในปีภาษี 2566
  • เงินฝาก: ไม่มีเงินฝากในบัญชีธนาคารรวมกันเกิน 500,000 บาท ณ วันที่ตรวจสอบ
  • สถานะอื่นๆ: ไม่เป็นผู้ที่ถูกระงับสิทธิ์หรือถูกเรียกเงินคืนในมาตรการอื่นๆ ของรัฐ

จะเห็นได้ว่ากลุ่มเป้าหมายคือประชาชนทั่วไปที่เข้าเกณฑ์ ไม่ได้จำกัดเฉพาะนักลงทุน และเงินที่ได้รับมีวัตถุประสงค์เพื่อการใช้จ่าย ไม่ใช่การลงทุน

กรอบเวลา, งบประมาณ และผลกระทบที่คาดหวัง

โครงการนี้มีการจัดสรรงบประมาณไว้กว่า 160,000 ล้านบาท และคาดว่าจะเริ่มมีการแจกจ่ายเงินให้กับผู้มีสิทธิ์ได้ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี พ.ศ. 2568 เงินจะถูกโอนผ่านแอปพลิเคชันของรัฐที่กำหนด เพื่อให้สามารถควบคุมการใช้จ่ายให้อยู่ในพื้นที่และประเภทของร้านค้าตามเงื่อนไข ซึ่งแตกต่างจาก Green Token ที่เป็นการซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัล

ตารางเปรียบเทียบความแตกต่าง

เพื่อให้เห็นภาพความแตกต่างระหว่าง “เงินดิจิทัลสีเขียว” และ “เงินดิจิทัลวอลเล็ต” ของรัฐบาลได้ชัดเจนยิ่งขึ้น สามารถสรุปประเด็นสำคัญได้ดังตารางต่อไปนี้

ตารางเปรียบเทียบระหว่างเงินดิจิทัลสีเขียว (Green Token) และเงินดิจิทัลวอลเล็ตภาครัฐ
คุณสมบัติ เงินดิจิทัลสีเขียว (Green Token) เงินดิจิทัลวอลเล็ตภาครัฐ
วัตถุประสงค์หลัก การระดมทุนเพื่อโครงการสิ่งแวดล้อม การกระตุ้นเศรษฐกิจและการบริโภคภายในประเทศ
ที่มาของเงิน มาจากเงินลงทุนของนักลงทุนรายบุคคลและสถาบัน มาจากงบประมาณแผ่นดินของภาครัฐ
ผู้ที่ “ได้” ผู้ลงทุนที่ซื้อโทเคน ประชาชนทั่วไปที่มีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขที่รัฐกำหนด
รูปแบบ สินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อการลงทุน มีความเสี่ยง สิทธิในการใช้จ่ายตามวงเงินที่กำหนด
ผลตอบแทน ผลตอบแทนจากการลงทุน (อาจมีกำไรหรือขาดทุน) การได้รับสินค้าและบริการจากการใช้จ่าย
หน่วยงานกำกับดูแล สำนักงาน ก.ล.ต. กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่รัฐบาลมอบหมาย
การใช้งาน ซื้อขายแลกเปลี่ยนบนแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัล ใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชันของรัฐกับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ

อนาคตของเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อความยั่งยืน

แนวคิดของ Green Token เป็นเพียงส่วนหนึ่งของภาพใหญ่ที่เรียกว่า “การเงินที่ยั่งยืน” (Sustainable Finance) ซึ่งเทคโนโลยีดิจิทัลกำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์เครื่องมือและแพลตฟอร์มใหม่ๆ ที่ช่วยให้การจัดสรรเงินทุนไปยังโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมทำได้อย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใสมากขึ้น

Green Cryptocurrencies: นวัตกรรมลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

นอกเหนือจาก Green Token ที่ใช้ระดมทุนแล้ว ในโลกของคริปโตเคอร์เรนซียังมีแนวคิดเรื่อง “สกุลเงินดิจิทัลสีเขียว” (Green Cryptocurrencies) ซึ่งหมายถึงสกุลเงินดิจิทัลที่ถูกออกแบบมาให้ใช้พลังงานในกระบวนการตรวจสอบและยืนยันธุรกรรม (Mining หรือ Consensus Mechanism) น้อยกว่าสกุลเงินดิจิทัลรุ่นแรกๆ เช่น Bitcoin แนวคิดนี้เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อข้อกังวลด้านผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการใช้พลังงานมหาศาลของเทคโนโลยีบล็อกเชนบางประเภท และเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการนำนวัตกรรมมาใช้เพื่อแก้ปัญหาและส่งเสริมความยั่งยืน

บทสรุป: ทิศทางและการปรับตัว

โดยสรุปแล้ว คำตอบของคำถาม “แจกอีก! เงินดิจิทัลสีเขียวคืออะไร ใครได้บ้าง” นั้นมีความชัดเจนว่า เงินดิจิทัลสีเขียวไม่ใช่โครงการแจกเงินจากรัฐบาล แต่เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อการลงทุนในโครงการด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งผู้ที่ “ได้” คือนักลงทุนที่นำเงินไปแลกซื้อโทเคน โดยหวังผลตอบแทนในอนาคตและมีส่วนร่วมสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อโลก ในขณะที่โครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท คือนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ภาครัฐมอบสิทธิการใช้จ่ายให้แก่ประชาชนผู้มีคุณสมบัติตามเกณฑ์

การเกิดขึ้นของเครื่องมือทางการเงินดิจิทัลทั้งสองรูปแบบสะท้อนให้เห็นถึงทิศทางของโลกอนาคต ที่เทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนสำคัญทั้งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการส่งเสริมเป้าหมายด้านความยั่งยืน การทำความเข้าใจความแตกต่างของเงินดิจิทัลแต่ละประเภทจึงเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับพลเมืองในยุคดิจิทัล เพื่อให้สามารถตัดสินใจทางการเงิน และเลือกใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีได้อย่างถูกต้องและสอดคล้องกับเป้าหมายของตนเองมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนเพื่ออนาคต หรือการใช้สิทธิตามนโยบายของภาครัฐ