ช็อก! เงินบาทดิจิทัลมาแล้ว สแกนจ่ายไม่ผ่านแอปฯ ธนาคาร
การมาถึงของเงินบาทดิจิทัลได้สร้างความตื่นตัวและคำถามมากมายในสังคมไทย โดยเฉพาะประเด็นที่ว่า ช็อก! เงินบาทดิจิทัลมาแล้ว สแกนจ่ายไม่ผ่านแอปฯ ธนาคาร ซึ่งสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในระบบการชำระเงินของประเทศ สกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางนี้ไม่ได้เป็นเพียงนวัตกรรมทางการเงิน แต่ยังเป็นโครงสร้างพื้นฐานใหม่ที่อาจกำหนดอนาคตของธุรกรรมทางการเงินในยุคดิจิทัลทั้งหมด
สรุปประเด็นสำคัญเกี่ยวกับเงินบาทดิจิทัล
- เงินบาทดิจิทัล (Retail CBDC) คือเงินสกุลบาทในรูปแบบดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยตรง มีสถานะเทียบเท่ากับธนบัตรและเหรียญกษาปณ์
- ในช่วงทดสอบ การใช้งานเงินบาทดิจิทัลจำเป็นต้องทำผ่านแอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้นโดยเฉพาะ ไม่สามารถใช้งานผ่านแอปพลิเคชันโมบายล์แบงก์กิ้งของธนาคารทั่วไปได้
- โครงการนี้ยังอยู่ในขั้นทดสอบในวงจำกัด (Whitelist) เพื่อประเมินประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และผลกระทบ ก่อนพิจารณาขยายการใช้งานในวงกว้าง
- การพัฒนามีศักยภาพในการเชื่อมต่อกับนวัตกรรมทางการเงินอื่น ๆ เช่น กระเป๋าเงินดิจิทัล (Crypto Wallets) และสินทรัพย์ดิจิทัลประเภท Stablecoin
- มีความท้าทายสำคัญที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ทั้งในด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับเสถียรภาพของระบบธนาคารพาณิชย์
ปรากฏการณ์ที่ผู้คนให้ความสนใจกับประเด็น ช็อก! เงินบาทดิจิทัลมาแล้ว สแกนจ่ายไม่ผ่านแอปฯ ธนาคาร ชี้ให้เห็นถึงความคาดหวังและความกังวลต่อเทคโนโลยีใหม่นี้ การทำความเข้าใจพื้นฐาน ความแตกต่าง และเหตุผลเบื้องหลังข้อจำกัดดังกล่าว จะช่วยให้เห็นภาพรวมของทิศทางการพัฒนาระบบการเงินของประเทศได้ชัดเจนยิ่งขึ้น บทความนี้จะสำรวจทุกมิติของเงินบาทดิจิทัล ตั้งแต่แนวคิดพื้นฐานไปจนถึงผลกระทบในอนาคต
ทำความเข้าใจเงินบาทดิจิทัล (CBDC)
ก่อนจะวิเคราะห์ถึงสาเหตุของข้อจำกัดในการใช้งาน สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจว่าเงินบาทดิจิทัล หรือ Central Bank Digital Currency (CBDC) คืออะไร และมีความแตกต่างจากเงินในรูปแบบดิจิทัลที่คุ้นเคยกันอยู่แล้วอย่างไร
นิยามและความหมายของ Retail CBDC
Retail CBDC คือ สกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางเพื่อให้ประชาชนทั่วไปใช้งานในการทำธุรกรรมรายย่อยในชีวิตประจำวัน แตกต่างจาก Wholesale CBDC ที่ใช้สำหรับธุรกรรมระหว่างสถาบันการเงินด้วยกันเอง เงินบาทดิจิทัลในโครงการทดสอบนี้จัดอยู่ในประเภท Retail CBDC ซึ่งมีคุณสมบัติสำคัญคือ:
- มีสถานะเป็นหนี้ของธนาคารกลาง: เช่นเดียวกับธนบัตรที่หมุนเวียนในระบบ เงินบาทดิจิทัลถือเป็นภาระหนี้สินของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งหมายความว่ามีความน่าเชื่อถือและปลอดภัยสูงสุด ปราศจากความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk) และความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk)
- มูลค่าคงที่: 1 บาทดิจิทัล มีมูลค่าเท่ากับ 1 บาทในรูปแบบธนบัตรหรือเงินในบัญชีธนาคารเสมอ ไม่มีความผันผวนของมูลค่าเหมือนสกุลเงินคริปโต (Cryptocurrency) ทั่วไป
- เป็นสื่อกลางในการชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย: มีสถานะทางกฎหมายเทียบเท่าเงินสด สามารถใช้ชำระค่าสินค้าและบริการได้ทั่วไป (หากมีการนำมาใช้งานในวงกว้าง)
เงินบาทดิจิทัลเปรียบเสมือนธนบัตรในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ที่อยู่ในกระเป๋าเงินดิจิทัลโดยตรง ไม่ใช่เงินฝากที่อยู่ในบัญชีของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งเป็นความแตกต่างพื้นฐานที่สำคัญที่สุด
ความแตกต่างจากเงินในบัญชีธนาคารและ e-Wallet
แม้ว่าปัจจุบันคนส่วนใหญ่จะคุ้นเคยกับการทำธุรกรรมผ่านโมบายล์แบงก์กิ้งและแอปพลิเคชัน e-Wallet ซึ่งเป็นเงินในรูปแบบดิจิทัลเช่นกัน แต่เงินบาทดิจิทัลมีความแตกต่างในเชิงโครงสร้างอย่างสิ้นเชิง ดังตารางเปรียบเทียบต่อไปนี้
คุณลักษณะ | เงินบาทดิจิทัล (Retail CBDC) | เงินฝากในแอปฯ ธนาคาร | เงินใน e-Wallet |
---|---|---|---|
ผู้ออกและรับผิดชอบ | ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) | ธนาคารพาณิชย์ | ผู้ให้บริการที่ไม่ใช่ธนาคาร (Non-bank) |
สถานะทางกฎหมาย | หนี้สินของธนาคารกลาง (เทียบเท่าเงินสด) | หนี้สินของธนาคารพาณิชย์ | หนี้สินของผู้ให้บริการ |
ความเสี่ยงด้านเครดิต | ไม่มี | มี (กรณีธนาคารล้มละลาย แต่มีสถาบันคุ้มครองเงินฝาก) | มี (ขึ้นอยู่กับความมั่นคงของผู้ให้บริการ) |
เทคโนโลยีพื้นฐาน | เทคโนโลยีบัญชีแยกประเภทแบบกระจายศูนย์ (DLT) หรือระบบรวมศูนย์ที่ออกแบบเฉพาะ | ระบบฐานข้อมูลแบบรวมศูนย์ของธนาคาร | ระบบฐานข้อมูลแบบรวมศูนย์ของผู้ให้บริการ |
การทำงาน | สามารถออกแบบให้ทำงานแบบ Peer-to-Peer โดยไม่ต้องผ่านตัวกลางได้ | ต้องทำธุรกรรมผ่านระบบของธนาคารเสมอ | ต้องทำธุรกรรมผ่านระบบของผู้ให้บริการเสมอ |
จากตารางจะเห็นได้ว่า ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดคือ “ผู้ออก” ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อระดับความเสี่ยงและความน่าเชื่อถือ เงินบาทดิจิทัลมีความปลอดภัยสูงสุดเพราะเป็นภาระผูกพันโดยตรงของธนาคารกลางแห่งประเทศ
เบื้องหลังปรากฏการณ์ “สแกนจ่ายไม่ผ่านแอปฯ ธนาคาร”
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดประเด็นที่ว่า ช็อก! เงินบาทดิจิทัลมาแล้ว สแกนจ่ายไม่ผ่านแอปฯ ธนาคาร นั้น มาจากโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงระหว่างระบบเงินบาทดิจิทัลกับระบบการชำระเงินของธนาคารพาณิชย์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน
โครงสร้างพื้นฐานและแอปพลิเคชันเฉพาะกิจ
โครงการทดสอบเงินบาทดิจิทัลถูกสร้างขึ้นบนระบบนิเวศ (Ecosystem) แบบปิดและจำกัด เพื่อให้สามารถควบคุมตัวแปรและประเมินผลได้อย่างแม่นยำ ซึ่งหมายความว่าองค์ประกอบทั้งหมด ตั้งแต่ระบบหลังบ้านไปจนถึงแอปพลิเคชันสำหรับผู้ใช้งานปลายทาง ถูกพัฒนาขึ้นมาใหม่เพื่อรองรับเทคโนโลยี CBDC โดยเฉพาะ
ในช่วงทดสอบ ผู้เข้าร่วมโครงการซึ่งอยู่ในกลุ่ม Whitelist จะต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชันพิเศษ เช่น “CBDC SCB” ที่พัฒนาโดยธนาคารที่เข้าร่วมโครงการ แอปพลิเคชันนี้จะเชื่อมต่อโดยตรงกับโครงสร้างพื้นฐานของ Retail CBDC ทำให้ผู้ใช้สามารถทำธุรกรรมพื้นฐานได้ เช่น:
- การเติมเงิน (Top-up): โอนเงินจากบัญชีธนาคารพาณิชย์ของตนเองเข้ามาเป็นเงินบาทดิจิทัลในแอปพลิเคชัน CBDC
- การจ่ายเงิน (Pay): สแกน QR Code ของร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการเพื่อชำระค่าสินค้าและบริการด้วยเงินบาทดิจิทัล
- การโอนเงิน (Transfer): โอนเงินบาทดิจิทัลระหว่างผู้ใช้งานในโครงการด้วยกันเอง
- การแลกคืน (Redeem): โอนเงินบาทดิจิทัลกลับคืนสู่บัญชีธนาคารพาณิชย์ในรูปแบบเงินฝากปกติ
เนื่องจากระบบนี้ทำงานแยกขาดจากระบบโมบายล์แบงก์กิ้งเดิม การนำแอปฯ ธนาคารทั่วไปไปสแกน QR Code ที่สร้างจากระบบ CBDC จึงไม่สามารถทำธุรกรรมได้ และในทางกลับกัน แอปฯ CBDC ก็ไม่สามารถใช้สแกน QR Code ของระบบ PromptPay ทั่วไปได้เช่นกัน
เหตุผลทางเทคนิคของการแยกแอปพลิเคชัน
การตัดสินใจพัฒนาระบบและแอปพลิเคชันแยกต่างหากในช่วงทดสอบ มีเหตุผลสำคัญหลายประการ:
- การทดสอบในสภาพแวดล้อมควบคุม (Sandbox): การจำกัดวงผู้ใช้งานและร้านค้าช่วยให้นักพัฒนาสามารถติดตามปัญหา แก้ไขข้อบกพร่อง และเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานได้อย่างใกล้ชิด โดยไม่ส่งผลกระทบต่อระบบการชำระเงินหลักของประเทศที่มีผู้ใช้งานหลายสิบล้านคน
- ความแตกต่างทางเทคโนโลยี: ระบบ CBDC อาจใช้เทคโนโลยีใหม่ เช่น บล็อกเชน หรือ DLT ซึ่งมีวิธีการบันทึกและตรวจสอบธุรกรรมที่แตกต่างจากระบบฐานข้อมูลแบบรวมศูนย์ของธนาคาร การผสานสองระบบที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเข้าด้วยกันในทันทีมีความซับซ้อนและเสี่ยงสูง
- การทดสอบนวัตกรรมใหม่ (Programmability): หนึ่งในคุณสมบัติที่โดดเด่นของ CBDC คือความสามารถในการตั้งเงื่อนไขหรือโปรแกรมการใช้งานเงินได้ (Programmable Money) เช่น การกำหนดวันหมดอายุ หรือการกำหนดให้ใช้จ่ายเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่างเท่านั้น ซึ่งเป็นฟังก์ชันที่ไม่มีในระบบปัจจุบัน การทดสอบฟีเจอร์เหล่านี้จำเป็นต้องทำในระบบที่ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับโดยเฉพาะ
- การประเมินด้านความปลอดภัย: การสร้างระบบใหม่ขึ้นมาทั้งหมดทำให้สามารถวางมาตรการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่ออกแบบมาสำหรับ CBDC ได้อย่างเต็มที่ และทดสอบการป้องกันการโจมตีในรูปแบบต่าง ๆ ก่อนที่จะนำไปเชื่อมต่อกับระบบการเงินที่ใหญ่กว่า
สถานะปัจจุบันและอนาคตของโครงการในประเทศไทย
โครงการเงินบาทดิจิทัลของไทยไม่ได้หยุดนิ่งอยู่แค่การทดสอบพื้นฐาน แต่ยังคงมีการพัฒนาและมองไปข้างหน้าถึงการประยุกต์ใช้ในรูปแบบที่ซับซ้อนและหลากหลายมากขึ้น
ภาพรวมโครงการทดสอบ (Pilot Test)
โครงการทดสอบ Retail CBDC ในประเทศไทยเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปี 2565 ถึงต้นปี 2566 โดยมีธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้นำ และร่วมมือกับสถาบันการเงินภาคเอกชน 3 แห่งในการพัฒนาและทดสอบใช้งานจริงในวงจำกัด (Sandbox) โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเรียนรู้และประเมินความเป็นไปได้ใน 3 ระดับ:
- ระดับพื้นฐาน (Foundation Track): ทดสอบฟังก์ชันการใช้งานหลัก ได้แก่ เติม-จ่าย-โอน-แลกคืน เพื่อให้แน่ใจว่าระบบสามารถทำงานได้อย่างมีเสถียรภาพและปลอดภัย การทดสอบนี้เริ่มจากกลุ่มพนักงานของสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ ก่อนจะขยายไปยังร้านค้าและผู้ใช้งานภายนอกในพื้นที่ใกล้เคียงสำนักงานใหญ่ เช่น โครงการที่ดำเนินการรอบธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB)
- ระดับนวัตกรรม (Innovation Track): เปิดโอกาสให้ภาคเอกชนและนักพัฒนาเสนอกรณีการใช้งาน (Use Case) ใหม่ ๆ บนแพลตฟอร์ม CBDC เพื่อสำรวจศักยภาพในการสร้างบริการทางการเงินรูปแบบใหม่ที่ระบบปัจจุบันไม่สามารถทำได้ ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันและพัฒนานวัตกรรมในภาคการเงิน
- การประเมินผลกระทบเชิงนโยบาย: ธปท. ศึกษาและวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการนำ CBDC มาใช้ในวงกว้าง ทั้งในมิติของนโยบายการเงิน เสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน และการคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน
ณ ปี 2568 โครงการยังคงอยู่ในช่วงของการเก็บรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ผลลัพธ์ที่ได้จากการทดสอบ เพื่อนำไปประกอบการตัดสินใจในอนาคตว่าจะมีการพัฒนาและนำ Retail CBDC มาใช้เป็นการทั่วไปหรือไม่ อย่างไร และเมื่อใด
นวัตกรรมต่อยอด: สู่การผสานกับโลกคริปโต
นอกเหนือจากการใช้งานในชีวิตประจำวันแล้ว หนึ่งในทิศทางที่น่าจับตามองคือการเชื่อมต่อระหว่างระบบเงินบาทดิจิทัลกับโลกของสินทรัพย์ดิจิทัลและเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งกำลังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การพัฒนานี้อาจรวมถึง:
- การทำงานร่วมกับ Crypto Wallets: ในอนาคตมีความเป็นไปได้ที่กระเป๋าเงินดิจิทัล (Crypto Wallets) จะสามารถรองรับการจัดเก็บและทำธุรกรรมด้วยเงินบาทดิจิทัลได้ เช่นเดียวกับที่รองรับสกุลเงินคริปโตอื่น ๆ ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ที่ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลสามารถแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทดิจิทัลและสินทรัพย์อื่น ๆ ได้อย่างราบรื่นและปลอดภัยยิ่งขึ้น
- การเชื่อมต่อกับ Stablecoin: เหรียญ Stablecoin ที่ผูกมูลค่ากับเงินบาท (Thai Baht-backed Stablecoin) เช่น THBX กำลังมีบทบาทมากขึ้นในระบบนิเวศคริปโต การมีเงินบาทดิจิทัลที่เป็นเงินของธนาคารกลางโดยตรง จะเป็นสินทรัพย์อ้างอิงที่มีความน่าเชื่อถือสูงสุดสำหรับการแลกเปลี่ยนหรือค้ำประกัน Stablecoin เหล่านี้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มเสถียรภาพให้กับตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศ
การผสานรวมดังกล่าวจะช่วยลดช่องว่างระหว่างระบบการเงินแบบดั้งเดิม (Traditional Finance) และระบบการเงินแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Finance – DeFi) สร้างโอกาสทางธุรกิจและบริการทางการเงินใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน
ความท้าทายและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
แม้ว่าเงินบาทดิจิทัลจะมีศักยภาพมหาศาล แต่การนำมาใช้งานในวงกว้างยังคงมีความท้าทายและข้อควรพิจารณาที่สำคัญ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ธนาคารกลางทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ต้องดำเนินการศึกษาและทดสอบอย่างรอบคอบ
ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยไซเบอร์
ระบบการเงินดิจิทัลที่มีขนาดใหญ่ระดับประเทศย่อมเป็นเป้าหมายสำคัญของผู้ไม่หวังดี ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์จึงเป็นความท้าทายอันดับหนึ่ง ประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ได้แก่:
- การป้องกันการโจมตี: ระบบ CBDC ต้องมีความสามารถในการป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการแฮกเพื่อขโมยเงิน การโจมตีเพื่อทำให้ระบบล่ม (Denial-of-Service) หรือการปลอมแปลงธุรกรรม
- ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล: การออกแบบระบบต้องสร้างสมดุลระหว่างการป้องกันการฟอกเงิน (AML) และการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย (CFT) ซึ่งจำเป็นต้องมีการติดตามข้อมูลธุรกรรม กับการคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน
- การกู้คืนเมื่อเกิดข้อผิดพลาด: ในกรณีที่ผู้ใช้งานทำอุปกรณ์หาย หรือถูกหลอกลวงให้โอนเงิน จะต้องมีกระบวนการในการอายัดหรือกู้คืนเงินที่มีประสิทธิภาพและเป็นธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ซับซ้อนในระบบที่มีลักษณะกระจายศูนย์
ผลกระทบต่อเสถียรภาพระบบการเงินและธนาคารพาณิชย์
การเกิดขึ้นของเงินบาทดิจิทัล ซึ่งเป็นเงินที่ปลอดภัยและออกโดยธนาคารกลางโดยตรง อาจส่งผลกระทบต่อบทบาทของธนาคารพาณิชย์และเสถียรภาพของระบบการเงินโดยรวมได้ ประเด็นหลักคือความเสี่ยงของการเกิดการแห่ถอนเงิน (Bank Run) ในรูปแบบดิจิทัล
หากประชาชนขาดความเชื่อมั่นในระบบธนาคารพาณิชย์ในช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงิน พวกเขาอาจเลือกที่จะถอนเงินฝากออกจากธนาคารแล้วนำไปเก็บไว้ในรูปแบบเงินบาทดิจิทัลที่ปลอดภัยกว่าได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย การกระทำดังกล่าวในวงกว้างอาจทำให้ธนาคารพาณิชย์ขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรงและซ้ำเติมวิกฤตให้เลวร้ายลง
เพื่อป้องกันความเสี่ยงนี้ ธนาคารกลางอาจจำเป็นต้องออกมาตรการจำกัดวงเงินในการถือครองหรือทำธุรกรรมด้วย CBDC ต่อคน เพื่อไม่ให้เงินทุนไหลออกจากระบบธนาคารพาณิชย์มากและเร็วเกินไป ซึ่งการออกแบบนโยบายและข้อจำกัดเหล่านี้ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องศึกษาอย่างละเอียดต่อไป
บทสรุป: ทิศทางของเงินบาทดิจิทัลในสังคมไร้เงินสด
ประเด็นที่ว่า ช็อก! เงินบาทดิจิทัลมาแล้ว สแกนจ่ายไม่ผ่านแอปฯ ธนาคาร เป็นภาพสะท้อนของช่วงเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีการเงินที่สำคัญ แม้ข้อจำกัดในการใช้งานผ่านแอปพลิเคชันเฉพาะในช่วงทดสอบอาจสร้างความสับสนหรือไม่สะดวกบ้าง แต่ก็เป็นขั้นตอนที่จำเป็นในการพัฒนานวัตกรรมที่มีความซับซ้อนและส่งผลกระทบในวงกว้างอย่างรอบคอบและปลอดภัย
เงินบาทดิจิทัล (Retail CBDC) ไม่ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อทดแทนระบบการชำระเงินเดิมทั้งหมดในทันที แต่เป็นทางเลือกและโครงสร้างพื้นฐานใหม่ที่จะเข้ามาเสริมศักยภาพของภาคการเงิน เพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และเปิดประตูสู่บริการทางการเงินรูปแบบใหม่ในอนาคต การเดินทางสู่สังคมไร้เงินสดที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นของประเทศไทยได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และเงินบาทดิจิทัลก็คือหนึ่งในจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่จะกำหนดภาพอนาคตนั้น การติดตามความคืบหน้าของโครงการนี้อย่างใกล้ชิดจะช่วยให้ทุกภาคส่วนสามารถเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่นี้ได้อย่างเต็มศักยภาพ