รื้อใหญ่! สพฐ.สั่งยุบวิชาหลัก มุ่ง ‘ทักษะอนาคต’


รื้อใหญ่! สพฐ.สั่งยุบวิชาหลัก มุ่ง ‘ทักษะอนาคต’

สารบัญ

ระบบการศึกษาไทยกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ เมื่อสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ประกาศนโยบายปรับเปลี่ยนโครงสร้างหลักสูตรครั้งสำคัญ ซึ่งอาจนำไปสู่การยุติบทบาทของรายวิชาหลักแบบดั้งเดิมที่เน้นการท่องจำเนื้อหา เพื่อเปิดทางให้กับกระบวนการเรียนรู้รูปแบบใหม่ที่มุ่งสร้างเสริม “ทักษะแห่งอนาคต” ให้แก่ผู้เรียนอย่างแท้จริง

ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ

  • สพฐ. กำลังผลักดันการเปลี่ยนผ่านจากหลักสูตรที่เน้นเนื้อหาวิชา (Content-based) ไปสู่หลักสูตรฐานสมรรถนะ (Competency-based) อย่างเต็มรูปแบบ
  • เป้าหมายหลักคือการพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับศตวรรษที่ 21 เช่น การคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา ความฉลาดทางดิจิทัล และการทำงานร่วมกับผู้อื่น
  • การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่การยกเลิกเนื้อหาวิชา แต่เป็นการปรับเปลี่ยนวิธีการสอนให้มุ่งเน้นการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์จริง
  • กระบวนการปฏิรูปนี้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 และกำลังเข้าสู่ขั้นตอนการนำไปใช้ในวงกว้าง
  • การปฏิรูปครั้งนี้มีเป้าหมายระยะยาวเพื่อเตรียมความพร้อมให้เยาวชนไทยสามารถแข่งขันและใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขในโลกยุค AI และการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว

ภาพรวมการปฏิรูปการศึกษาไทยครั้งสำคัญ

การประกาศนโยบาย **รื้อใหญ่! สพฐ.สั่งยุบวิชาหลัก มุ่ง ‘ทักษะอนาคต’** ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานของประเทศไทย การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนให้เห็นถึงความตระหนักของหน่วยงานภาครัฐต่อความจำเป็นในการปรับตัวให้ทันต่อพลวัตของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการเข้ามามีบทบาทของปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีดิจิทัลในทุกมิติของชีวิต นโยบายดังกล่าวไม่ได้หมายถึงการยกเลิกการเรียนเนื้อหาวิชาพื้นฐาน แต่เป็นการปรับกระบวนทัศน์จากการเรียนเพื่อ “รู้” ไปสู่การเรียนเพื่อ “ทำได้” และ “ปรับใช้เป็น” โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการสร้างพลเมืองที่มีคุณภาพ สามารถแก้ปัญหาที่ซับซ้อน คิดวิเคราะห์อย่างมีวิจารณญาณ และเรียนรู้ได้ด้วยตนเองตลอดชีวิต

แนวคิดเบื้องหลังการปฏิรูปครั้งนี้คือการตระหนักว่าโลกในอนาคตต้องการบุคลากรที่มีความสามารถมากกว่าเพียงแค่การครอบครององค์ความรู้ แต่ต้องเป็นผู้ที่สามารถบูรณาการความรู้ต่างๆ เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมและรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อนได้ ดังนั้น การปรับโครงสร้างหลักสูตรจึงมุ่งลดความสำคัญของการเรียนการสอนแบบบรรยายในห้องเรียนที่เน้นการท่องจำเนื้อหาในตำราเป็นหลัก และหันไปส่งเสริมการเรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบัติ (Project-based Learning) การแก้ปัญหาจากสถานการณ์จริง (Problem-based Learning) และการทำงานร่วมกันเป็นทีม (Collaborative Learning) เพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนา “สมรรถนะ” ที่จำเป็นอย่างเป็นธรรมชาติ

การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อนักเรียน ครู ผู้บริหารสถานศึกษา และผู้ปกครองทั่วประเทศ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเตรียมความพร้อมให้เยาวชนรุ่นใหม่ของไทยก้าวสู่โลกในปี 2030 และ 2040 ได้อย่างมั่นคงและมีศักยภาพ การปฏิรูปครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การปรับเปลี่ยนรายวิชา แต่เป็นการวางรากฐานใหม่ให้กับอนาคตของประเทศผ่านการพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษาที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากลและความต้องการของสังคมยุคใหม่

จากหลักสูตรอิงเนื้อหาสู่ ‘ฐานสมรรถนะ’: การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง

หัวใจสำคัญของการปฏิรูปการศึกษาครั้งนี้คือการเปลี่ยนผ่านจาก “หลักสูตรอิงมาตรฐาน” (Standard-based Curriculum) ที่ใช้กันมาอย่างยาวนาน ไปสู่ “หลักสูตรฐานสมรรถนะ” (Competency-based Curriculum) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้างที่ส่งผลต่อทุกมิติของการจัดการเรียนการสอน

นิยามของการศึกษาฐานสมรรถนะ

การศึกษาฐานสมรรถนะ คือแนวทางการจัดการศึกษาที่ให้ความสำคัญกับผลลัพธ์การเรียนรู้ที่วัดได้จากการกระทำหรือการปฏิบัติของผู้เรียน โดย “สมรรถนะ” (Competency) หมายถึง ความสามารถในการประยุกต์ใช้ความรู้ (Knowledge), ทักษะ (Skills), และคุณลักษณะ (Attributes) ต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาหรือปฏิบัติงานให้สำเร็จลุล่วงในบริบทและสถานการณ์ที่หลากหลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แทนที่จะกำหนดว่าผู้เรียนต้อง “เรียนรู้อะไร” หลักสูตรฐานสมรรถนะจะกำหนดว่าผู้เรียนต้อง “ทำอะไรได้” หลังจากการเรียนรู้เรื่องนั้นๆ แล้ว ตัวอย่างเช่น แทนที่จะวัดผลว่านักเรียนจำสูตรคณิตศาสตร์ได้หรือไม่ จะเปลี่ยนไปวัดผลว่านักเรียนสามารถนำสูตรนั้นไปใช้แก้ปัญหาในชีวิตประจำวันได้อย่างไร หรือแทนที่จะวัดว่านักเรียนท่องศัพท์ภาษาอังกฤษได้กี่คำ จะเปลี่ยนไปวัดว่านักเรียนสามารถใช้ภาษาอังกฤษเพื่อสื่อสารในสถานการณ์จริงได้ดีเพียงใด

การเปลี่ยนแปลงสู่ฐานสมรรถนะ คือการเปลี่ยนโฟกัสจากการ “ครอบครองความรู้” ไปสู่การ “ใช้ความรู้ให้เกิดประโยชน์” ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับโลกที่ข้อมูลข่าวสารสามารถเข้าถึงได้ง่าย แต่ความสามารถในการนำข้อมูลมาประยุกต์ใช้กลับเป็นสิ่งที่หาได้ยาก

เปรียบเทียบหลักสูตรเดิมและหลักสูตรใหม่

เพื่อให้เห็นภาพความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างแนวทางการจัดการศึกษาแบบเดิมและแนวทางใหม่ สามารถเปรียบเทียบในมิติต่างๆ ได้ดังตารางต่อไปนี้:

ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างหลักสูตรอิงเนื้อหา (แบบเดิม) และหลักสูตรฐานสมรรถนะ (แบบใหม่)
มิติการเปรียบเทียบ หลักสูตรอิงเนื้อหา (แบบเดิม) หลักสูตรฐานสมรรถนะ (แบบใหม่)
เป้าหมายการเรียนรู้ เน้นการเรียนรู้และจดจำเนื้อหาสาระตามรายวิชาที่กำหนดไว้ เน้นการพัฒนาความสามารถในการนำความรู้ ทักษะ และเจตคติไปประยุกต์ใช้
บทบาทของครู เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ (Transmitter) และเป็นศูนย์กลางของห้องเรียน เป็นผู้อำนวยความสะดวก (Facilitator) และผู้ออกแบบกระบวนการเรียนรู้
บทบาทของผู้เรียน เป็นผู้รับความรู้ (Receiver) มีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ครูกำหนด เป็นผู้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (Active Learner) ผ่านการลงมือปฏิบัติ
การวัดและประเมินผล เน้นการทดสอบความจำและความเข้าใจในเนื้อหา เช่น การสอบกลางภาค/ปลายภาค เน้นการประเมินผลตามสภาพจริง (Authentic Assessment) เช่น แฟ้มสะสมงาน, การประเมินชิ้นงาน, การสังเกตพฤติกรรม
โครงสร้างหลักสูตร แบ่งเป็นรายวิชาที่แยกขาดจากกัน เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาไทย เน้นการเรียนรู้แบบบูรณาการข้ามศาสตร์ (Interdisciplinary) ผ่านหัวข้อหรือโครงงาน
ผลลัพธ์ที่คาดหวัง ผู้เรียนมีความรู้ทางวิชาการในสาขาต่างๆ ผู้เรียนมีสมรรถนะที่พร้อมใช้ในการทำงานและการดำเนินชีวิต

แก่นแท้ของ ‘ทักษะแห่งอนาคต’: สิ่งที่ผู้เรียนยุคใหม่ต้องมี

แก่นแท้ของ 'ทักษะแห่งอนาคต': สิ่งที่ผู้เรียนยุคใหม่ต้องมี

การปรับหลักสูตรครั้งนี้มุ่งเน้นการสร้าง “ทักษะแห่งอนาคต” (Future Skills) หรือที่เรียกว่าสมรรถนะหลัก ซึ่งเป็นกลุ่มของทักษะที่จำเป็นต่อการทำงานและการใช้ชีวิตในศตวรรษที่ 21 ทักษะเหล่านี้ไม่ใช่ความรู้ทางวิชาการใหม่ แต่เป็นความสามารถในการประยุกต์ใช้ความรู้เพื่อรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ โดยสมรรถนะสำคัญที่ สพฐ. และกระทรวงศึกษาธิการมุ่งพัฒนามีดังนี้

ทักษะการคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหาเชิงซับซ้อน

ในโลกปัจจุบัน ปัญหาส่วนใหญ่ไม่ได้มีคำตอบที่ตายตัว แต่มีความซับซ้อนและเชื่อมโยงกันในหลายมิติ ผู้เรียนจึงจำเป็นต้องมีทักษะในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical Thinking) สามารถวิเคราะห์ข้อมูล แยกแยะข้อเท็จจริงออกจากความคิดเห็น ประเมินความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูล และมองเห็นความเชื่อมโยงของปัจจัยต่างๆ เพื่อทำความเข้าใจแก่นแท้ของปัญหา นอกจากนี้ ยังต้องมีความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) ในการเสนอแนวทางการแก้ปัญหาที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพ ไม่ยึดติดกับกรอบความคิดเดิมๆ

ความฉลาดทางดิจิทัลและการใช้เทคโนโลยี

ทักษะนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในยุค AI ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่การใช้คอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนเป็น แต่หมายถึงความเข้าใจในหลักการทำงานของเทคโนโลยีดิจิทัล สามารถใช้เครื่องมือดิจิทัลในการสืบค้นข้อมูล วิเคราะห์ และนำเสนอได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการเป็นพลเมืองดิจิทัลที่มีความรับผิดชอบ รู้เท่าทันสื่อ เข้าใจเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์ และสามารถใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างประโยชน์ต่อตนเองและสังคมได้

ทักษะการสื่อสารและความร่วมมือระหว่างบุคคล

การทำงานในอนาคตต้องอาศัยการทำงานร่วมกับผู้อื่นที่มีความแตกต่างหลากหลายมากขึ้น ดังนั้น ทักษะในการสื่อสาร (Communication) ทั้งการพูด การเขียน และการนำเสนอ ให้ผู้อื่นเข้าใจได้อย่างชัดเจนจึงเป็นสิ่งจำเป็น ควบคู่ไปกับทักษะการทำงานร่วมกันเป็นทีม (Collaboration) ซึ่งรวมถึงความสามารถในการรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น การเจรจาต่อรอง การบริหารจัดการความขัดแย้ง และการทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกัน ดังจะเห็นได้จากความพยายามในการปรับหลักสูตรภาษาอังกฤษที่เน้นการสื่อสารจริงตามกรอบ CEFR และ CLT

ความสามารถในการปรับตัวและการเรียนรู้ตลอดชีวิต

องค์ความรู้และเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความรู้ที่เรียนในวันนี้อาจล้าสมัยในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ทักษะที่สำคัญที่สุดจึงเป็นความสามารถในการปรับตัว (Adaptability) ต่อการเปลี่ยนแปลง และความกระตือรือร้นในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ด้วยตนเองตลอดชีวิต (Lifelong Learning) ผู้เรียนต้องมี Growth Mindset คือเชื่อมั่นว่าตนเองสามารถพัฒนาได้ มีความสามารถในการตั้งเป้าหมายการเรียนรู้ วางแผน และแสวงหาความรู้จากแหล่งต่างๆ เพื่อพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง

เส้นทางการพัฒนาและการนำร่องหลักสูตรฐานสมรรถนะ

การปฏิรูปการศึกษาครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่เป็นผลจากกระบวนการศึกษาและพัฒนาที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี โดยมีความพยายามในการวางรากฐานและทดลองใช้ในพื้นที่ต่างๆ เพื่อให้แน่ใจว่าหลักสูตรใหม่จะสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงสามารถย้อนกลับไปได้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 ซึ่งเริ่มมีการพูดคุยและวิจัยเกี่ยวกับความจำเป็นในการปรับเปลี่ยนหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานให้สอดคล้องกับทิศทางของโลก ต่อมาในปี 2562 ได้มีการกำหนดกรอบสมรรถนะหลักสำหรับผู้เรียนขึ้นเป็นครั้งแรก ประกอบด้วยสมรรถนะ 10 ด้าน ซึ่งเป็นต้นแบบในการพัฒนาต่อยอด

ในช่วงปี 2563-2564 กรอบสมรรถนะได้ถูกพัฒนาและปรับปรุงให้มีความกระชับและชัดเจนยิ่งขึ้น โดยสรุปเหลือเป็นสมรรถนะหลักที่สำคัญ 5-6 ด้าน ซึ่งเป็นแกนกลางของหลักสูตรฐานสมรรถนะฉบับร่างที่กำลังพัฒนาอยู่ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาดังกล่าว ยังไม่มีการนำหลักสูตรฉบับใหม่มาใช้แทนที่หลักสูตรแกนกลางฯ พ.ศ. 2551 อย่างเป็นทางการ แต่มีการส่งเสริมให้โรงเรียนนำร่องในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาได้ทดลองนำแนวคิดและกระบวนการเรียนรู้ฐานสมรรถนะไปปรับใช้ เพื่อเก็บข้อมูลและถอดบทเรียนสำหรับการขยายผลในอนาคต

ในปี 2568 (ค.ศ. 2025) สพฐ. และกระทรวงศึกษาธิการได้ยกระดับความมุ่งมั่นในการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม โดยตั้งเป้าหมายที่จะเริ่มนำร่องหลักสูตรฐานสมรรถนะในวงกว้างมากขึ้น และเตรียมความพร้อมในทุกด้าน ทั้งการพัฒนาครู การจัดทำสื่อการเรียนรู้ และการออกแบบระบบการวัดผลประเมินผลใหม่ เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนระยะยาวในการยกระดับคุณภาพการศึกษาไทยเพื่ออนาคตในปี 2030 และ 2040 ต่อไป

ความท้าทายและผลกระทบที่คาดหวังจากการปฏิรูป

แม้ว่าการเปลี่ยนผ่านสู่หลักสูตรฐานสมรรถนะจะมีเป้าหมายที่ดี แต่เส้นทางสู่การปฏิบัติจริงนั้นย่อมต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ขณะเดียวกันก็สร้างความคาดหวังถึงผลลัพธ์เชิงบวกที่จะเกิดขึ้นกับระบบการศึกษาในระยะยาว

ความท้าทายที่สำคัญ:

  • การพัฒนาครู: ครูผู้สอนคือหัวใจสำคัญของการปฏิรูป ครูจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาและปรับเปลี่ยนบทบาทจากผู้บรรยายหน้าชั้นเรียนมาเป็นผู้ออกแบบและอำนวยความสะดวกในกระบวนการเรียนรู้ ซึ่งต้องอาศัยการอบรมที่เข้มข้นและต่อเนื่อง
  • การปรับเปลี่ยนระบบการวัดผล: ระบบการสอบแบบเดิมที่เน้นความจำ เช่น O-NET หรือการสอบเข้ามหาวิทยาลัย อาจไม่สอดคล้องกับเป้าหมายของหลักสูตรใหม่ จึงจำเป็นต้องมีการพัฒนารูปแบบการประเมินที่หลากหลายและสามารถวัดสมรรถนะของผู้เรียนได้อย่างแท้จริง
  • ความเข้าใจของผู้ปกครองและสังคม: สังคมไทยยังคงคุ้นเคยกับระบบการศึกษาที่เน้นเกรดเฉลี่ยและการแข่งขันทางวิชาการ การสร้างความเข้าใจและทำให้ผู้ปกครองเชื่อมั่นในแนวทางใหม่จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง
  • ความพร้อมของทรัพยากรและโครงสร้างพื้นฐาน: การเรียนรู้ฐานสมรรถนะมักต้องอาศัยสื่อการเรียนรู้และสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงมือปฏิบัติ การกระจายทรัพยากรให้ทั่วถึงทุกโรงเรียนจึงเป็นความท้าทายเชิงนโยบาย

ผลกระทบเชิงบวกที่คาดหวัง:

  • ผู้เรียนมีทักษะพร้อมสำหรับอนาคต: บัณฑิตที่จบการศึกษาจะมีทักษะที่ตลาดแรงงานต้องการ สามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับองค์กรและสังคมได้
  • ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา: การเน้นสมรรถนะที่สามารถฝึกฝนได้ผ่านการปฏิบัติ อาจช่วยลดช่องว่างที่เกิดจากความแตกต่างทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งเดิมทีการเข้าถึงความรู้เชิงวิชาการที่ดีมักกระจุกตัวอยู่ในเมืองใหญ่
  • ผู้เรียนมีความสุขในการเรียนรู้: การเรียนรู้ที่เชื่อมโยงกับชีวิตจริงและเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้คิดและลงมือทำด้วยตนเอง จะช่วยสร้างแรงจูงใจและทำให้การเรียนเป็นเรื่องที่สนุกและมีความหมายมากขึ้น
  • สร้างสังคมแห่งการเรียนรู้: การปลูกฝังทัศนคติของการเรียนรู้ตลอดชีวิตจะช่วยสร้างสังคมที่เข้มแข็งและพร้อมรับมือกับความท้าทายในอนาคตได้อย่างยั่งยืน

บทสรุป: ทิศทางการศึกษาไทยเพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืน

การตัดสินใจของ สพฐ. ในการ **รื้อใหญ่! สพฐ.สั่งยุบวิชาหลัก มุ่ง ‘ทักษะอนาคต’** นับเป็นก้าวที่กล้าหาญและจำเป็นอย่างยิ่งต่ออนาคตของประเทศ การเปลี่ยนผ่านจากระบบการศึกษาที่เน้นเนื้อหาไปสู่หลักสูตรฐานสมรรถนะคือการตอบสนองต่อความต้องการของโลกยุคใหม่ที่ให้คุณค่ากับความสามารถในการประยุกต์ใช้ความรู้มากกว่าการครอบครองความรู้เพียงอย่างเดียว

แม้ว่าเส้นทางข้างหน้าจะเต็มไปด้วยความท้าทาย ทั้งในด้านการพัฒนาบุคลากรครู การปรับเปลี่ยนทัศนคติของสังคม และการสร้างระบบสนับสนุนที่แข็งแกร่ง แต่นี่คือการลงทุนที่สำคัญที่สุดในการสร้างทุนมนุษย์ที่มีคุณภาพ การปฏิรูปครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนหนังสือเรียนหรือวิธีการสอน แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงวิธีคิดและเป้าหมายของการศึกษาทั้งหมด เพื่อบ่มเพาะคนรุ่นใหม่ให้เป็นผู้ที่มีความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตนเอง คิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล แก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ และทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นสมรรถนะสำคัญที่จะนำพาประเทศไทยให้ก้าวข้ามความท้าทายและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในศตวรรษที่ 21