อย. ไฟเขียว! ซีฟู้ดเพาะเนื้อเยื่อ วางขายในไทยแล้ว


อย. ไฟเขียว! ซีฟู้ดเพาะเนื้อเยื่อ วางขายในไทยแล้ว

สารบัญ

กระแสข่าวเกี่ยวกับ อย. ไฟเขียว! ซีฟู้ดเพาะเนื้อเยื่อ วางขายในไทยแล้ว ได้จุดประกายความสนใจในวงกว้างต่อเทคโนโลยีการผลิตอาหารรูปแบบใหม่ที่เรียกว่าเนื้อสัตว์เพาะเลี้ยงจากเซลล์ (Cell-cultured meat) หรือที่รู้จักในชื่อ Lab-grown seafood นวัตกรรมนี้ถือเป็นความก้าวหน้าที่อาจปฏิวัติอุตสาหกรรมอาหารและสร้างผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ

  • ซีฟู้ดเพาะเนื้อเยื่อ คือเนื้อสัตว์ทะเลที่ผลิตขึ้นในห้องปฏิบัติการโดยการเพาะเลี้ยงเซลล์สัตว์โดยตรง ไม่ได้มาจากการทำประมงหรือการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำแบบดั้งเดิม
  • เทคโนโลยีนี้มีศักยภาพในการสร้าง ความมั่นคงทางอาหาร ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการทำประมงเกินขนาด และมอบผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยจากสารปนเปื้อนในทะเล
  • ณ เดือนกันยายน 2568 ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของไทย เกี่ยวกับการอนุมัติให้จำหน่ายซีฟู้ดเพาะเนื้อเยื่อในเชิงพาณิชย์
  • ความท้าทายหลักของ อาหารแห่งอนาคต นี้ยังคงเป็นเรื่องต้นทุนการผลิต การยอมรับของผู้บริโภค และการสร้างกรอบกฎหมายกำกับดูแลที่ชัดเจน
  • หลายประเทศทั่วโลก เช่น สิงคโปร์และสหรัฐอเมริกา ได้เริ่มอนุมัติผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์เพาะเลี้ยงแล้ว ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงทิศทางของอุตสาหกรรมอาหารโลกในอนาคต

ข้อเท็จจริงเบื้องหลังข่าว: อย. อนุมัติจริงหรือ?

ประเด็นเรื่อง อย. ไฟเขียว! ซีฟู้ดเพาะเนื้อเยื่อ วางขายในไทยแล้ว กลายเป็นหัวข้อที่ถูกพูดถึงอย่างแพร่หลาย อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งข่าวที่เป็นทางการและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ณ ปัจจุบัน ยังไม่พบการยืนยันหรือประกาศอย่างเป็นทางการจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของประเทศไทย เกี่ยวกับการอนุญาตให้นำเข้าหรือผลิตเพื่อจำหน่ายซีฟู้ดเพาะเนื้อเยื่อในเชิงพาณิชย์แต่อย่างใด

กระแสข่าวดังกล่าวอาจเกิดจากความตื่นตัวต่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอาหารในระดับโลก ซึ่งหลายประเทศเริ่มมีการพิจารณาและอนุมัติผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ ประกอบกับในประเทศไทยเองก็มีการวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงเซลล์อย่างต่อเนื่องในภาคส่วนต่างๆ เช่น การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชเพื่อการเกษตร ซึ่งเป็นเทคนิคที่มีการใช้งานมาอย่างยาวนาน อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงเซลล์เพื่อผลิตเป็นอาหารสำหรับมนุษย์ โดยเฉพาะเนื้อสัตว์และอาหารทะเล ถือเป็นเรื่องใหม่ที่ต้องผ่านกระบวนการประเมินความปลอดภัยและกำหนดมาตรฐานที่รัดกุมอย่างยิ่ง

ดังนั้น ข้อมูลที่แพร่หลายอยู่ในขณะนี้จึงควรได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบ และควรรอการแถลงการณ์อย่างเป็นทางการจาก อย. หรือหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและแม่นยำที่สุดเกี่ยวกับสถานะของ นวัตกรรมอาหาร ชนิดนี้ในประเทศไทย

ทำความรู้จักซีฟู้ดเพาะเนื้อเยื่อ: นวัตกรรมเปลี่ยนโลก

ซีฟู้ดเพาะเนื้อเยื่อ หรือ Lab-grown seafood เป็นการนำเสนอทางเลือกใหม่ในการผลิตโปรตีนจากสัตว์ทะเล โดยไม่ต้องพึ่งพาทรัพยากรทางทะเลแบบดั้งเดิม เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงแต่เป็นความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ แต่ยังเป็นคำตอบที่เป็นไปได้สำหรับความท้าทายระดับโลกหลายประการ

คำจำกัดความและหลักการทำงาน

ซีฟู้ดเพาะเนื้อเยื่อ คือผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่ได้จากการเพาะเลี้ยงเซลล์ของสัตว์น้ำ เช่น ปลา กุ้ง หรือปู ในสภาพแวดล้อมที่ถูกควบคุมอย่างสมบูรณ์ภายในห้องปฏิบัติการหรือโรงงานผลิต แทนที่จะเป็นการจับจากธรรมชาติหรือเลี้ยงในฟาร์ม กระบวนการนี้อาศัยหลักการทางชีววิทยาระดับเซลล์เพื่อสร้างเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อและไขมันที่มีโครงสร้าง รสชาติ และคุณค่าทางโภชนาการใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์ทะเลตามธรรมชาติ

หลักการทำงานพื้นฐานเริ่มต้นจากการเก็บตัวอย่างเซลล์ต้นกำเนิด (Stem cells) จำนวนเล็กน้อยจากสัตว์ทะเลที่มีชีวิต โดยไม่จำเป็นต้องทำอันตรายถึงชีวิตสัตว์นั้นๆ เซลล์เหล่านี้จะถูกนำไปเพาะเลี้ยงในถังปฏิกรณ์ชีวภาพ (Bioreactor) ซึ่งเปรียบเสมือนสภาพแวดล้อมจำลองที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต ภายในถังจะมีสารอาหารที่จำเป็นครบถ้วน เช่น กรดอะมิโน วิตามิน และแร่ธาตุ เพื่อกระตุ้นให้เซลล์แบ่งตัวและพัฒนาไปเป็นเส้นใยกล้ามเนื้อและไขมัน จนกระทั่งรวมตัวกันเป็นชิ้นเนื้อที่พร้อมสำหรับการบริโภค

กระบวนการผลิตซีฟู้ดเพาะเนื้อเยื่อเป็นการเลียนแบบกระบวนการสร้างเนื้อเยื่อตามธรรมชาติของสัตว์ แต่เกิดขึ้นภายนอกร่างกายของสัตว์ ในสภาวะที่ปลอดเชื้อและควบคุมได้ทั้งหมด

จากห้องปฏิบัติการสู่จานอาหาร: กระบวนการผลิต

กระบวนการผลิต ซีฟู้ดเพาะเนื้อเยื่อ สามารถแบ่งออกเป็นขั้นตอนหลักๆ ได้ดังนี้:

  1. การคัดเลือกและเก็บตัวอย่างเซลล์ (Cell Isolation): นักวิทยาศาสตร์จะทำการเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อขนาดเล็กจากสัตว์ทะเลเป้าหมาย และคัดแยกเฉพาะเซลล์ต้นกำเนิดที่มีความสามารถในการแบ่งตัวและพัฒนาไปเป็นเซลล์กล้ามเนื้อและไขมัน
  2. การเพาะเลี้ยงและเพิ่มจำนวน (Proliferation): เซลล์ที่คัดเลือกมาจะถูกนำไปใส่ในสารอาหารเหลว (Culture medium) ภายในถังปฏิกรณ์ชีวภาพ เซลล์จะเริ่มแบ่งตัวเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างทวีคูณในขั้นตอนนี้
  3. การพัฒนาเป็นเนื้อเยื่อ (Differentiation): เมื่อมีจำนวนเซลล์มากเพียงพอ สารอาหารจะถูกปรับเปลี่ยนเพื่อกระตุ้นให้เซลล์พัฒนาไปเป็นเซลล์ชนิดต่างๆ ที่เป็นองค์ประกอบของเนื้อสัตว์ เช่น เซลล์กล้ามเนื้อ เซลล์ไขมัน และเซลล์เกี่ยวพัน ในขั้นตอนนี้ อาจมีการใช้โครงสร้างพยุง (Scaffold) ที่ทำจากวัสดุที่บริโภคได้ เช่น โปรตีนจากพืช เพื่อช่วยให้เซลล์ยึดเกาะและเรียงตัวกันเป็นโครงสร้างสามมิติคล้ายชิ้นเนื้อจริง
  4. การเก็บเกี่ยว (Harvesting): เมื่อเนื้อเยื่อเจริญเติบโตเต็มที่จนมีขนาดและคุณสมบัติตามที่ต้องการแล้ว จะถูกนำออกจากถังปฏิกรณ์ชีวภาพเพื่อนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหารต่อไป เช่น เนื้อปลาแล่ เบอร์เกอร์ปลา หรือเนื้อกุ้งสำหรับปรุงอาหาร

กระบวนการทั้งหมดนี้ใช้เวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ ซึ่งรวดเร็วกว่าการเลี้ยงสัตว์น้ำในฟาร์มที่อาจใช้เวลาหลายเดือนหรือหลายปี และสามารถผลิตได้อย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งปีโดยไม่ขึ้นอยู่กับฤดูกาลหรือสภาพอากาศ

เหตุผลที่ซีฟู้ดเพาะเนื้อเยื่อคือ “อาหารแห่งอนาคต”

เหตุผลที่ซีฟู้ดเพาะเนื้อเยื่อคือ “อาหารแห่งอนาคต”

การเติบโตของประชากรโลกที่คาดว่าจะสูงถึงหมื่นล้านคนในอีกไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า ทำให้ความต้องการโปรตีนเพิ่มสูงขึ้นอย่างมหาศาล อุตสาหกรรมอาหารแบบดั้งเดิมกำลังเผชิญกับแรงกดดันอย่างหนัก ซีฟู้ดเพาะเนื้อเยื่อจึงกลายเป็นหนึ่งใน อาหารแห่งอนาคต ที่มีศักยภาพในการตอบโจทย์ความท้าทายเหล่านี้

กุญแจสู่ความมั่นคงทางอาหาร

ความมั่นคงทางอาหาร เป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญระดับโลก การทำประมงเกินขนาด (Overfishing) ได้ทำลายระบบนิเวศทางทะเลและทำให้ประชากรสัตว์น้ำหลายชนิดลดลงจนอยู่ในภาวะวิกฤต ขณะที่การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำแบบดั้งเดิมก็มีข้อจำกัดด้านพื้นที่และอาจก่อให้เกิดมลภาวะได้ ซีฟู้ดเพาะเนื้อเยื่อนำเสนอแนวทางการผลิตที่ไม่ต้องพึ่งพาทรัพยากรจากมหาสมุทรโดยตรง ทำให้สามารถผลิตอาหารทะเลได้ทุกที่ในโลก ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ห่างไกลจากชายฝั่งหรือแม้แต่ในเมืองใหญ่ ซึ่งช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าและสร้างเสถียรภาพด้านราคาและปริมาณการผลิตได้ในระยะยาว

ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

การผลิตอาหารทะเลแบบดั้งเดิมส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในหลายมิติ การทำประมงด้วยเครื่องมือขนาดใหญ่มักเกิดปัญหา “การจับสัตว์น้ำพลอยได้” (Bycatch) ซึ่งทำลายสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในทะเล ส่วนการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในกระชังอาจทำให้เกิดการสะสมของเสียและแพร่กระจายของโรคได้ ในทางตรงกันข้าม การผลิต Lab-grown seafood มีข้อดีหลายประการ:

  • ลดการใช้ทรัพยากร: คาดการณ์ว่ากระบวนการนี้จะใช้น้ำและที่ดินน้อยกว่าการทำฟาร์มสัตว์น้ำอย่างมีนัยสำคัญ
  • ไม่มีปัญหา Bycatch: เนื่องจากเป็นการผลิตที่เจาะจงเฉพาะเซลล์ของสัตว์เป้าหมาย จึงไม่มีการทำลายสัตว์ทะเลชนิดอื่น
  • ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก: กระบวนการผลิตในระบบปิดมีแนวโน้มที่จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่า เมื่อเทียบกับพลังงานที่ใช้ในเรือประมงและห่วงโซ่อุปทานทั้งหมดของการประมงแบบดั้งเดิม

ประโยชน์ด้านสุขภาพและความปลอดภัยของผู้บริโภค

มหาสมุทรในปัจจุบันปนเปื้อนด้วยมลพิษต่างๆ เช่น โลหะหนัก (ปรอท, ตะกั่ว) และไมโครพลาสติก ซึ่งสามารถสะสมในห่วงโซ่อาหารและเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคได้ การผลิตซีฟู้ดเพาะเนื้อเยื่อในสภาพแวดล้อมปลอดเชื้อที่ควบคุมได้ทั้งหมด ช่วยขจัดความเสี่ยงเหล่านี้ได้อย่างสิ้นเชิง ผู้ผลิตสามารถควบคุมคุณภาพและส่วนประกอบทางโภชนาการได้อย่างแม่นยำ เช่น การเพิ่มกรดไขมันโอเมก้า 3 หรือลดปริมาณไขมันอิ่มตัว นอกจากนี้ ยังไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะในกระบวนการเพาะเลี้ยง ซึ่งช่วยลดปัญหาเชื้อดื้อยาที่กำลังเป็นวิกฤตด้านสาธารณสุขทั่วโลก

เปรียบเทียบความแตกต่าง: ซีฟู้ดเพาะเนื้อเยื่อ vs. ซีฟู้ดจากธรรมชาติ

เพื่อให้เห็นภาพความแตกต่างและศักยภาพของนวัตกรรมอาหารชนิดนี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น สามารถเปรียบเทียบคุณสมบัติในด้านต่างๆ ระหว่างซีฟู้ดเพาะเนื้อเยื่อและซีฟู้ดจากธรรมชาติได้ดังตารางต่อไปนี้

ตารางเปรียบเทียบคุณสมบัติระหว่างซีฟู้ดเพาะเนื้อเยื่อและซีฟู้ดที่มาจากแหล่งธรรมชาติ (การประมงและการเพาะเลี้ยง)
คุณสมบัติ ซีฟู้ดเพาะเนื้อเยื่อ (Cultured Seafood) ซีฟู้ดจากธรรมชาติ/ฟาร์ม
แหล่งที่มา ผลิตจากเซลล์สัตว์ในห้องปฏิบัติการหรือโรงงาน จับจากมหาสมุทร แม่น้ำ หรือเลี้ยงในฟาร์ม
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม มีแนวโน้มต่ำกว่า; ลดการใช้ที่ดินและน้ำ, ไม่มีปัญหา Bycatch สูง; การประมงเกินขนาด, ทำลายระบบนิเวศ, การปล่อยของเสียจากฟาร์ม
สารปนเปื้อน ไม่มีสารปนเปื้อน เช่น โลหะหนัก ไมโครพลาสติก และยาปฏิชีวนะ มีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนจากมลภาวะในแหล่งน้ำ
ความสม่ำเสมอของผลิตภัณฑ์ สูงมาก สามารถควบคุมคุณภาพ รสชาติ และคุณค่าทางโภชนาการได้ ผันแปรตามฤดูกาล, แหล่งที่มา และสภาพแวดล้อม
สวัสดิภาพสัตว์ ไม่ต้องมีการฆ่าสัตว์ในกระบวนการผลิตจำนวนมาก (เก็บเซลล์ครั้งเดียว) เกี่ยวข้องกับการจับและการฆ่าสัตว์โดยตรง
ความพร้อมในการจำหน่าย ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น มีจำหน่ายในบางประเทศและมีปริมาณจำกัด มีจำหน่ายอย่างแพร่หลายทั่วโลก
ต้นทุนการผลิต (ปัจจุบัน) ยังคงสูงมาก แต่มีแนวโน้มลดลงเมื่อเทคโนโลยีพัฒนาขึ้น ต่ำกว่าและมีความหลากหลายตามชนิดของสัตว์น้ำ

ความท้าทายและอนาคตของ Lab-grown Seafood ในประเทศไทย

แม้ว่า ซีฟู้ดเพาะเนื้อเยื่อ จะมีศักยภาพมหาศาล แต่การนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ในเชิงพาณิชย์อย่างแพร่หลายยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกอาหารทะเลรายใหญ่ของโลก

อุปสรรคสำคัญที่ต้องก้าวข้าม

  1. ต้นทุนการผลิต: ปัจจุบันต้นทุนของสารอาหารที่ใช้เลี้ยงเซลล์และค่าใช้จ่ายในการสร้างโรงงานที่มีมาตรฐานสูงยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ราคาสินค้าสูงกว่าเนื้อสัตว์ทั่วไป การวิจัยเพื่อลดต้นทุนจึงเป็นสิ่งจำเป็น
  2. การขยายขนาดการผลิต (Scalability): การเปลี่ยนจากกระบวนการผลิตระดับห้องปฏิบัติการไปสู่ระดับอุตสาหกรรมที่สามารถผลิตได้ในปริมาณมากพอต่อความต้องการของตลาดยังเป็นความท้าทายทางวิศวกรรมที่ซับซ้อน
  3. กรอบกฎหมายและการกำกับดูแล: ประเทศไทยจำเป็นต้องพัฒนากฎระเบียบที่ชัดเจนสำหรับผลิตภัณฑ์อาหารใหม่ (Novel food) กลุ่มนี้ ตั้งแต่กระบวนการขออนุญาตผลิต การประเมินความปลอดภัย การติดฉลาก ไปจนถึงการสื่อสารกับผู้บริโภค เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความโปร่งใส
  4. การยอมรับของผู้บริโภค: ความรู้สึกของผู้บริโภคต่ออาหารที่ผลิตจากห้องปฏิบัติการยังเป็นเรื่องที่ต้องให้ความรู้และสร้างความเข้าใจ การสื่อสารถึงประโยชน์ด้านความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม และรสชาติที่เทียบเท่าของจริง จะเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างการยอมรับ

สถานการณ์ในตลาดโลกและแนวโน้มสำหรับประเทศไทย

ในเวทีโลก สิงคโปร์เป็นประเทศแรกที่อนุมัติการจำหน่ายเนื้อไก่เพาะเลี้ยงจากเซลล์ในปี 2563 ตามมาด้วยสหรัฐอเมริกาที่อนุมัติผลิตภัณฑ์เดียวกันในปี 2566 ความเคลื่อนไหวเหล่านี้เป็นสัญญาณชัดเจนว่ารัฐบาลในหลายประเทศเริ่มยอมรับและสนับสนุน นวัตกรรมอาหาร นี้แล้ว บริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีอาหาร (FoodTech) ทั่วโลกกำลังระดมทุนมหาศาลเพื่อวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์เพาะเลี้ยงหลากหลายชนิด ตั้งแต่เนื้อวัวไปจนถึงเนื้อปลาทูน่าครีบน้ำเงิน

สำหรับประเทศไทย ซึ่งมีศักยภาพด้านอุตสาหกรรมอาหารและเทคโนโลยีชีวภาพ การเข้ามาของ Lab-grown seafood อาจเป็นทั้งโอกาสและความท้าทาย หากสามารถพัฒนาเทคโนโลยีและสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการผลิตได้ ก็อาจกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกอาหารแห่งอนาคตในภูมิภาค สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและเสริมสร้างภาพลักษณ์ของประเทศในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมอาหาร อย่างไรก็ตาม หากปรับตัวไม่ทัน ก็อาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกในระยะยาวได้

บทสรุป: ก้าวต่อไปของนวัตกรรมอาหารไทย

โดยสรุป แม้ข่าวลือเรื่อง อย. ไฟเขียว! ซีฟู้ดเพาะเนื้อเยื่อ วางขายในไทยแล้ว จะยังไม่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่ก็ได้สร้างความตื่นตัวและเปิดมุมมองใหม่เกี่ยวกับอนาคตของอาหาร ซีฟู้ดเพาะเนื้อเยื่อเป็นมากกว่าแค่ทางเลือกใหม่บนโต๊ะอาหาร แต่เป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของระบบอาหารโลกไปสู่ความยั่งยืนและความมั่นคง

การเดินทางของ อาหารแห่งอนาคต ชนิดนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐในการวางกรอบนโยบายที่เหมาะสม ภาคเอกชนในการลงทุนวิจัยและพัฒนา และภาคประชาสังคมในการเปิดใจเรียนรู้และยอมรับเทคโนโลยีใหม่ การติดตามข้อมูลข่าวสารจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ โดยเฉพาะประกาศจากหน่วยงานกำกับดูแลอย่างเป็นทางการ จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้สามารถก้าวทันการเปลี่ยนแปลงและเตรียมพร้อมสำหรับยุคใหม่ของอุตสาหกรรมอาหารที่กำลังจะมาถึง