ค่าเหยียบแผ่นดิน? เกาะดังเก็บเงินนักท่องเที่ยว


ค่าเหยียบแผ่นดิน? เกาะดังเก็บเงินนักท่องเที่ยว

สารบัญ

การท่องเที่ยวเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แนวคิดเรื่องการจัดเก็บ “ค่าธรรมเนียมความยั่งยืน” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ค่าเหยียบแผ่นดิน” จึงกลายเป็นเครื่องมือที่หลายพื้นที่นำมาปรับใช้ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาการท่องเที่ยวและการอนุรักษ์

ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ

  • นิยามและวัตถุประสงค์: “ค่าเหยียบแผ่นดิน” คือค่าธรรมเนียมที่จัดเก็บจากนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะชาวต่างชาติ เพื่อนำรายได้ไปใช้ในการบำรุงรักษาสถานที่ท่องเที่ยว พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อม
  • แหล่งรายได้มหาศาล: อุทยานแห่งชาติทางทะเลของไทย เช่น หมู่เกาะสิมิลันและหมู่เกาะพีพี สามารถสร้างรายได้จากการเก็บค่าธรรมเนียมหลายร้อยล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นงบประมาณสำคัญในการดูแลรักษาพื้นที่
  • การนำไปใช้ประโยชน์: เงินที่ได้จากการจัดเก็บจะถูกนำไปใช้ในหลายมิติ ตั้งแต่การจัดการขยะ การฟื้นฟูระบบนิเวศ ไปจนถึงการจัดทำประกันอุบัติเหตุให้กับนักท่องเที่ยว เพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย
  • ผลกระทบสองด้าน: แม้จะมีประโยชน์ชัดเจนในด้านการอนุรักษ์ แต่ก็มีความกังวลจากผู้ประกอบการว่าการเก็บค่าธรรมเนียมอาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของนักท่องเที่ยวและทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงได้
  • แนวทางปฏิบัติสากล: หลายประเทศทั่วโลกมีการใช้มาตรการคล้ายคลึงกัน เช่น เกาะเชจูในเกาหลีใต้ ที่มีแผนเก็บค่าธรรมเนียมเพื่อนำไปบริหารจัดการนักท่องเที่ยวและสิ่งแวดล้อมเช่นกัน

ประเด็นเรื่อง ค่าเหยียบแผ่นดิน? เกาะดังเก็บเงินนักท่องเที่ยว ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะเมื่อแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอย่างเกาะเต่าประกาศเตรียมใช้มาตรการเก็บ “ค่าธรรมเนียมความยั่งยืน” (Sustainability Fee) ในปี 2568 เพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สะสมมานาน มาตรการนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ในประเทศไทย แต่เป็นกลไกที่อุทยานแห่งชาติหลายแห่งได้นำมาใช้แล้วอย่างประสบความสำเร็จ เพื่อเปลี่ยนภาระให้เป็นพลังในการฟื้นฟูและดูแลรักษาทรัพยากรอันมีค่าของประเทศ การทำความเข้าใจถึงหลักการ วัตถุประสงค์ และผลกระทบของค่าธรรมเนียมนี้ จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว

ภาพรวมและความสำคัญของค่าธรรมเนียมท่องเที่ยว

การเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั่วโลกนำมาซึ่งความท้าทายในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มสูงขึ้น พื้นที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง โดยเฉพาะเกาะและอุทยานแห่งชาติ ต้องเผชิญกับปัญหาขยะล้น ความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศ และความแออัดของนักท่องเที่ยว เพื่อรับมือกับปัญหาเหล่านี้ แนวคิดการเก็บค่าธรรมเนียมจากนักท่องเที่ยวจึงถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเงินที่สำคัญ เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับการท่องเที่ยวในระยะยาว

นิยามของ “ค่าเหยียบแผ่นดิน”

“ค่าเหยียบแผ่นดิน” หรือ ภาษีนักท่องเที่ยว เป็นชื่อเรียกโดยทั่วไปของค่าธรรมเนียมที่จัดเก็บจากนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เมื่อเดินทางเข้ามาในพื้นที่ท่องเที่ยวหรือประเทศนั้นๆ ค่าธรรมเนียมนี้อาจถูกเรียกในชื่ออื่น เช่น ค่าธรรมเนียมเข้าอุทยาน, ค่าธรรมเนียมความยั่งยืน หรือ Tourist Tax โดยมีหลักการพื้นฐานเดียวกันคือ ผู้ที่เข้ามาใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นที่ควรมีส่วนร่วมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาและฟื้นฟูทรัพยากรเหล่านั้น

ในบริบทของประเทศไทย การจัดเก็บค่าธรรมเนียมลักษณะนี้มักดำเนินการโดยหน่วยงานภาครัฐที่ดูแลพื้นที่โดยตรง เช่น กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ซึ่งมีอำนาจตามกฎหมายในการกำหนดอัตราค่าบริการสำหรับบุคคลที่เข้าไปในเขตอุทยานแห่งชาติ โดยมักจะมีการกำหนดอัตราที่แตกต่างกันระหว่างนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ

เหตุผลและความจำเป็นในการจัดเก็บ

วัตถุประสงค์หลักของการจัดเก็บค่าธรรมเนียมจากนักท่องเที่ยวไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการสร้างรายได้ แต่ครอบคลุมมิติของการจัดการและการอนุรักษ์อย่างรอบด้าน ดังนี้:

  1. เพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟู: รายได้ส่วนใหญ่จะถูกนำไปใช้ในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์โดยตรง เช่น การจัดการขยะและน้ำเสีย การฟื้นฟูแนวปะการัง การปลูกป่าชายเลน และการศึกษาวิจัยเพื่อรักษาสมดุลของระบบนิเวศ
  2. เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก: งบประมาณส่วนหนึ่งถูกนำมาใช้ในการพัฒนาและบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ สำหรับนักท่องเที่ยว เช่น เส้นทางศึกษาธรรมชาติ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ห้องน้ำสาธารณะ และทุ่นจอดเรือเพื่อป้องกันความเสียหายต่อปะการัง
  3. เพื่อยกระดับความปลอดภัย: เงินรายได้สามารถนำไปจัดสรรเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดทำประกันอุบัติเหตุให้กับนักท่องเที่ยว รวมถึงการจ้างเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยและหน่วยกู้ภัยในพื้นที่
  4. เพื่อควบคุมจำนวนนักท่องเที่ยว (Carrying Capacity): การกำหนดค่าธรรมเนียมในอัตราที่เหมาะสมอาจเป็นเครื่องมือหนึ่งในการควบคุมจำนวนนักท่องเที่ยวไม่ให้เกินขีดความสามารถในการรองรับของพื้นที่ ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้

กรณีศึกษา: การจัดเก็บค่าธรรมเนียมในอุทยานแห่งชาติของไทย

ประเทศไทยมีอุทยานแห่งชาติทางทะเลหลายแห่งที่เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลก และได้นำระบบการจัดเก็บค่าธรรมเนียมมาใช้เป็นกลไกสำคัญในการบริหารจัดการพื้นที่ ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าสามารถสร้างรายได้จำนวนมหาศาลเพื่อนำกลับมาดูแลทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หมู่เกาะสิมิลัน: แหล่งรายได้หลักเพื่อการอนุรักษ์

อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จังหวัดพังงา ถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของความสำเร็จในการจัดเก็บค่าธรรมเนียม ด้วยความงดงามของโลกใต้ทะเล ทำให้ที่นี่ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติได้เป็นจำนวนมาก โดยในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าพื้นที่เฉลี่ยวันละ 1,500–2,500 คน ส่งผลให้อุทยานฯ สามารถจัดเก็บค่าธรรมเนียมได้เฉลี่ยสูงถึงวันละ 1 ล้านบาท

ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพในการสร้างรายได้ที่สูงมาก โดยในรอบปีงบประมาณหนึ่งๆ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลันสามารถสร้างรายได้จากการจัดเก็บค่าธรรมเนียมได้มากถึงประมาณ 243.6 ล้านบาท ซึ่งงบประมาณก้อนนี้ได้กลายเป็นเงินทุนหมุนเวียนสำคัญที่ทำให้หน่วยงานสามารถดำเนินโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลได้อย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม

หมู่เกาะพีพี: ต้นแบบการสร้างรายได้สูงสุด

อีกหนึ่งพื้นที่ที่โดดเด่นไม่แพ้กันคือ อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวระดับโลกอย่างอ่าวมาหยาและเกาะพีพีเล ที่นี่ถือเป็นอุทยานแห่งชาติที่สามารถจัดเก็บค่าธรรมเนียมได้สูงสุดในประเทศไทย ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้ามาตลอดทั้งปี ทำให้สามารถสร้างรายได้รวมได้มากกว่า 500 ล้านบาทต่อปี

ความสำเร็จของหมู่เกาะพีพีได้กลายเป็นต้นแบบให้กับการจัดการพื้นที่ท่องเที่ยวทางทะเลอื่นๆ ในการนำรายได้จากนักท่องเที่ยวมาใช้บริหารจัดการผลกระทบที่เกิดจากการท่องเที่ยวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำไปใช้ในโครงการปิดอ่าวมาหยาเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศ ซึ่งได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่าเป็นตัวอย่างของการจัดการการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ประสบความสำเร็จ

อุทยานแห่งชาติอื่นๆ และภาพรวมรายได้

นอกเหนือจากสองแห่งข้างต้น ยังมีอุทยานแห่งชาติอีกหลายแห่งที่สามารถสร้างรายได้จำนวนมากจากการท่องเที่ยว เช่น:

  • อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง
  • อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา จังหวัดพังงา
  • อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่

เมื่อรวมรายได้จากอุทยานแห่งชาติทั้งหมดทั่วประเทศ พบว่ามีมูลค่าสูงถึงระดับพันกว่าล้านบาทต่อปี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการดำเนินงานของกรมอุทยานแห่งชาติฯ และเป็นเครื่องมือที่ขาดไม่ได้ในการปกป้องสมบัติทางธรรมชาติของชาติ

ตารางเปรียบเทียบรายได้โดยประมาณจากการจัดเก็บค่าธรรมเนียมในอุทยานแห่งชาติชั้นนำของไทย
อุทยานแห่งชาติ รายได้เฉลี่ยต่อวัน (ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว) รายได้โดยประมาณต่อปี
อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ไม่ระบุตัวเลขรายวัน มากกว่า 500 ล้านบาท
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ประมาณ 1 ล้านบาท ประมาณ 243.6 ล้านบาท
อุทยานแห่งชาติอื่นๆ (รวม) แตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ รวมทั้งหมดประมาณ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป

ผลกระทบและมุมมองที่หลากหลายต่อภาษีนักท่องเที่ยว

ผลกระทบและมุมมองที่หลากหลายต่อภาษีนักท่องเที่ยว

แม้ว่าการจัดเก็บค่าธรรมเนียมจะมีประโยชน์ที่ชัดเจน แต่การนำนโยบายนี้มาบังคับใช้ก็มักจะมาพร้อมกับเสียงสะท้อนและมุมมองที่แตกต่างกันจากภาคส่วนต่างๆ ทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ ซึ่งจำเป็นต้องมีการพิจารณาอย่างรอบด้านเพื่อหาจุดสมดุลที่เหมาะสม

ประโยชน์ด้านการพัฒนาและการจัดการทรัพยากร

ในมุมมองของผู้สนับสนุน ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นหน่วยงานภาครัฐ นักอนุรักษ์ และชุมชนในพื้นที่ ประโยชน์ของการเก็บค่าธรรมเนียมนั้นมีมากกว่าผลกระทบเชิงลบ โดยมองว่านี่เป็นกลไกที่จำเป็นในการสร้างความยั่งยืนทางการคลังให้กับการดูแลทรัพยากรธรรมชาติ ทำให้ไม่ต้องพึ่งพางบประมาณจากส่วนกลางเพียงอย่างเดียว เงินรายได้ที่เกิดขึ้นสามารถนำไปใช้จ่ายได้อย่างคล่องตัวและตรงจุด ไม่ว่าจะเป็นการจ้างบุคลากรเพิ่มเติม การจัดซื้ออุปกรณ์ที่จำเป็น หรือการดำเนินโครงการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมได้อย่างทันท่วงที

นอกจากนี้ การมีงบประมาณเป็นของตนเองยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการวางแผนระยะยาวเพื่อการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ได้อย่างมีวิสัยทัศน์มากขึ้นอีกด้วย

เสียงสะท้อนและความกังวลจากภาคเอกชน

ในทางกลับกัน ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เช่น บริษัททัวร์ โรงแรม และร้านอาหาร มักแสดงความกังวลว่าการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมอาจกลายเป็นต้นทุนที่สูงขึ้นสำหรับนักท่องเที่ยว และอาจส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกจุดหมายปลายทางได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดที่มีการแข่งขันสูง นักท่องเที่ยวอาจหันไปเลือกเดินทางไปยังประเทศหรือสถานที่ที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายส่วนนี้แทน

ความกังวลหลักคือ การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายโดยรวมอาจทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติลดจำนวนลง ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจในห่วงโซ่อุปทานการท่องเที่ยวทั้งหมด ตั้งแต่ระดับท้องถิ่นไปจนถึงระดับประเทศ

ดังนั้น การกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมจึงต้องทำอย่างระมัดระวัง โดยพิจารณาถึงความสามารถในการจ่ายของนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมายและเปรียบเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาค เพื่อไม่ให้กระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยในภาพรวม

มุมมองจากต่างประเทศ: เกาะเชจู เกาหลีใต้

แนวคิดการเก็บค่าธรรมเนียมจากนักท่องเที่ยวไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทย แต่เป็นแนวปฏิบัติที่หลายประเทศทั่วโลกนำมาปรับใช้ เกาะเชจู แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของประเทศเกาหลีใต้ เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่น่าสนใจซึ่งกำลังพิจารณานำมาตรการนี้มาใช้

ทางการเกาะเชจูมีแผนที่จะเริ่มเก็บค่าธรรมเนียมจากนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือน โดยคาดว่าจะจัดเก็บในอัตราเฉลี่ยประมาณ 8,170 วอน (หรือประมาณ 215 บาท) ต่อวันต่อคน เงินที่ได้จากการจัดเก็บนี้มีเป้าหมายเพื่อนำไปใช้ในการบริหารจัดการผลกระทบจากการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งในด้านการจัดการขยะ การบำรุงรักษาสถานที่ท่องเที่ยว และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่เป็นเอกลักษณ์ของเกาะ กรณีของเกาะเชจูสะท้อนให้เห็นว่า แม้แต่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว การสร้างสมดุลระหว่างการส่งเสริมการท่องเที่ยวและการรักษาสภาพแวดล้อมก็ยังคงเป็นความท้าทายที่สำคัญ และการเก็บค่าธรรมเนียมถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาอย่างจริงจัง

อนาคตของการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และค่าธรรมเนียมความยั่งยืน

สรุปได้ว่า “ค่าเหยียบแผ่นดิน” หรือค่าธรรมเนียมความยั่งยืน เป็นเครื่องมือทางการคลังที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการบริหารจัดการการท่องเที่ยวสมัยใหม่ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความเปราะบางทางระบบนิเวศสูง ดังที่เห็นได้จากความสำเร็จของอุทยานแห่งชาติทางทะเลหลายแห่งในประเทศไทยที่สามารถสร้างรายได้มหาศาลเพื่อนำกลับไปฟื้นฟูและดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่ที่การสร้างสมดุลระหว่างเป้าหมายการอนุรักษ์กับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นกับภาคธุรกิจท่องเที่ยว การกำหนดอัตราที่เหมาะสม การสื่อสารที่โปร่งใสเกี่ยวกับวัตถุประสงค์และการนำเงินไปใช้ รวมถึงการสร้างความเข้าใจร่วมกันระหว่างภาครัฐ เอกชน และนักท่องเที่ยว คือหัวใจสำคัญที่จะทำให้มาตรการนี้บรรลุเป้าหมายในการสร้างการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนได้อย่างแท้จริงในระยะยาว

ในอนาคตข้างหน้า แนวโน้มการนำค่าธรรมเนียมลักษณะนี้มาใช้น่าจะเพิ่มมากขึ้นทั่วโลก เพื่อให้แน่ใจว่าความงดงามของธรรมชาติจะยังคงอยู่คู่กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและส่งต่อไปยังคนรุ่นหลังได้ต่อไป