ลบโพสต์ไม่ทัน! แบงก์เช็กโซเชียลก่อนปล่อยกู้
- ภาพรวมของภูมิทัศน์สินเชื่อที่เปลี่ยนไป
- Digital Footprint คืออะไร และเกี่ยวข้องกับการกู้เงินอย่างไร?
- กระบวนการและหลักเกณฑ์การพิจารณา: แบงก์เช็กโซเชียลก่อนปล่อยกู้
- ความท้าทายและความเสี่ยง: การใช้ข้อมูลส่วนบุคคลในภาคการเงิน
- เตรียมตัวให้พร้อม: การบริหารจัดการ Digital Footprint เพื่ออนาคตทางการเงินปี 2568
- บทสรุป: ทิศทางใหม่ของการเงินดิจิทัลและสิ่งที่ผู้บริโภคต้องปรับตัว
ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารเชื่อมโยงถึงกันอย่างสมบูรณ์ พฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดียได้กลายเป็นปัจจัยใหม่ที่สถาบันการเงินนำมาพิจารณาประกอบการอนุมัติสินเชื่อ แนวทางปฏิบัตินี้กำลังเปลี่ยนแปลงกระบวนการประเมินความน่าเชื่อถือของผู้กู้ยืมไปอย่างสิ้นเชิง
- สถาบันการเงินในประเทศไทยเริ่มนำข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย หรือ Digital Footprint มาใช้เป็นปัจจัยเสริมในการประเมินความเสี่ยงของผู้ขอสินเชื่อ
- โพสต์ที่แสดงถึงปัญหาทางการเงิน เช่น การบ่นว่าเงินไม่พอใช้ หรือพฤติกรรมการใช้จ่ายที่ขาดความรอบคอบ อาจส่งผลลบต่อการพิจารณาสินเชื่อ
- การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงทิศทางของอุตสาหกรรมการเงินที่หันมาใช้ข้อมูลทางเลือก (Alternative Data) ควบคู่กับข้อมูลทางการเงินแบบดั้งเดิม
- ผู้บริโภคจำเป็นต้องบริหารจัดการร่องรอยดิจิทัลของตนเองอย่างระมัดระวัง เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือทางการเงินในระยะยาว
- การขอสินเชื่อควรทำผ่านช่องทางที่เป็นทางการของธนาคารเท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงการตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพที่แอบอ้างบนโลกออนไลน์
ประเด็น ลบโพสต์ไม่ทัน! แบงก์เช็กโซเชียลก่อนปล่อยกู้ ได้กลายเป็นหัวข้อที่ถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวาง เนื่องจากสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในกระบวนการพิจารณาสินเชื่อของสถาบันการเงินไทย สิ่งที่เคยเป็นเพียงพื้นที่ส่วนตัวในการแสดงความคิดเห็นและไลฟ์สไตล์บนโซเชียลมีเดีย ปัจจุบันได้กลายเป็นแหล่งข้อมูลที่ถูกนำมาประเมินความน่าเชื่อถือทางการเงิน แนวทางใหม่นี้หมายความว่า ทุกโพสต์ ทุกความคิดเห็น และทุกกิจกรรมบนโลกออนไลน์ สามารถส่งผลโดยตรงต่อโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อบุคคล สินเชื่อที่อยู่อาศัย หรือสินเชื่อประเภทอื่นๆ การทำความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมออนไลน์กับความมั่นคงทางการเงินจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับทุกคนในยุคดิจิทัล
ภาพรวมของภูมิทัศน์สินเชื่อที่เปลี่ยนไป
การเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมการเงินไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แต่เป็นผลมาจากการพัฒนาของเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค การเข้ามาของยุคดิจิทัลทำให้ข้อมูลจำนวนมหาศาลถูกสร้างขึ้นในแต่ละวัน และสถาบันการเงินได้เล็งเห็นถึงศักยภาพในการนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้เพื่อสร้างแบบจำลองการประเมินความเสี่ยงที่แม่นยำและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น สิ่งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญจากเดิมที่การพิจารณาสินเชื่อต้องพึ่งพาเพียงข้อมูลในเครดิตบูโรและเอกสารทางการเงินเท่านั้น
ยุคใหม่ของการประเมินความเสี่ยง: จากเอกสารสู่หน้าจอ
ในอดีต กระบวนการอนุมัติสินเชื่อขึ้นอยู่กับเอกสารหลักฐานเป็นสำคัญ เช่น สลิปเงินเดือน รายการเดินบัญชี และประวัติการชำระหนี้ที่บันทึกโดยศูนย์ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) ข้อมูลเหล่านี้ให้ภาพรวมของสถานะทางการเงินในอดีตและความสามารถในการชำระหนี้ อย่างไรก็ตาม ข้อมูลดังกล่าวอาจไม่สามารถสะท้อนถึงพฤติกรรมทางการเงินในปัจจุบันหรือทัศนคติต่อการบริหารจัดการเงินได้อย่างสมบูรณ์
ด้วยเหตุนี้ สถาบันการเงินหลายแห่งจึงเริ่มนำ “ข้อมูลทางเลือก” (Alternative Data) เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการวิเคราะห์ ซึ่งข้อมูลจากโซเชียลมีเดียถือเป็นแหล่งข้อมูลทางเลือกที่สำคัญ การวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้ธนาคารสามารถประเมินลักษณะนิสัย ความมีวินัย และความรับผิดชอบทางการเงินของผู้ขอสินเชื่อได้ในมิติที่ลึกซึ้งกว่าเดิม เป็นการเปลี่ยนผ่านจากการพิจารณาบนหน้ากระดาษไปสู่การวิเคราะห์บนหน้าจอดิจิทัล ที่สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์และพฤติกรรมที่อาจส่งผลต่อความสามารถในการชำระหนี้ในอนาคต
ใครบ้างที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายนี้
นโยบายการตรวจสอบข้อมูลโซเชียลมีเดียส่งผลกระทบต่อบุคคลทุกกลุ่มที่ต้องการเข้าถึงผลิตภัณฑ์สินเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนรุ่นใหม่ (Millennials และ Gen Z) ซึ่งเป็นผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียอย่างแพร่หลายและมักจะแบ่งปันเรื่องราวชีวิตประจำวันบนแพลตฟอร์มต่างๆ อย่างเปิดเผย นอกจากนี้ กลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระ (Freelancer) หรือผู้ที่ไม่มีรายได้ประจำที่แน่นอน ซึ่งในอดีตมักประสบปัญหาในการแสดงหลักฐานทางการเงินที่มั่นคง อาจเป็นอีกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เนื่องจากธนาคารอาจใช้ข้อมูลออนไลน์เพื่อประกอบการตัดสินใจเพิ่มเติม
สิ่งที่น่าสนใจคือ นโยบายนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบเฉพาะผู้ที่มีประวัติทางการเงินไม่ดีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงบุคคลทั่วไปที่อาจโพสต์ข้อความโดยไม่ได้ไตร่ตรองถึงผลกระทบที่อาจตามมา การแสดงออกถึงความเครียดทางการเงิน การใช้จ่ายเกินตัว หรือแม้แต่การมีปฏิสัมพันธ์กับเพจหรือกลุ่มที่มีความเสี่ยง ก็อาจถูกตีความว่าเป็นสัญญาณลบได้
ดังนั้น การตระหนักรู้และบริหารจัดการตัวตนบนโลกออนไลน์จึงกลายเป็นทักษะทางการเงินที่สำคัญสำหรับทุกคนที่อาจมีความจำเป็นต้องขอสินเชื่อในอนาคต
Digital Footprint คืออะไร และเกี่ยวข้องกับการกู้เงินอย่างไร?
คำว่า Digital Footprint หรือ “ร่องรอยดิจิทัล” หมายถึงข้อมูลทั้งหมดที่บุคคลทิ้งไว้จากการใช้งานอินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์ดิจิทัลต่างๆ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่สถาบันการเงินนำมาใช้เพื่อทำความเข้าใจลูกค้าและประเมินความเสี่ยงในการให้สินเชื่อบุคคล
คำจำกัดความของ Digital Footprint
Digital Footprint สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก:
- ร่องรอยดิจิทัลที่สร้างขึ้นโดยเจตนา (Active Digital Footprint): คือข้อมูลที่ผู้ใช้สร้างและแบ่งปันด้วยตนเองอย่างตั้งใจ เช่น การโพสต์ข้อความและรูปภาพบน Facebook, การทวีตข้อความบน X, การอัปโหลดวิดีโอบน TikTok, การเขียนบล็อก หรือการแสดงความคิดเห็นในฟอรัมต่างๆ ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนถึงความคิด ทัศนคติ และไลฟ์สไตล์ที่เจ้าของบัญชีต้องการนำเสนอต่อสาธารณะ
- ร่องรอยดิจิทัลที่สร้างขึ้นโดยไม่เจตนา (Passive Digital Footprint): คือข้อมูลที่ถูกรวบรวมเมื่อผู้ใช้ทำกิจกรรมต่างๆ บนโลกออนไลน์โดยที่อาจไม่รู้ตัว เช่น ประวัติการเข้าชมเว็บไซต์, ข้อมูลตำแหน่งที่ตั้ง (Location Data) จากการใช้แอปพลิเคชัน, ข้อมูล IP Address, หรือข้อมูลที่ถูกเก็บผ่านคุกกี้ (Cookies) เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมการท่องเว็บ
ในการพิจารณาสินเชื่อ สถาบันการเงินมักให้ความสำคัญกับ Active Digital Footprint มากกว่า เนื่องจากเป็นข้อมูลสาธารณะที่สามารถเข้าถึงได้และสะท้อนพฤติกรรมของผู้ใช้ได้อย่างชัดเจน
ร่องรอยดิจิทัลที่สถาบันการเงินให้ความสนใจ
สถาบันการเงินไม่ได้ตรวจสอบทุกโพสต์อย่างละเอียด แต่จะมองหา “รูปแบบ” และ “สัญญาณ” บางอย่างที่บ่งชี้ถึงเสถียรภาพและความน่าเชื่อถือทางการเงิน ร่องรอยดิจิทัลที่มักถูกนำมาพิจารณา ได้แก่:
- พฤติกรรมการใช้จ่าย: การโพสต์ภาพสินค้าแบรนด์เนมบ่อยครั้ง, การอวดไลฟ์สไตล์ที่หรูหราเกินกว่ารายได้ที่แจ้งไว้ หรือการกล่าวถึงการใช้จ่ายเงินเพื่อการพนัน อาจถูกมองว่าเป็นสัญญาณของพฤติกรรมการใช้เงินที่ขาดความยับยั้งชั่งใจ
- ความมั่นคงทางอาชีพและการเงิน: โพสต์ที่เกี่ยวกับการทำงาน, ความสำเร็จในหน้าที่การงาน, หรือการกล่าวถึงการวางแผนการออมและการลงทุน สามารถสร้างภาพลักษณ์ของความมั่นคงและมีวินัยทางการเงินได้ ในทางกลับกัน การโพสต์บ่นเรื่องงานบ่อยครั้งหรือแสดงความไม่แน่นอนในอาชีพอาจส่งผลในทางตรงกันข้าม
- สถานะทางการเงินที่แสดงออก: การโพสต์ข้อความในลักษณะ “เงินช็อต”, “สิ้นเดือนเหมือนสิ้นใจ”, “ต้องการกู้เงินด่วน” หรือการขอความช่วยเหลือทางการเงินจากเพื่อนในโซเชียลมีเดีย ถือเป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนที่สุดสำหรับสถาบันการเงินว่าบุคคลนั้นกำลังประสบปัญหาสภาพคล่อง
- เครือข่ายและความสัมพันธ์ออนไลน์: การมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลหรือกลุ่มที่มีประวัติไม่ดี, กลุ่มผิดกฎหมาย หรือกลุ่มที่ส่งเสริมการพนัน อาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือโดยรวม
กระบวนการและหลักเกณฑ์การพิจารณา: แบงก์เช็กโซเชียลก่อนปล่อยกู้
กระบวนการที่สถาบันการเงินใช้ในการตรวจสอบโซเชียลมีเดียก่อนปล่อยกู้นั้น เป็นส่วนหนึ่งของการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพเพื่อประกอบการตัดสินใจควบคู่ไปกับข้อมูลเชิงปริมาณ เช่น รายได้และประวัติเครดิตบูโร แม้ว่าแต่ละสถาบันจะมีหลักเกณฑ์ภายในที่แตกต่างกัน แต่โดยทั่วไปแล้วจะมีแนวทางและประเภทของข้อมูลที่ให้ความสนใจคล้ายคลึงกัน
ข้อมูลประเภทใดที่ถูกนำมาวิเคราะห์?
สถาบันการเงินจะมุ่งเน้นไปที่ข้อมูลที่เป็นสาธารณะ (Public Information) เท่านั้น ซึ่งหมายถึงข้อมูลที่เจ้าของบัญชีตั้งค่าให้ทุกคนสามารถมองเห็นได้ โดยไม่รวมถึงข้อความส่วนตัว (Private Message) หรือโพสต์ที่จำกัดการมองเห็นเฉพาะเพื่อน ข้อมูลที่มักถูกนำมาพิจารณาประกอบด้วย:
- เนื้อหาของโพสต์ (Content): ข้อความ, รูปภาพ, และวิดีโอที่บ่งบอกถึงสถานะทางการเงิน, ทัศนคติต่อการใช้เงิน, และความรับผิดชอบ
- รูปแบบกิจกรรม (Activity Patterns): ความถี่ในการโพสต์, ช่วงเวลาที่ใช้งาน, และประเภทของเนื้อหาที่สนใจหรือมีปฏิสัมพันธ์ด้วย
- ข้อมูลโปรไฟล์ (Profile Information): ข้อมูลเกี่ยวกับอาชีพ, การศึกษา, และความสนใจที่เปิดเผยไว้ในโปรไฟล์ ซึ่งอาจถูกนำมาเปรียบเทียบกับข้อมูลที่ผู้ขอสินเชื่อให้ไว้ในใบสมัคร
- การแสดงความคิดเห็น (Comments and Interactions): การโต้ตอบในโพสต์ของตนเองและผู้อื่น ซึ่งสามารถสะท้อนถึงวุฒิภาวะและทัศนคติในด้านต่างๆ ได้
สิ่งสำคัญคือการวิเคราะห์เหล่านี้ไม่ได้ทำเพื่อตัดสินบุคคล แต่ทำเพื่อประเมิน “ความเสี่ยง” ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยมองหาความสอดคล้องหรือความขัดแย้งระหว่างข้อมูลที่ผู้ขอสินเชื่อให้ไว้กับพฤติกรรมที่แสดงออกบนโลกออนไลน์
ตัวอย่างโพสต์ที่อาจส่งผลกระทบต่อการขอสินเชื่อบุคคล
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น การเปรียบเทียบระหว่างโพสต์ที่อาจสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกและเชิงลบจะช่วยให้เข้าใจถึงสิ่งที่สถาบันการเงินมองหาได้ดียิ่งขึ้น
ประเภทของเนื้อหา | ตัวอย่างโพสต์ที่อาจส่งผลบวก (สัญญาณดี) | ตัวอย่างโพสต์ที่อาจส่งผลลบ (สัญญาณเสี่ยง) |
---|---|---|
การเงินและการใช้จ่าย | โพสต์เกี่ยวกับการวางแผนการออม, การบรรลุเป้าหมายทางการเงิน, หรือการลงทุนอย่างมีความรู้ | โพสต์บ่นเรื่องหนี้สิน, ไม่มีเงินใช้, การใช้จ่ายฟุ่มเฟือย, หรือโพสต์เกี่ยวกับการพนัน |
อาชีพการงาน | โพสต์เกี่ยวกับความสำเร็จในหน้าที่การงาน, การได้เลื่อนตำแหน่ง, หรือการพัฒนาทักษะใหม่ๆ | โพสต์แสดงความไม่พอใจในงานบ่อยครั้ง, การเปลี่ยนงานบ่อยโดยไม่มีเหตุผล, หรือความไม่มั่นคงในอาชีพ |
ไลฟ์สไตล์และความรับผิดชอบ | โพสต์ที่แสดงถึงไลฟ์สไตล์ที่มั่นคง, การดูแลครอบครัว, หรือกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม | โพสต์ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมผิดกฎหมาย, การแสดงพฤติกรรมที่ขาดความรับผิดชอบ หรือการใช้ชีวิตที่เสี่ยงภัย |
ทัศนคติและการแสดงออก | การแสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตุผล, การสื่อสารเชิงบวก, และการสร้างเครือข่ายที่เป็นประโยชน์ | การใช้ถ้อยคำรุนแรง, การมีส่วนร่วมในการโต้เถียงที่ไร้สาระ, หรือการโพสต์เนื้อหาที่สร้างความขัดแย้ง |
ความท้าทายและความเสี่ยง: การใช้ข้อมูลส่วนบุคคลในภาคการเงิน
แม้ว่าการใช้ข้อมูลโซเชียลมีเดียจะมีประโยชน์ในการประเมินความเสี่ยง แต่ก็นำมาซึ่งความท้าทายและประเด็นที่น่ากังวลหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูล และความเสี่ยงจากการหลอกลวงของมิจฉาชีพในยุคดิจิทัล
ประเด็นด้านความเป็นส่วนตัวและข้อมูลส่วนบุคคล
การนำข้อมูลจากโซเชียลมีเดียมาใช้ในการพิจารณาสินเชื่อได้จุดประกายให้เกิดคำถามสำคัญเกี่ยวกับขอบเขตของความเป็นส่วนตัว แม้ว่าสถาบันการเงินจะอ้างว่าใช้เฉพาะข้อมูลที่เปิดเป็นสาธารณะ แต่เส้นแบ่งระหว่างพื้นที่สาธารณะและพื้นที่ส่วนตัวบนโลกออนไลน์นั้นไม่ชัดเจนเสมอไป การกระทำดังกล่าวอาจนำไปสู่การตีความพฤติกรรมส่วนบุคคลอย่างมีอคติ ซึ่งอาจไม่สะท้อนถึงความสามารถในการชำระหนี้ที่แท้จริงเสมอไป นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่ข้อมูลอาจถูกนำไปใช้นอกเหนือจากวัตถุประสงค์ในการพิจารณาสินเชื่อ ซึ่งจำเป็นต้องมีการกำกับดูแลที่รัดกุมเพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค
แนวโน้มการกำกับดูแลโดยธนาคารแห่งประเทศไทย
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลสถาบันการเงิน ได้ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและการใช้ข้อมูลอย่างเป็นธรรม แม้ว่าปัจจุบันจะยังไม่มีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนเกี่ยวกับการใช้ข้อมูลโซเชียลมีเดียโดยเฉพาะ แต่แนวทางปฏิบัติของสถาบันการเงินจะต้องอยู่ภายใต้กรอบของพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (PDPA) ซึ่งกำหนดให้การเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลและต้องเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ที่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น
คาดว่าในอนาคตอันใกล้ โดยเฉพาะในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่ “การเงิน 2568” ธปท. อาจมีการออกแนวปฏิบัติที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการนำนวัตกรรมข้อมูลมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปล่อยสินเชื่อ และการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้บริโภคให้มีความโปร่งใสและเป็นธรรม
ข้อควรระวัง: มิจฉาชีพออนไลน์ที่แอบอ้างเป็นสถาบันการเงิน
ในขณะที่สถาบันการเงินใช้ช่องทางออนไลน์ในการตรวจสอบข้อมูล ผู้บริโภคเองก็ต้องระมัดระวังมิจฉาชีพที่ใช้ช่องทางเดียวกันในการหลอกลวง ปัจจุบันมีการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารหรือบริษัทสินเชื่อผ่านช่องทางต่างๆ เช่น การส่งข้อความผ่านแอปพลิเคชัน LINE, Facebook Messenger หรือการส่ง SMS เพื่อเสนอเงินกู้ที่อนุมัติง่ายและรวดเร็ว
สิ่งสำคัญที่ต้องทราบคือ ธนาคารและสถาบันการเงินที่น่าเชื่อถือจะไม่มีนโยบายในการเสนอขายหรืออนุมัติสินเชื่อผ่านการแชทส่วนตัวโดยเด็ดขาด กระบวนการขอสินเชื่อที่เป็นทางการจะต้องดำเนินการผ่านแอปพลิเคชันของธนาคารโดยตรง หรือผ่านเว็บไซต์ที่เป็นทางการเท่านั้น การหลงเชื่อและให้ข้อมูลส่วนบุคคลหรือโอนเงินค่าธรรมเนียมให้กับมิจฉาชีพเหล่านี้อาจนำไปสู่ความเสียหายทางการเงินอย่างร้ายแรง
เตรียมตัวให้พร้อม: การบริหารจัดการ Digital Footprint เพื่ออนาคตทางการเงินปี 2568
เมื่อตระหนักแล้วว่าพฤติกรรมบนโลกออนไลน์มีผลต่ออนาคตทางการเงิน การเริ่มต้นบริหารจัดการ Digital Footprint อย่างจริงจังจึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ การสร้างภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงสินเชื่อ แต่ยังเป็นประโยชน์ต่อภาพลักษณ์ในด้านอื่นๆ เช่น การสมัครงาน อีกด้วย
แนวทางปฏิบัติเพื่อสร้างโปรไฟล์ที่น่าเชื่อถือ
การสร้าง Digital Footprint ที่ดีเริ่มต้นได้จากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน:
- คิดก่อนโพสต์ (Think Before You Post): ก่อนจะแบ่งปันเรื่องราวใดๆ ควรพิจารณาว่าเนื้อหานั้นอาจถูกตีความในเชิงลบได้หรือไม่ หลีกเลี่ยงการโพสต์ข้อความที่แสดงถึงปัญหาทางการเงิน ความไม่มั่นคงในชีวิต หรือการแสดงอารมณ์ในแง่ลบมากเกินไป
- นำเสนอภาพลักษณ์เชิงบวก: แบ่งปันเรื่องราวเกี่ยวกับความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ, การพัฒนาตนเอง, งานอดิเรกที่สร้างสรรค์, หรือเป้าหมายในชีวิต สิ่งเหล่านี้ช่วยสร้างภาพลักษณ์ของบุคคลที่มีความรับผิดชอบและมีทิศทางที่ชัดเจน
- ตรวจสอบโพสต์ในอดีต: ย้อนกลับไปตรวจสอบและลบโพสต์เก่าๆ ที่อาจสร้างความเข้าใจผิดหรือส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ในปัจจุบันออกไป
- ระมัดระวังการมีปฏิสัมพันธ์: เลือกที่จะติดตามและมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลหรือเพจที่น่าเชื่อถือ หลีกเลี่ยงการเข้าไปเกี่ยวข้องกับการโต้เถียงหรือแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่ละเอียดอ่อนและอาจก่อให้เกิดความขัดแย้ง