ก.ล.ต. สั่งเบรก! AI เทรดหุ้นแทนคน เสี่ยงแค่ไหน
- ประเด็นสำคัญที่นักลงทุนต้องรู้
- ทำความเข้าใจ AI เทรดหุ้น และ Algorithmic Trading
- เหตุผลเบื้องหลังการควบคุมของ ก.ล.ต.
- เจาะลึกความเสี่ยงหลักจากการใช้ AI ในการลงทุน
- AI ของ ก.ล.ต.: เครื่องมือจับตา ไม่ใช่นักเทรด
- มุมมองตลาดโลก: เมื่อ AI กลายเป็นผู้เล่นสำคัญ
- ทิศทางการลงทุนหุ้น 2568 และอนาคตของ AI ในตลาดทุนไทย
- บทสรุป: การสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมและความปลอดภัย
ท่ามกลางกระแสความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่เข้ามามีบทบาทในทุกอุตสาหกรรม ตลาดทุนก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น การใช้ AI และ Algorithmic Trading เพื่อช่วยตัดสินใจและส่งคำสั่งซื้อขายหุ้นกำลังได้รับความสนใจอย่างแพร่หลาย อย่างไรก็ตาม ล่าสุดมีประเด็นที่น่าจับตาเมื่อมีข่าวว่าสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เตรียมเข้ามาจัดระเบียบและควบคุมการใช้งานเทคโนโลยีดังกล่าวอย่างเข้มข้น
ประเด็นสำคัญที่นักลงทุนต้องรู้
- การควบคุมเพื่อป้องกันความเสี่ยง: ก.ล.ต. มีเป้าหมายหลักในการออกเกณฑ์กำกับดูแลการใช้ AI เทรดหุ้น เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับนักลงทุนรายย่อยและเสถียรภาพของตลาดโดยรวม
- ความเสี่ยงที่น่ากังวล: ความกังวลหลักประกอบด้วยการใช้ AI ในทางที่ผิด เช่น การปั่นหุ้น, การสร้างความผันผวนรุนแรงในตลาด (Flash Crash) และการเกิดความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างนักลงทุนที่เข้าถึงเทคโนโลยีต่างกัน
- AI ในบทบาทผู้กำกับดูแล: ก.ล.ต. ไม่ได้ต่อต้านเทคโนโลยี แต่กำลังพัฒนา AI ของตนเองเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการตรวจสอบและวิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อขายที่ผิดปกติในตลาด
- แนวโน้มการลงทุนในอนาคต: การเคลื่อนไหวของ ก.ล.ต. ครั้งนี้ จะเป็นตัวกำหนดทิศทางและภูมิทัศน์ของการลงทุนในตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะในปี 2568 ที่เทคโนโลยีจะมีบทบาทสูงขึ้น
ประเด็นที่ว่า ก.ล.ต. สั่งเบรก! AI เทรดหุ้นแทนคน เสี่ยงแค่ไหน ได้กลายเป็นหัวข้อสนทนาที่สำคัญในหมู่นักลงทุน การทำความเข้าใจถึงเหตุผลเบื้องหลังการกำกับดูแล ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และทิศทางในอนาคตจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคนที่อยู่ในตลาดทุน เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีข้อมูลครบถ้วน
บทความนี้จะพาไปเจาะลึกถึงสาเหตุที่ ก.ล.ต. ต้องเข้ามาจัดระเบียบการใช้ AI ในการเทรดหุ้น วิเคราะห์ความเสี่ยงในมิติต่างๆ พร้อมเปรียบเทียบกับบริบทของตลาดโลก และคาดการณ์แนวโน้มที่อาจเกิดขึ้นกับการลงทุนในตลาดหุ้นไทย เพื่อให้นักลงทุนเห็นภาพรวมที่ชัดเจนและสามารถวางแผนกลยุทธ์การลงทุนได้อย่างเหมาะสม
ทำความเข้าใจ AI เทรดหุ้น และ Algorithmic Trading
ก่อนที่จะวิเคราะห์ถึงความเสี่ยงและเหตุผลในการควบคุมของ ก.ล.ต. การทำความเข้าใจนิยามและหลักการทำงานของเทคโนโลยีเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้เห็นภาพตรงกันว่าเครื่องมือที่กำลังถูกพูดถึงนั้นคืออะไรและทำงานอย่างไร
นิยามและความหมาย
Algorithmic Trading หรือที่มักเรียกสั้นๆ ว่า “Algo Trading” คือการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ถูกตั้งค่ากฎเกณฑ์ (Algorithm) ไว้ล่วงหน้าเพื่อส่งคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์โดยอัตโนมัติ กฎเกณฑ์เหล่านี้อาจอิงตามตัวแปรต่างๆ เช่น ราคา, ปริมาณการซื้อขาย, หรือช่วงเวลาที่กำหนด เป้าหมายหลักคือการซื้อขายที่รวดเร็วและมีวินัย ตัดสินใจโดยปราศจากอารมณ์ของมนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้อง
AI เทรดหุ้น (AI Trading) เป็นขั้นกว่าของ Algorithmic Trading โดยไม่ได้ทำงานตามกฎที่ตั้งไว้ตายตัวเพียงอย่างเดียว แต่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Machine Learning ในการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาล (Big Data) เช่น ข้อมูลราคาในอดีต, ข่าวสาร, รายงานผลประกอบการ, หรือแม้กระทั่งความรู้สึกของคนในโซเชียลมีเดีย เพื่อเรียนรู้รูปแบบ, คาดการณ์แนวโน้มตลาด และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนได้ด้วยตัวเองอย่างต่อเนื่อง AI จึงมีความยืดหยุ่นและซับซ้อนกว่า Algo Trading แบบดั้งเดิม
กลไกการทำงานเบื้องหลัง
ระบบ AI เทรดหุ้นทำงานโดยอาศัยกระบวนการหลักๆ ดังนี้:
- การรวบรวมข้อมูล (Data Collection): AI จะดึงข้อมูลจากแหล่งต่างๆ แบบเรียลไทม์ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลราคาหุ้น, ปริมาณการซื้อขาย, ข้อมูลเศรษฐกิจมหภาค, ข่าวจากสำนักข่าวทั่วโลก ไปจนถึงข้อมูลทางเลือกอื่นๆ
- การวิเคราะห์และประมวลผล (Data Analysis): AI ใช้อัลกอริทึมที่ซับซ้อนในการวิเคราะห์ข้อมูลที่รวบรวมมา เพื่อค้นหาสัญญาณการซื้อขาย, รูปแบบราคาที่น่าสนใจ หรือความสัมพันธ์ที่ซ่อนอยู่ซึ่งมนุษย์อาจมองข้ามไป
- การตัดสินใจและส่งคำสั่ง (Decision & Execution): เมื่อ AI พบโอกาสในการลงทุนตามเงื่อนไขที่เรียนรู้มา ระบบจะทำการตัดสินใจและส่งคำสั่งซื้อหรือขายไปยังตลาดหลักทรัพย์โดยอัตโนมัติในเสี้ยววินาที ซึ่งเร็วกว่าที่มนุษย์จะสามารถทำได้หลายเท่า
- การเรียนรู้และปรับปรุง (Learning & Optimization): จุดเด่นที่สุดของ AI คือความสามารถในการเรียนรู้จากผลลัพธ์ของการเทรดในอดีต หากกลยุทธ์ใดให้ผลตอบแทนดี ระบบก็จะนำไปปรับใช้มากขึ้น แต่หากกลยุทธ์ใดขาดทุน ระบบก็จะเรียนรู้และปรับแก้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพให้ดีขึ้นในอนาคต
เหตุผลเบื้องหลังการควบคุมของ ก.ล.ต.
การที่สำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งมีหน้าที่หลักในการกำกับดูแลและพัฒนาตลาดทุนไทยให้มีความน่าเชื่อถือ โปร่งใส และเป็นธรรม ได้แสดงท่าทีเตรียมออกหลักเกณฑ์เพื่อควบคุมการใช้ AI และ Algorithmic Trading อย่างจริงจังนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุผล แต่มีรากฐานมาจากภารกิจในการคุ้มครองนักลงทุนและรักษาเสถียรภาพของระบบตลาดทุนโดยรวม
เป้าหมายของการกำกับดูแลไม่ใช่การห้ามใช้เทคโนโลยี แต่เป็นการสร้าง “สนามแข่งขันที่เท่าเทียม” (Level Playing Field) และป้องกันไม่ให้เทคโนโลยีถูกนำไปใช้ในทางที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายในวงกว้าง โดยเฉพาะกับนักลงทุนรายย่อยที่อาจไม่มีทรัพยากรหรือความรู้ความเข้าใจในเทคโนโลยีที่ซับซ้อนเท่ากับนักลงทุนสถาบันขนาดใหญ่
เจตนารมณ์ของการกำกับดูแลคือการส่งเสริมการใช้นวัตกรรมอย่างมีความรับผิดชอบ เพื่อให้ตลาดทุนเติบโตอย่างยั่งยืน โดยที่นักลงทุนทุกกลุ่มได้รับการคุ้มครองอย่างเป็นธรรม
ดังนั้น การเคลื่อนไหวของ ก.ล.ต. จึงเป็นการดำเนินการเชิงรุก เพื่อวางกรอบการใช้งานให้ชัดเจน ก่อนที่การใช้ AI เทรดหุ้นจะแพร่หลายจนอาจเกิดปัญหาที่ควบคุมได้ยากในอนาคต ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของหน่วยงานกำกับดูแลในหลายประเทศทั่วโลกที่เริ่มตื่นตัวกับความท้าทายใหม่ๆ ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีทางการเงิน
เจาะลึกความเสี่ยงหลักจากการใช้ AI ในการลงทุน
ความกังวลของ ก.ล.ต. ต่อการใช้ AI เทรดหุ้นสามารถสรุปเป็นประเด็นความเสี่ยงที่สำคัญได้ 3 ด้านหลัก ซึ่งแต่ละด้านมีผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นและเสถียรภาพของตลาดทุน
การบิดเบือนกลไกตลาดและการปั่นหุ้น
นี่คือความเสี่ยงที่น่ากังวลมากที่สุดประการหนึ่ง ด้วยความเร็วและความสามารถในการส่งคำสั่งจำนวนมหาศาลในเวลาอันสั้น AI อาจถูกผู้ไม่ประสงค์ดีนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำผิดกฎหมายหลักทรัพย์ได้ง่ายขึ้น เช่น:
- การสร้างราคา (Manipulation): การใช้บอท AI ส่งคำสั่งซื้อขายในปริมาณมากเพื่อผลักดันราคาหุ้นให้สูงขึ้นหรือทุบราคาให้ต่ำลงอย่างรวดเร็ว เพื่อลวงให้นักลงทุนทั่วไปเข้าใจผิดและเข้ามาซื้อขายตาม
- การจับคู่ซื้อขายกันเอง (Wash Trading): การสร้างปริมาณการซื้อขายเทียมโดยการจับคู่คำสั่งซื้อและขายหลักทรัพย์เดียวกันของตนเอง เพื่อทำให้ดูเหมือนว่าหุ้นตัวนั้นมีสภาพคล่องสูงและเป็นที่น่าสนใจ
- การส่งคำสั่งแล้วยกเลิก (Spoofing): การตั้งคำสั่งซื้อหรือขายขนาดใหญ่โดยไม่มีเจตนาจะให้เกิดการจับคู่จริง เพื่อหลอกล่อให้ราคาเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ต้องการ จากนั้นจึงยกเลิกคำสั่งดังกล่าวแล้วส่งคำสั่งซื้อขายในฝั่งตรงข้ามเพื่อทำกำไร
พฤติกรรมเหล่านี้บ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของกลไกราคาในตลาด และทำให้นักลงทุนรายย่อยตกเป็นเหยื่อได้ง่าย
ความผันผวนของตลาดที่ควบคุมไม่ได้
เมื่อ AI และ Algorithmic Trading มีสัดส่วนการซื้อขายในตลาดมากขึ้น อาจนำไปสู่ความเสี่ยงเชิงระบบที่เรียกว่า “Flash Crash” หรือภาวะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์หรือราคาหุ้นร่วงลงอย่างรุนแรงในเวลาเพียงไม่กี่นาที แล้วดีดตัวกลับอย่างรวดเร็ว สาเหตุอาจเกิดจากอัลกอริทึมของหลายๆ ระบบมีปฏิกิริยาต่อข่าวสารหรือเหตุการณ์บางอย่างในทิศทางเดียวกัน และพร้อมใจกันส่งคำสั่งขายออกมาเป็นจำนวนมหาศาลพร้อมๆ กัน ก่อให้เกิดแรงเทขายที่รุนแรงเกินกว่าที่ตลาดจะรับไหว แม้เหตุการณ์ดังกล่าวอาจเกิดขึ้นไม่บ่อย แต่ก็สร้างความเสียหายและความตื่นตระหนกให้กับนักลงทุนได้อย่างมหาศาล
ความไม่โปร่งใสและความเหลื่อมล้ำของนักลงทุน
อัลกอริทึมที่ใช้ใน AI เทรดหุ้น โดยเฉพาะของกองทุนขนาดใหญ่ มักเป็นความลับทางการค้า หรือที่เรียกว่า “Black Box” ซึ่งบุคคลภายนอกไม่สามารถรู้ได้ว่า AI ใช้ตรรกะหรือปัจจัยใดในการตัดสินใจ สิ่งนี้สร้างความกังวลในเรื่องความโปร่งใส นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำอย่างชัดเจนระหว่าง:
- นักลงทุนสถาบัน: ที่มีเงินทุนในการพัฒนาหรือเข้าถึง AI และโครงสร้างพื้นฐานความเร็วสูง (High-Frequency Trading)
- นักลงทุนรายย่อย: ที่อาศัยข้อมูลสาธารณะและการวิเคราะห์ด้วยตนเอง ทำให้เสียเปรียบทั้งในด้านความเร็วและข้อมูลเชิงลึก
ความได้เปรียบเสียเปรียบนี้อาจทำให้นักลงทุนรายย่อยสูญเสียความเชื่อมั่นต่อความเป็นธรรมของตลาดในระยะยาว
ประเภทความเสี่ยง | คำอธิบาย | ผลกระทบต่อนักลงทุนและตลาด |
---|---|---|
การบิดเบือนตลาด | การใช้ AI เพื่อสร้างราคา, ปริมาณการซื้อขายเทียม หรือหลอกล่อนักลงทุนรายอื่น | กลไกราคาไม่สะท้อนปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริง นักลงทุนรายย่อยอาจตัดสินใจผิดพลาดและขาดทุน |
ความผันผวนรุนแรง | อัลกอริทึมจำนวนมากตอบสนองต่อเหตุการณ์เดียวกันและส่งคำสั่งขายพร้อมกัน ทำให้ตลาดร่วงแรง (Flash Crash) | สร้างความตื่นตระหนกในตลาด ทำให้มูลค่าพอร์ตการลงทุนลดลงอย่างรวดเร็ว และกระทบเสถียรภาพโดยรวม |
ความเหลื่อมล้ำ | นักลงทุนสถาบันเข้าถึงเทคโนโลยีที่ซับซ้อนและรวดเร็วกว่า ทำให้นักลงทุนรายย่อยเสียเปรียบ | ลดทอนความเชื่อมั่นในความเป็นธรรมของตลาด นักลงทุนรายย่อยอาจรู้สึกว่าไม่สามารถแข่งขันได้ |
AI ของ ก.ล.ต.: เครื่องมือจับตา ไม่ใช่นักเทรด
ท่ามกลางความกังวลต่อการใช้ AI ในการเทรดหุ้น สิ่งสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจคือ ก.ล.ต. เองก็ได้นำเทคโนโลยี AI มาปรับใช้ในภารกิจขององค์กรเช่นกัน แต่เป็นในบทบาทของผู้กำกับดูแล ไม่ใช่ผู้เล่นในตลาด โดย ก.ล.ต. กำลังพัฒนาและใช้ระบบ AI เพื่อยกระดับประสิทธิภาพในการตรวจสอบและกำกับดูแลตลาดทุน
AI ของ ก.ล.ต. ทำหน้าที่เป็น “ผู้พิทักษ์ตลาด” โดยใช้ Big Data และอัลกอริทึมขั้นสูงในการวิเคราะห์ข้อมูลการซื้อขายทั้งหมดในตลาดแบบเรียลไทม์ เพื่อ:
- ตรวจจับพฤติกรรมที่ผิดปกติ: ระบบสามารถค้นหารูปแบบการซื้อขายที่น่าสงสัย ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงการปั่นหุ้น หรือการใช้ข้อมูลภายใน (Insider Trading) ได้รวดเร็วและแม่นยำกว่าการตรวจสอบโดยมนุษย์
- เฝ้าระวังความเสี่ยงเชิงระบบ: AI ช่วยวิเคราะห์ความเชื่อมโยงของการซื้อขายและประเมินความเสี่ยงที่อาจลุกลามจนกระทบต่อเสถียรภาพของตลาดโดยรวม
- เพิ่มความโปร่งใสให้ตลาด: การมีเครื่องมือที่ทรงพลังในการตรวจสอบ จะช่วยป้องปรามผู้ที่คิดจะกระทำผิด และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนว่าตลาดทุนไทยมีกลไกการกำกับดูแลที่ทันสมัยและเข้มแข็ง
ดังนั้น การที่ ก.ล.ต. พัฒนา AI ของตนเอง จึงเป็นการใช้เทคโนโลยีเพื่อสู้กับความเสี่ยงที่เกิดจากเทคโนโลยี เป็นการยกระดับเครื่องมือของผู้กำกับดูแลให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดทุนในยุคดิจิทัล
มุมมองตลาดโลก: เมื่อ AI กลายเป็นผู้เล่นสำคัญ
ในขณะที่ประเทศไทยกำลังวางกรอบกำกับดูแลอย่างระมัดระวัง ในตลาดการเงินที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา ยุโรป หรือญี่ปุ่น การใช้ AI และ Algorithmic Trading ถือเป็นเรื่องปกติและมีสัดส่วนปริมาณการซื้อขายที่สูงมาก กองทุนเฮดจ์ฟันด์และบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำต่างแข่งขันกันพัฒนาอัลกอริทึมที่ชาญฉลาดที่สุดเพื่อสร้างผลตอบแทน
แพลตฟอร์มสำหรับนักลงทุนรายย่อยที่ให้บริการบอท AI เทรดหุ้นก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเช่นกัน ตัวอย่างเช่น Trade Ideas หรือ StockHero ที่นำเสนอเครื่องมือช่วยวิเคราะห์และคัดกรองหุ้น ไปจนถึงระบบเทรดอัตโนมัติตลอด 24 ชั่วโมง จุดแข็งของ AI ในตลาดโลกคือ:
- ความเร็วในการประมวลผล: AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลจากทั่วโลกและตัดสินใจได้ในเสี้ยววินาที
- การทำงานตลอดเวลา: บอท AI ไม่ต้องการการพักผ่อน สามารถเฝ้าติดตามตลาดและหาโอกาสลงทุนได้ตลอดเวลา
- การขจัดอคติทางอารมณ์: การตัดสินใจของ AI อิงจากข้อมูลและตรรกะ ปราศจากความกลัวหรือความโลภที่มักเป็นจุดอ่อนของนักลงทุนมนุษย์
อย่างไรก็ตาม แม้ในตลาดที่ก้าวหน้าเหล่านี้ หน่วยงานกำกับดูแลก็ยังคงเผชิญกับความท้าทายในการกำกับดูแลอย่างต่อเนื่อง มีการออกกฎเกณฑ์ต่างๆ เช่น การติดตั้งกลไก “Circuit Breaker” เพื่อหยุดการซื้อขายชั่วคราวหากตลาดผันผวนรุนแรงเกินไป และการกำหนดให้บริษัทหลักทรัพย์ต้องมีระบบบริหารความเสี่ยงที่รัดกุมสำหรับ Algorithmic Trading บทเรียนจากตลาดโลกจึงชี้ให้เห็นว่า การเติบโตของเทคโนโลยีต้องมาพร้อมกับการกำกับดูแลที่แข็งแกร่งและปรับตัวอยู่เสมอ
ทิศทางการลงทุนหุ้น 2568 และอนาคตของ AI ในตลาดทุนไทย
การเคลื่อนไหวของ ก.ล.ต. ในครั้งนี้ถือเป็นสัญญาณสำคัญที่ส่งผลต่อทิศทาง การลงทุนหุ้นปี 2568 และในระยะต่อไป นักลงทุนควรจับตามองการประกาศหลักเกณฑ์การกำกับดูแลที่จะออกมาอย่างเป็นทางการ ซึ่งคาดว่าจะสร้างสมดุลระหว่างการเปิดรับนวัตกรรมและการป้องกันความเสี่ยง
ในอนาคตอันใกล้ กรอบการกำกับดูแลอาจประกอบด้วย:
- การขึ้นทะเบียน: ผู้ให้บริการหรือผู้ใช้งาน AI/Algo Trading อาจต้องมีการขึ้นทะเบียนกับ ก.ล.ต. เพื่อให้สามารถตรวจสอบได้
- การทดสอบระบบ: กำหนดให้ผู้พัฒนาระบบต้องมีการทดสอบอัลกอริทึมอย่างเข้มงวดก่อนนำมาใช้งานจริง เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่สร้างความผิดปกติให้กับตลาด
- ระบบบริหารความเสี่ยง: บังคับให้บริษัทหลักทรัพย์ที่ให้บริการต้องมีระบบควบคุมและบริหารความเสี่ยงที่ชัดเจน เช่น การกำหนดเพดานการส่งคำสั่ง หรือกลไกหยุดการทำงานฉุกเฉิน
สำหรับนักลงทุนรายย่อย การเปลี่ยนแปลงนี้หมายความว่า การลงทุนจะยังคงต้องเน้นความเข้าใจในปัจจัยพื้นฐานของสินทรัพย์เป็นหลัก ในขณะที่การใช้เครื่องมือทางเทคโนโลยีจะต้องเป็นไปภายใต้กรอบที่ปลอดภัยและโปร่งใสมากขึ้น การศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับเครื่องมือต่างๆ และทำความเข้าใจความเสี่ยงที่มาพร้อมกัน จะกลายเป็นทักษะที่สำคัญยิ่งขึ้นสำหรับนักลงทุนในยุคใหม่
บทสรุป: การสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมและความปลอดภัย
การที่ ก.ล.ต. สั่งเบรก! AI เทรดหุ้นแทนคน ไม่ใช่การปฏิเสธเทคโนโลยี แต่เป็นขั้นตอนที่จำเป็นในการสร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับตลาดทุนไทยในระยะยาว เพื่อให้การนำนวัตกรรมมาใช้เป็นไปอย่างมีความรับผิดชอบและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยเฉพาะนักลงทุนรายย่อย
ความเสี่ยงจากการใช้ AI ในทางที่ผิด ทั้งการปั่นหุ้น การสร้างความผันผวน และการก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำ เป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายต้องตระหนักและร่วมมือกันป้องกัน การวางกรอบกำกับดูแลที่ชัดเจนและรัดกุมของ ก.ล.ต. จึงเป็นเหมือนการสร้าง “กฎจราจร” สำหรับโลกการเงินยุคใหม่ เพื่อให้รถยนต์ที่ทรงพลังอย่าง AI สามารถวิ่งบนถนนของตลาดทุนได้อย่างปลอดภัยและเป็นระเบียบ
ในท้ายที่สุดแล้ว เป้าหมายสูงสุดคือการรักษาตลาดทุนให้เป็นแหล่งระดมทุนที่มีประสิทธิภาพและเป็นกลไกการลงทุนที่น่าเชื่อถือสำหรับทุกคน การสร้างสมดุลระหว่างการเปิดรับนวัตกรรมและการบริหารจัดการความเสี่ยงจึงเป็นหัวใจสำคัญที่จะนำพาตลาดทุนไทยเติบโตไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน