เงินสดจะหายไป? ธปท.ดันบาทดิจิทัลเต็มสูบ


เงินสดจะหายไป? ธปท.ดันบาทดิจิทัลเต็มสูบ

สารบัญ

ในยุคที่การชำระเงินผ่านระบบดิจิทัลกลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวัน คำถามที่ว่า เงินสดจะหายไป? ธปท.ดันบาทดิจิทัลเต็มสูบ จึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป การขับเคลื่อนนโยบายสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางสำหรับภาคประชาชน หรือ Retail CBDC ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ถือเป็นก้าวสำคัญที่อาจเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางการเงินของประเทศอย่างสิ้นเชิง โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อนำพาประเทศไทยเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและสังคมไร้เงินสดอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชน ธุรกิจ และโครงสร้างเศรษฐกิจในภาพรวม

ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ

  • ธนาคารแห่งประเทศไทยกำลังพัฒนาและทดสอบ “บาทดิจิทัล” (Retail CBDC) อย่างจริงจัง เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ในการชำระเงิน ควบคู่ไปกับเงินสดและเงินฝากในปัจจุบัน
  • พฤติกรรมการใช้เงินสดของคนไทยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยหันมานิยมการชำระเงินผ่าน QR Code และ Mobile Banking มากขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความพร้อมในการเข้าสู่สังคมไร้เงินสด
  • การมาถึงของบาทดิจิทัลมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนในระบบการเงิน สร้างความโปร่งใส และเปิดโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ๆ ในยุคดิจิทัล
  • อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านนี้ยังคงมีความท้าทาย โดยเฉพาะผลกระทบต่อกลุ่มผู้ค้าปลีกรายย่อยและผู้สูงอายุที่อาจยังไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยี ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องมีการวางแผนรองรับอย่างรอบคอบ

ทำความเข้าใจ “บาทดิจิทัล” หรือ Retail CBDC

ทำความเข้าใจ "บาทดิจิทัล" หรือ Retail CBDC

การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบการเงินดิจิทัลจำเป็นต้องเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจเครื่องมือสำคัญที่จะเข้ามามีบทบาท นั่นคือ “บาทดิจิทัล” ซึ่งเป็นแนวคิดที่ได้รับการกล่าวถึงอย่างกว้างขวาง แต่หลายคนอาจยังไม่เข้าใจถึงความหมายและบทบาทที่แท้จริงของมัน

นิยามและความแตกต่างจากเงินดิจิทัลประเภทอื่น

บาทดิจิทัล หรือ Retail Central Bank Digital Currency (Retail CBDC) คือ เงินบาทในรูปแบบดิจิทัลที่ออกและรับรองโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งเป็นธนาคารกลางของประเทศ มีสถานะเทียบเท่ากับธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน กล่าวคือ 1 บาทดิจิทัล มีมูลค่าเท่ากับ 1 บาทเสมอ ทำให้มีความน่าเชื่อถือและเสถียรภาพสูงสุด

ความแตกต่างที่สำคัญของบาทดิจิทัลเมื่อเทียบกับเงินดิจิทัลประเภทอื่น สามารถสรุปได้ดังนี้:

  • เงินในบัญชีธนาคาร (Commercial Bank Money): เงินที่เราใช้ผ่าน Mobile Banking หรือบัตรเดบิตนั้นเป็น “หนี้สิน” ของธนาคารพาณิชย์ที่มีต่อผู้ฝากเงิน ในขณะที่บาทดิจิทัลเป็น “หนี้สิน” ของธนาคารกลางโดยตรง ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำกว่าในทางทฤษฎี
  • เงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money): เงินในกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Wallet) ต่างๆ เป็นเงินที่ออกโดยภาคเอกชน แม้จะอยู่ภายใต้การกำกับดูแล แต่ก็ยังมีความเสี่ยงของผู้ออกบริการ ต่างจากบาทดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง
  • คริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency): สกุลเงินดิจิทัลอย่าง Bitcoin หรือ Ethereum เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่สร้างขึ้นบนเทคโนโลยีบล็อกเชนโดยไม่มีหน่วยงานกลางควบคุม ทำให้มีราคาผันผวนสูงและไม่เหมาะกับการใช้เป็นสื่อกลางในการชำระเงินทั่วไป ในขณะที่บาทดิจิทัลมีมูลค่าคงที่และออกโดยหน่วยงานกลางที่น่าเชื่อถือ

เหตุผลเบื้องหลังการผลักดันของธนาคารแห่งประเทศไทย

ธปท. ได้ศึกษาและพัฒนาโครงการบาทดิจิทัลมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายหลักหลายประการเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับเศรษฐกิจในอนาคต การตัดสินใจผลักดันโครงการนี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แต่มาจากแนวโน้มและการเปลี่ยนแปลงของโลกการเงินที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

“เป้าหมายหลักของการพัฒนา Retail CBDC คือการสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินแห่งอนาคต ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงินสำหรับประชาชนทุกคน”

เหตุผลสำคัญที่ ธปท. ให้ความสำคัญกับโครงการนี้ ประกอบด้วย:

  1. การเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต: เพื่อให้ประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่ทันสมัย สามารถรองรับนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเงินใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้
  2. การเพิ่มทางเลือกในการชำระเงิน: บาทดิจิทัลจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสำหรับประชาชน นอกเหนือจากการใช้เงินสดและบริการของธนาคารพาณิชย์
  3. การลดต้นทุนในระบบเศรษฐกิจ: การจัดการเงินสด ไม่ว่าจะเป็นการพิมพ์ การขนส่ง การจัดเก็บ และการทำลาย มีต้นทุนมหาศาล การเปลี่ยนไปใช้เงินดิจิทัลจะช่วยลดต้นทุนเหล่านี้ได้อย่างมีนัยสำคัญ
  4. การส่งเสริมนวัตกรรม: การมีโครงสร้างพื้นฐานของเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง จะเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนสามารถพัฒนาบริการและนวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ ต่อยอดได้ง่ายขึ้น

เงินสดจะหายไป? ธปท.ดันบาทดิจิทัลเต็มสูบ: ผลกระทบในวงกว้าง

การเปลี่ยนผ่านจากสังคมที่พึ่งพาเงินสดเป็นหลักไปสู่สังคมที่ขับเคลื่อนด้วยเงินดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ย่อมนำมาซึ่งผลกระทบทั้งในเชิงบวกและเชิงลบต่อภาคส่วนต่างๆ การวิเคราะห์ผลกระทบเหล่านี้อย่างรอบด้านจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างราบรื่นและเกิดประโยชน์สูงสุด

โอกาสและประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจ

การนำบาทดิจิทัลมาใช้และการก้าวสู่สังคมไร้เงินสดเต็มรูปแบบ เปิดโอกาสและสร้างประโยชน์มหาศาลให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศในหลายมิติ ตั้งแต่ระดับจุลภาคไปจนถึงมหภาค

เพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน

ระบบการชำระเงินด้วยเงินดิจิทัลสามารถทำธุรกรรมได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากกว่าการใช้เงินสด ธุรกรรมทางการเงินสามารถเกิดขึ้นได้แบบทันที (Real-time) ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องผ่านตัวกลางหลายขั้นตอน นอกจากนี้ ยังช่วยลดต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการเงินสด เช่น ต้นทุนการพิมพ์ธนบัตร การขนส่งที่ต้องมีการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา และการนับหรือเก็บรักษาเงินสดของภาคธุรกิจ ซึ่งต้นทุนที่ลดลงเหล่านี้สามารถส่งผลให้ราคาสินค้าและบริการถูกลงได้ในระยะยาว

สร้างความโปร่งใสและลดปัญหาเศรษฐกิจนอกระบบ

ธุรกรรมที่เกิดขึ้นผ่านระบบดิจิทัลสามารถตรวจสอบและติดตามได้ง่ายกว่าธุรกรรมที่ใช้เงินสด ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญที่ช่วยเพิ่มความโปร่งใสในระบบเศรษฐกิจ การที่รัฐบาลสามารถตรวจสอบเส้นทางการเงินได้จะช่วยลดปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน การฟอกเงิน และกิจกรรมที่ผิดกฎหมายอื่นๆ นอกจากนี้ยังช่วยให้การจัดเก็บภาษีมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากข้อมูลรายรับรายจ่ายของบุคคลและนิติบุคคลจะอยู่ในระบบ ทำให้ลดปัญหาการหลีกเลี่ยงภาษีและนำไปสู่การพัฒนาประเทศได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

กระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยชี้ให้เห็นว่า โครงการที่เกี่ยวข้องกับเงินดิจิทัล เช่น ดิจิทัลวอลเล็ต มีศักยภาพในการกระตุ้นผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) โดยคาดการณ์ว่าอาจช่วยให้ GDP ของไทยในปี 2567 เติบโตได้ประมาณ 0.2-0.3% และผลกระทบโดยรวมของโครงการลักษณะนี้อาจเพิ่ม GDP ได้สูงถึง 0.9% การมีโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินดิจิทัลที่แข็งแกร่งยังเป็นปัจจัยดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และส่งเสริมให้เกิดธุรกิจสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech) ใหม่ๆ ซึ่งล้วนเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจสมัยใหม่

ตารางเปรียบเทียบคุณลักษณะของรูปแบบเงินประเภทต่างๆ
คุณลักษณะ เงินสด (ธนบัตร/เหรียญ) เงินดิจิทัลปัจจุบัน (Mobile Banking/e-Wallet) บาทดิจิทัล (Retail CBDC)
ผู้ออก ธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารพาณิชย์ / ผู้ให้บริการเอกชน ธนาคารแห่งประเทศไทย
รูปแบบ กายภาพ (จับต้องได้) ดิจิทัล (บันทึกในระบบของตัวกลาง) ดิจิทัล (โทเคนหรือบัญชีบนระบบของธนาคารกลาง)
ความเป็นส่วนตัว สูงมาก (ไม่ระบุตัวตน) ต่ำ (ธุรกรรมถูกบันทึกโดยตัวกลาง) สามารถออกแบบได้ (อาจมีความเป็นส่วนตัวสูงกว่า แต่ตรวจสอบได้โดยหน่วยงานกำกับ)
ความเสี่ยง ความเสี่ยงด้านกายภาพ (สูญหาย, ถูกขโมย) ความเสี่ยงของสถาบันการเงิน (Credit Risk) ความเสี่ยงต่ำที่สุด (เป็นหนี้สินของธนาคารกลางโดยตรง)
การพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐาน ไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ต้องมีอินเทอร์เน็ต, สมาร์ทโฟน, และระบบไฟฟ้า ต้องมีอินเทอร์เน็ต, สมาร์ทโฟน, และระบบไฟฟ้า

ความท้าทายและความกังวลที่ต้องจับตามอง

แม้ว่าประโยชน์ของสังคมไร้เงินสดและบาทดิจิทัลจะมีมากมาย แต่การเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่นี้ก็มาพร้อมกับความท้าทายและความกังวลที่ทุกภาคส่วนต้องให้ความสำคัญและร่วมกันหาแนวทางแก้ไข

ผลกระทบต่อกลุ่มเปราะบาง

หนึ่งในความกังวลที่ใหญ่ที่สุดคือผลกระทบต่อกลุ่มคนที่อาจไม่สามารถเข้าถึงหรือปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีดิจิทัลได้ทันท่วงที โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุที่อาจไม่คุ้นเคยกับการใช้สมาร์ทโฟนหรือแอปพลิเคชันทางการเงิน, กลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่อาจไม่มีอุปกรณ์ที่รองรับ, และประชาชนในพื้นที่ห่างไกลที่สัญญาณอินเทอร์เน็ตยังไม่ครอบคลุม นอกจากนี้ กลุ่มร้านค้าขนาดเล็กหรือหาบเร่แผงลอยที่เคยพึ่งพาเงินสดเป็นหลักอาจประสบปัญหาในการปรับตัว หากการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเร็วเกินไป อาจทำให้คนกลุ่มนี้ถูกทิ้งไว้ข้างหลังและไม่สามารถเข้าถึงระบบเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่

ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์

เมื่อธุรกรรมทางการเงินทั้งหมดถูกย้ายไปอยู่ในโลกดิจิทัล ความเสี่ยงจากการโจมตีทางไซเบอร์ย่อมเพิ่มสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว การแฮกข้อมูล, การหลอกลวงทางออนไลน์ (Phishing), และมัลแวร์เรียกค่าไถ่ ล้วนเป็นภัยคุกคามที่สามารถสร้างความเสียหายได้อย่างมหาศาลทั้งในระดับบุคคลและระดับประเทศ ดังนั้น การพัฒนาระบบบาทดิจิทัลจึงต้องให้ความสำคัญสูงสุดกับมาตรฐานความปลอดภัยทางไซเบอร์ รวมถึงการสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนเพื่อให้สามารถใช้งานเทคโนโลยีได้อย่างปลอดภัยและรู้เท่าทันกลโกงของมิจฉาชีพ

สถานะปัจจุบันและทิศทางในอนาคต

ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ได้ดำเนินการเรื่องนี้อย่างหละหลวม แต่มีการวางแผนและดำเนินการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อศึกษาผลกระทบและสร้างความพร้อมให้กับทุกภาคส่วนก่อนที่จะนำมาใช้งานจริงในวงกว้าง

โครงการทดสอบนำร่อง (Pilot Test)

ปัจจุบัน ธปท. อยู่ในขั้นตอนของการทดสอบการใช้งานจริงในวงจำกัด (Pilot Test) โดยร่วมมือกับสถาบันการเงินและผู้ให้บริการภาคเอกชน เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของเทคโนโลยี, รูปแบบการใช้งาน, และผลกระทบต่อระบบการเงินในสถานการณ์จริง การทดสอบนี้จะดำเนินการในพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญ และมีการจำกัดจำนวนผู้ใช้งาน เพื่อให้สามารถรวบรวมข้อมูลและข้อเสนอแนะได้อย่างใกล้ชิด ผลลัพธ์จากการทดสอบและเสียงสะท้อนจากสาธารณชน จะถูกนำมาใช้ในการพิจารณาและกำหนดแนวทางการพัฒนาบาทดิจิทัลที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทยต่อไป

บทบาทของดิจิทัลวอลเล็ตในการขับเคลื่อน

กระเป๋าเงินดิจิทัล หรือ ดิจิทัลวอลเล็ต จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการใช้งานบาทดิจิทัล โครงการต่างๆ ของภาครัฐที่ส่งเสริมการใช้จ่ายผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ถือเป็นการปูทางและสร้างความคุ้นเคยให้กับประชาชนในการทำธุรกรรมผ่านช่องทางดิจิทัล ซึ่งจะช่วยเร่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมไร้เงินสดได้เร็วขึ้น การที่ประชาชนจำนวนมากมีและใช้งานดิจิทัลวอลเล็ตอย่างแพร่หลาย จะทำให้การนำบาทดิจิทัลมาใช้ในอนาคตเป็นไปได้อย่างราบรื่น เนื่องจากมีโครงสร้างพื้นฐานและฐานผู้ใช้งานที่พร้อมรองรับอยู่แล้ว

บทสรุป: การเตรียมความพร้อมสู่สังคมไร้เงินสด

คำถามที่ว่า “เงินสดจะหายไป?” อาจยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนในวันนี้ แต่ทิศทางที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำลังผลักดันการใช้บาทดิจิทัลอย่างเต็มสูบ ชี้ให้เห็นว่าอนาคตของระบบการเงินไทยกำลังมุ่งหน้าสู่ความเป็นดิจิทัลอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ การเปลี่ยนแปลงนี้มาพร้อมกับโอกาสในการเพิ่มประสิทธิภาพ ความโปร่งใส และการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ในขณะเดียวกันก็มีความท้าทายในด้านการปรับตัวของประชาชนบางกลุ่มและความเสี่ยงทางไซเบอร์ที่ต้องบริหารจัดการอย่างรัดกุม

การเดินทางสู่สังคมไร้เงินสด 100% คงไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ผ่านการวางแผน การทดสอบ และการสร้างความเข้าใจร่วมกันในสังคม ดังนั้น การติดตามข้อมูลข่าวสาร ทำความเข้าใจเทคโนโลยี และเตรียมความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับประชาชนและภาคธุรกิจทุกคน เพื่อให้สามารถปรับตัวและใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศทางการเงินใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ได้อย่างเต็มศักยภาพ