รัฐสั่งจ่ายเงินเดือนด้วย ‘บาทดิจิทัล’ เริ่มปีหน้า!

สารบัญ

รัฐบาลไทยกำลังผลักดันการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญสู่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัล ด้วยการอนุมัติแผนการจ่ายเงินเดือนและเงินช่วยเหลือผ่านระบบ “บาทดิจิทัล” หรือ Central Bank Digital Currency (CBDC) โดยจะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในปี 2569 นโยบายนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการวางรากฐานโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของประเทศ และเป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์ที่ใหญ่กว่าในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่สังคมไร้เงินสดอย่างเต็มรูปแบบ

ภาพรวมนโยบายการชำระเงินยุคใหม่

  • การเริ่มต้นใช้บาทดิจิทัล: คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนเริ่มจ่ายเงินเดือนพนักงานผ่านระบบเงินบาทดิจิทัล (CBDC) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป
  • โครงการนำร่อง: นโยบายนี้มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ที่จะเริ่มใช้ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งทำหน้าที่เป็นโครงการนำร่องเพื่อทดสอบระบบและสร้างความคุ้นเคยให้แก่ประชาชนในวงกว้าง
  • เป้าหมายหลัก: มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นผ่านการอัดฉีดเม็ดเงิน และในระยะยาวเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินดิจิทัลที่มั่นคง สนับสนุนนโยบาย e-Government และเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการเงินโดยรวม
  • ผลักดันสู่สังคมไร้เงินสด: การเปลี่ยนผ่านสู่การใช้บาทดิจิทัลจะช่วยลดต้นทุนการจัดการเงินสด เพิ่มความโปร่งใสของธุรกรรมทางการเงิน และส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ ในอนาคต

การที่รัฐสั่งจ่ายเงินเดือนด้วย ‘บาทดิจิทัล’ เริ่มปีหน้า! ถือเป็นจุดเปลี่ยนเชิงนโยบายที่ส่งผลกระทบในวงกว้างต่อระบบเศรษฐกิจและวิถีชีวิตของคนไทย โครงการนี้คือการนำสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง (CBDC) มาใช้ในการทำธุรกรรมในชีวิตประจำวันอย่างเป็นรูปธรรม โดยเริ่มจากการจ่ายเงินเดือนข้าราชการ เงินช่วยเหลือ และสวัสดิการต่างๆ จากภาครัฐ ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการสร้างความคุ้นเคยและวางรากฐานการยอมรับสกุลเงินดิจิทัลในระดับประเทศ ก่อนที่จะขยายผลไปสู่ภาคเอกชนและธุรกรรมเชิงพาณิชย์อื่นๆ ต่อไป นโยบายนี้ไม่เพียงแต่จะเปลี่ยนวิธีการรับและใช้จ่ายเงิน แต่ยังเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนประเทศไปสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างเต็มตัว

ทำความเข้าใจนโยบาย ‘บาทดิจิทัล’ และผลกระทบในวงกว้าง

นโยบายการใช้เงินบาทดิจิทัลมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินให้มีความทันสมัย ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูงขึ้น การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อหลายภาคส่วน ตั้งแต่ประชาชนทั่วไป ผู้ประกอบการ ไปจนถึงสถาบันการเงิน

สำหรับประชาชน การรับเงินเดือนหรือเงินช่วยเหลือในรูปแบบดิจิทัลจะมอบความสะดวกสบายและความรวดเร็วในการทำธุรกรรม ลดความจำเป็นในการพกพาเงินสด และอาจเข้าถึงบริการทางการเงินใหม่ๆ ได้ง่ายขึ้น ในขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการและร้านค้าจะได้ประโยชน์จากระบบการชำระเงินที่มีต้นทุนต่ำลง และมีข้อมูลธุรกรรมที่สามารถนำไปวิเคราะห์เพื่อพัฒนาธุรกิจต่อไปได้

กำหนดการของนโยบายนี้ถูกวางไว้อย่างเป็นขั้นตอน โดยจะเริ่มต้นด้วยโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งเปรียบเสมือนการทดลองใช้งานระบบในสภาวะจริง เพื่อประเมินผลและปรับปรุงแก้ไข ก่อนที่จะเริ่มบังคับใช้กับการจ่ายเงินเดือนของหน่วยงานรัฐอย่างเต็มรูปแบบในวันที่ 1 มกราคม 2569 กลุ่มเป้าหมายแรกคือข้าราชการและพนักงานของรัฐ ซึ่งจะเป็นกลุ่มนำร่องที่สำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นและเป็นแบบอย่างให้แก่ภาคส่วนอื่นๆ

เจาะลึก ‘เงินบาทดิจิทัล’ หรือ CBDC คืออะไร

เจาะลึก 'เงินบาทดิจิทัล' หรือ CBDC คืออะไร

เงินบาทดิจิทัล หรือ Central Bank Digital Currency (CBDC) คือ สกุลเงินบาทในรูปแบบดิจิทัลที่ออกและรับรองโดยธนาคารแห่งประเทศไทยโดยตรง ซึ่งมีสถานะเทียบเท่ากับธนบัตรหรือเหรียญกษาปณ์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันทุกประการ สามารถใช้อ้างอิงมูลค่าและชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย สิ่งนี้ทำให้บาทดิจิทัลมีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากสินทรัพย์ดิจิทัลหรือคริปโทเคอร์เรนซีประเภทอื่นๆ เช่น บิตคอยน์ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่สร้างขึ้นบนระบบกระจายศูนย์ (Decentralized) และไม่มีหน่วยงานกลางใดรับรองมูลค่า ทำให้มีความผันผวนสูง

ในทางกลับกัน บาทดิจิทัลถูกออกแบบมาเพื่อรักษาเสถียรภาพของมูลค่า โดย 1 บาทดิจิทัล จะมีมูลค่าเท่ากับ 1 บาทเสมอ การนำบาทดิจิทัลมาใช้จึงไม่ใช่การสร้างสกุลเงินใหม่ แต่เป็นการเพิ่ม “รูปแบบ” ของเงินบาทให้มีความทันสมัยและสอดคล้องกับโลกยุคดิจิทัลมากขึ้น โดยยังคงอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารกลาง เพื่อสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยสูงสุดให้แก่ผู้ใช้งาน

เงินบาทดิจิทัล (CBDC) ไม่ใช่คริปโทเคอร์เรนซี แต่เป็นเงินบาทในรูปแบบดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง มีมูลค่าคงที่และสามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายเช่นเดียวกับเงินสด

ความแตกต่างระหว่างบาทดิจิทัลกับเงินในแอปพลิเคชันธนาคาร

แม้ว่าปัจจุบันผู้คนจะคุ้นเคยกับการใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชันธนาคาร (Mobile Banking) หรือกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Wallet) แต่เงินที่ปรากฏในแอปพลิเคชันเหล่านั้นคือ “เงินอิเล็กทรอนิกส์” (e-Money) ซึ่งเป็นตัวแทนของเงินฝากที่อยู่ในธนาคารพาณิชย์ ในขณะที่บาทดิจิทัล (CBDC) มีความแตกต่างในเชิงโครงสร้างและสถานะทางกฎหมายอย่างชัดเจน

ตารางเปรียบเทียบคุณสมบัติระหว่างเงินบาทดิจิทัล (CBDC) และเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money)
คุณสมบัติ บาทดิจิทัล (CBDC) เงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money)
ผู้ออกและรับรอง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธนาคารกลาง) ธนาคารพาณิชย์ หรือผู้ให้บริการที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน
สถานะทางกฎหมาย เป็นหนี้สินของธนาคารกลาง มีสถานะเทียบเท่าเงินสด เป็นหนี้สินของผู้ออก (เช่น ธนาคารพาณิชย์)
ความเสี่ยงด้านเครดิต ไม่มีความเสี่ยง (ปลอดภัยสูงสุด) มีความเสี่ยงตามสถานะของสถาบันการเงินผู้ออก
ความสามารถในการโปรแกรม สูง สามารถกำหนดเงื่อนไขการใช้งานได้ (เช่น วันหมดอายุ, พื้นที่ใช้จ่าย) ต่ำหรือไม่มี เป็นเพียงตัวเลขในระบบบัญชี
เทคโนโลยีพื้นฐาน อาจใช้เทคโนโลยีบัญชีแยกประเภทแบบกระจาย (DLT) หรือโครงสร้างแบบรวมศูนย์ ระบบฐานข้อมูลแบบรวมศูนย์ของสถาบันการเงิน

ไทม์ไลน์และขั้นตอนการดำเนินโครงการ: จากดิจิทัลวอลเล็ตสู่การจ่ายเงินเดือน

รัฐบาลได้วางแผนการดำเนินนโยบายบาทดิจิทัลออกเป็นระยะอย่างชัดเจน เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างราบรื่นและสร้างผลกระทบน้อยที่สุด โดยแบ่งออกเป็น 2 เฟสหลัก ได้แก่ เฟสทดลองผ่านโครงการดิจิทัลวอลเล็ต และเฟสขยายผลสู่การจ่ายเงินเดือน

เฟสทดลอง: โครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท

โครงการนี้ถือเป็นก้าวแรกและเป็นสนามทดสอบที่สำคัญที่สุด โดยมีเป้าหมายเพื่อกระจายเงินดิจิทัลจำนวน 10,000 บาท ไปยังผู้มีสิทธิ์ประมาณ 50 ล้านคนทั่วประเทศ ภายใต้งบประมาณรวม 450,000 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2568 โครงการนี้มีวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการคือ:

  1. กระตุ้นเศรษฐกิจ: อัดฉีดเม็ดเงินจำนวนมหาศาลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจฐานรากโดยตรง เพื่อเพิ่มกำลังซื้อและกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ
  2. ทดสอบระบบ: ประเมินประสิทธิภาพและความเสถียรของโครงสร้างพื้นฐานบาทดิจิทัลในสภาวะการใช้งานจริงที่มีผู้ใช้จำนวนมาก
  3. สร้างความคุ้นเคย: ทำให้ประชาชนและร้านค้าได้เรียนรู้และมีประสบการณ์ตรงกับการใช้จ่ายด้วยสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยรัฐบาล

นอกจากนี้ ในเฟสที่ 3 ของโครงการจะมีการมุ่งเน้นไปที่กลุ่มวัยเรียนอายุ 16-20 ปี ซึ่งมีจำนวนประมาณ 2.7-3 ล้านคน เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงเทคโนโลยีทางการเงินในกลุ่มคนรุ่นใหม่

เฟสขยายผล: การจ่ายเงินเดือนและสวัสดิการภาครัฐ

หลังจากโครงการดิจิทัลวอลเล็ตสิ้นสุดลงและได้ข้อมูลมาปรับปรุงระบบแล้ว รัฐบาลจะเข้าสู่เฟสขยายผลอย่างเต็มรูปแบบในวันที่ 1 มกราคม 2569 โดยเริ่มต้นจากการใช้บาทดิจิทัลในการจ่ายเงินเดือนข้าราชการและพนักงานของรัฐ รวมถึงเงินบำนาญ สวัสดิการต่างๆ และเงินช่วยเหลือจากภาครัฐทั้งหมด การดำเนินการในเฟสนี้ถือเป็นการประกาศใช้อย่างเป็นทางการ และเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปยังภาคเอกชนให้เตรียมความพร้อมในการปรับตัวเข้าสู่ระบบการชำระเงินรูปแบบใหม่ ซึ่งจะกลายเป็นมาตรฐานของประเทศในอนาคต

เงื่อนไขและข้อจำกัดที่ประชาชนและร้านค้าควรรู้

เพื่อให้การใช้จ่ายเงินบาทดิจิทัลเป็นไปตามวัตถุประสงค์และสามารถตรวจสอบได้ รัฐบาลได้กำหนดเงื่อนไขและข้อจำกัดที่สำคัญสำหรับทั้งผู้รับเงินและร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ

ข้อกำหนดสำหรับผู้มีสิทธิ์รับเงิน

  • ไม่สามารถแลกเป็นเงินสด: เงินบาทดิจิทัลที่ได้รับจากโครงการไม่สามารถถอนออกมาเป็นเงินสดได้โดยตรง แต่ต้องนำไปใช้จ่ายกับร้านค้าที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเท่านั้น
  • ข้อจำกัดด้านพื้นที่: ในบางกรณี โดยเฉพาะในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต อาจมีการกำหนดรัศมีการใช้จ่ายให้อยู่ภายในเขตอำเภอตามทะเบียนบ้านของผู้มีสิทธิ์ เพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่นอย่างทั่วถึง
  • ประเภทสินค้าและบริการ: สามารถใช้ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป เช่น อาหาร เครื่องดื่ม และของใช้ในชีวิตประจำวัน แต่ไม่สามารถใช้ชำระค่าบริการบางประเภท หรือซื้อสินค้าบางรายการ เช่น สุรา ยาสูบ หรือชำระหนี้สินได้

ข้อกำหนดสำหรับร้านค้าที่เข้าร่วม

  • การลงทะเบียน: ร้านค้าที่ต้องการรับชำระเงินด้วยบาทดิจิทัลจะต้องลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ ซึ่งเปิดกว้างสำหรับผู้ประกอบการทุกขนาด ไม่จำกัดเฉพาะร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม
  • การขึ้นเงิน: แม้ร้านค้าทุกประเภทจะสามารถรับชำระเงินได้ แต่ร้านค้าที่จะสามารถนำเงินบาทดิจิทัลไปแลกเป็นเงินบาทปกติ (ขึ้นเงิน) ได้นั้น จะต้องเป็นร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษีเท่านั้น เพื่อให้ภาครัฐสามารถติดตามเส้นทางการเงินและจัดเก็บภาษีได้อย่างเป็นระบบ
  • ความโปร่งใส: เงื่อนไขนี้มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบภาษีมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มความโปร่งใสและสร้างความยั่งยืนให้กับระบบเศรษฐกิจในระยะยาว

เป้าหมายและประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากนโยบาย

นโยบายการนำเงินบาทดิจิทัลมาใช้ในการจ่ายเงินเดือนและสวัสดิการภาครัฐ ถูกออกแบบมาเพื่อบรรลุเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์หลายประการ ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและสังคมในภาพรวมดังนี้:

  • การกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างตรงจุด: การจ่ายเงินตรงไปยังประชาชนในรูปแบบดิจิทัลที่มีเงื่อนไขการใช้งาน ช่วยให้รัฐบาลสามารถกำหนดทิศทางของการใช้จ่ายเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อเศรษฐกิจฐานรากได้
  • การสร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลแห่งชาติ: โครงการนี้เป็นการวางรากฐานระบบการชำระเงินแห่งอนาคต ที่จะรองรับนวัตกรรมทางการเงินและบริการภาครัฐแบบดิจิทัล (e-Government) ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
  • เพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน: การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัลจะช่วยลดต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการผลิต การจัดเก็บ และการขนส่งเงินสด ซึ่งเป็นต้นทุนมหาศาลของประเทศในแต่ละปี
  • เพิ่มความโปร่งใสและตรวจสอบได้: ธุรกรรมผ่านระบบบาทดิจิทัลสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ ช่วยลดปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน และเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษี ทำให้รัฐมีรายได้เพื่อนำกลับมาพัฒนาประเทศมากขึ้น
  • ส่งเสริมนวัตกรรมทางการเงิน (FinTech): เมื่อโครงสร้างพื้นฐานพร้อม ภาคเอกชนและสตาร์ทอัพจะสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินใหม่ๆ บนแพลตฟอร์มบาทดิจิทัลได้ง่ายขึ้น สร้างการแข่งขันและเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค

บทสรุป: ก้าวต่อไปของประเทศไทยในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล

การตัดสินใจของรัฐบาลที่ประกาศว่าจะรัฐสั่งจ่ายเงินเดือนด้วย ‘บาทดิจิทัล’ เริ่มปีหน้า! ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศให้พร้อมรับมือกับความท้าทายในโลกอนาคต นโยบายนี้ไม่ได้เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงวิธีการชำระเงิน แต่เป็นการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในระยะยาว

แม้ว่าในช่วงแรกอาจมีความท้าทายในการปรับตัวและการเรียนรู้ระบบใหม่ แต่ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งในด้านประสิทธิภาพ ความโปร่งใส และการเปิดประตูสู่นวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ ถือเป็นสิ่งที่คุ้มค่า การเปลี่ยนผ่านสู่การใช้เงินบาทดิจิทัลจึงเป็นก้าวที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับประเทศไทยในการเดินทางสู่การเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาค ดังนั้น การติดตามข้อมูลข่าวสารและเตรียมความพร้อมเพื่อปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกภาคส่วน เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศทางการเงินใหม่ได้อย่างเต็มศักยภาพ