ลาก่อนเงินสด? เงินบาทดิจิทัล เริ่มใช้จริงแล้ว

สารบัญ

การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมไร้เงินสดในประเทศไทยได้เดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญ ด้วยการมาถึงของเงินบาทดิจิทัลที่เริ่มนำมาใช้งานจริงแล้ว นี่ไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี แต่เป็นวิวัฒนาการของระบบการเงินที่จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและการดำเนินธุรกิจของคนไทยทุกคน

  • เงินบาทดิจิทัล หรือ Central Bank Digital Currency (CBDC) ซึ่งออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ได้เริ่มเข้าสู่ขั้นตอนการใช้งานจริงแล้ว
  • การพัฒนานี้เกิดขึ้นท่ามกลางการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของการเงินดิจิทัลในไทย ซึ่งมีบัญชีโมบายแบงก์กิ้งมากกว่า 107 ล้านบัญชี
  • เงินบาทดิจิทัลถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และสร้างความปลอดภัยให้กับการทำธุรกรรมทางการเงิน โดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเป็นพื้นฐาน
  • สกุลเงินดิจิทัลนี้มีความแตกต่างจากคริปโตเคอร์เรนซีทั่วไป เนื่องจากมีเสถียรภาพและมีมูลค่าเทียบเท่าเงินสดที่ออกโดยธนาคารกลาง
  • การมาถึงของเงินบาทดิจิทัลยังเป็นการเปิดประตูสู่นวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ และส่งเสริมให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาค

ลาก่อนเงินสด? เงินบาทดิจิทัล เริ่มใช้จริงแล้ว กลายเป็นหัวข้อที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในแวดวงการเงินและเทคโนโลยีของประเทศไทย การประกาศเริ่มใช้งานสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางแห่งประเทศไทย (ธปท.) ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของภูมิทัศน์ทางการเงิน เงินบาทดิจิทัล หรือที่รู้จักในชื่อ CBDC (Central Bank Digital Currency) นี้ ไม่ใช่เพียงแค่เงินอิเล็กทรอนิกส์ในแอปพลิเคชันธนาคารที่คุ้นเคย แต่เป็นเงินตราในรูปแบบดิจิทัลที่ออกโดยตรงจากธนาคารกลาง มีสถานะเทียบเท่าธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จึงมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับทุกคนในฐานะผู้ใช้งานในระบบเศรษฐกิจ

ภาพรวมของการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคดิจิทัล

การมาถึงของเงินบาทดิจิทัลไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แต่เป็นผลลัพธ์ของการวางรากฐานและพัฒนาการด้านการเงินดิจิทัลของไทยตลอดหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างรวดเร็วที่สุดในโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการเงิน ข้อมูลในปี 2568 ชี้ให้เห็นถึงความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เอื้อต่อการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมไร้เงินสดอย่างเต็มรูปแบบ

ตัวเลขผู้ใช้งานโมบายแบงก์กิ้งที่สูงถึง 107 ล้านบัญชี และสัดส่วนผู้ใช้ที่มากถึง 95.6% ของผู้ใช้งานทั้งหมด เป็นเครื่องยืนยันที่ชัดเจนว่าคนไทยมีความคุ้นเคยและเปิดรับการทำธุรกรรมผ่านช่องทางดิจิทัลเป็นอย่างดี นอกจากนี้ ระบบการชำระเงินอย่าง PromptPay ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ด้วยมูลค่าการทำธุรกรรมที่ใกล้แตะระดับ 47 ล้านล้านบาทต่อปี สะท้อนให้เห็นว่าเงินสดเริ่มมีบทบาทลดน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น การเปิดตัวเงินบาทดิจิทัลจึงเป็นก้าวต่อไปที่สมเหตุสมผล เพื่อต่อยอดความสำเร็จและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืน

การเปิดตัวเงินบาทดิจิทัลไม่ใช่จุดสิ้นสุดของเงินสด แต่เป็นจุดเริ่มต้นของทางเลือกทางการเงินที่หลากหลาย ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นสำหรับทุกคนในระบบเศรษฐกิจ

ทำความเข้าใจเงินบาทดิจิทัล (CBDC) ฉบับสมบูรณ์

เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น การทำความเข้าใจในนิยาม ลักษณะเฉพาะ และความแตกต่างของเงินบาทดิจิทัลจากเงินในรูปแบบอื่นๆ ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะแม้จะอยู่ในรูปแบบดิจิทัลเหมือนกัน แต่คุณสมบัติและบทบาทนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

นิยามและความหมายของเงินบาทดิจิทัล

เงินบาทดิจิทัล หรือ Retail CBDC คือ สกุลเงินบาทในรูปแบบดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจในการพิมพ์ธนบัตรและผลิตเหรียญกษาปณ์ตามกฎหมาย ดังนั้น เงินบาทดิจิทัลจึงมีคุณสมบัติเป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย (Legal Tender) เช่นเดียวกับเงินสดทุกประการ โดย 1 บาทดิจิทัล จะมีมูลค่าเท่ากับ 1 บาทในรูปแบบธนบัตรหรือเหรียญเสมอ

จุดเด่นที่สำคัญคือ เงินบาทดิจิทัลเป็นหนี้สินของธนาคารกลางโดยตรง ไม่ใช่หนี้สินของธนาคารพาณิชย์เหมือนเงินฝากในบัญชีธนาคารทั่วไป ซึ่งหมายความว่าเงินบาทดิจิทัลมีความปลอดภัยสูงสุด ไม่มีความเสี่ยงจากการล้มละลายของสถาบันการเงินตัวกลาง ทำให้ประชาชนสามารถถือครองได้อย่างมั่นใจเสมือนการถือเงินสดไว้กับตัว แต่มีความสะดวกและปลอดภัยในการจัดเก็บและใช้งานมากกว่า

ความแตกต่างระหว่างเงินบาทดิจิทัล, เงินสด, และคริปโตเคอร์เรนซี

เพื่อป้องกันความสับสน การเปรียบเทียบคุณสมบัติของเงินในแต่ละรูปแบบจะช่วยให้เข้าใจบทบาทและตำแหน่งของเงินบาทดิจิทัลได้ดียิ่งขึ้น

ตารางเปรียบเทียบคุณลักษณะของเงินประเภทต่างๆ เพื่อแสดงให้เห็นความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างเงินบาทดิจิทัลและเงินรูปแบบอื่น
คุณสมบัติ เงินบาทดิจิทัล (CBDC) เงินสด (ธนบัตร/เหรียญ) คริปโตเคอร์เรนซี (เช่น Bitcoin)
ผู้ออก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธนาคารกลาง) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธนาคารกลาง) ระบบกระจายศูนย์ (Decentralized) โดยเอกชน
รูปแบบ ดิจิทัล กายภาพ ดิจิทัล
เสถียรภาพของมูลค่า มีเสถียรภาพสูง (ตรึงกับค่าเงินบาท) มีเสถียรภาพสูง มีความผันผวนสูงมาก
สถานะทางกฎหมาย ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ไม่ถือเป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย
ความเสี่ยง ความเสี่ยงด้านปฏิบัติการและไซเบอร์ ความเสี่ยงจากการสูญหายหรือถูกโจรกรรม ความเสี่ยงด้านราคา, การกำกับดูแล, และความปลอดภัย

เทคโนโลยีบล็อกเชน: รากฐานสำคัญของความปลอดภัย

เบื้องหลังการทำงานของเงินบาทดิจิทัลคือเทคโนโลยีบัญชีแยกประเภทแบบกระจายศูนย์ (Distributed Ledger Technology – DLT) หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ บล็อกเชน (Blockchain) เทคโนโลยีนี้ทำหน้าที่เสมือนสมุดบัญชีสาธารณะที่บันทึกธุรกรรมทุกรายการต่อๆ กันเป็นลูกโซ่ ทำให้ข้อมูลมีความโปร่งใส ไม่สามารถแก้ไขหรือปลอมแปลงย้อนหลังได้ การนำบล็อกเชนมาใช้เป็นโครงสร้างพื้นฐานช่วยเพิ่มระดับความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยให้กับระบบการชำระเงินของประเทศได้อย่างมาก ทุกธุรกรรมที่เกิดขึ้นจะถูกตรวจสอบและยืนยันโดยเครือข่าย ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากการทุจริตและสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้งานทั้งในระดับบุคคลและองค์กร

ผลกระทบและประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจและประชาชน

ผลกระทบและประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจและประชาชน

การนำเงินบาทดิจิทัลมาใช้จริงก่อให้เกิดประโยชน์ในหลายมิติ ตั้งแต่การอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันของประชาชนไปจนถึงการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในเวทีโลก

มิติของผู้ใช้งานรายย่อย

สำหรับประชาชนทั่วไป ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือการลดต้นทุนและอุปสรรคที่เกี่ยวข้องกับการใช้เงินสด ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนด้านเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปฝากหรือถอนเงินที่สาขาธนาคารหรือตู้เอทีเอ็ม รวมถึงความเสี่ยงในการเก็บรักษาเงินสดจำนวนมากไว้กับตัว การใช้จ่ายผ่านเงินบาทดิจิทัลจะมีความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนที่อาจเข้าไม่ถึงบริการทางการเงินแบบดั้งเดิม (Unbanked/Underbanked) สามารถเข้าสู่ระบบการเงินได้อย่างเท่าเทียมมากขึ้นผ่านช่องทางดิจิทัล

มิติของภาคธุรกิจและเศรษฐกิจมหภาค

ในฝั่งของภาคธุรกิจ เงินบาทดิจิทัลช่วยลดต้นทุนในการบริหารจัดการเงินสดได้อย่างมหาศาล ทั้งค่าขนส่ง ค่าจัดเก็บ และค่าประกัน ซึ่งเป็นต้นทุนแฝงที่สำคัญสำหรับผู้ประกอบการ นอกจากนี้ การชำระเงินที่รวดเร็วขึ้นยังช่วยเพิ่มสภาพคล่องและทำให้เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้เร็วขึ้น ส่งผลดีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยรวม

ที่สำคัญไปกว่านั้น โครงสร้างพื้นฐานของเงินบาทดิจิทัลยังเป็นเวทีสำหรับการพัฒนานวัตกรรมทางการเงิน (Financial Innovation) และบริการทางการเงินดิจิทัลรูปแบบใหม่ๆ ผู้พัฒนาสามารถสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้หลากหลายขึ้น เช่น การตั้งเงื่อนไขการชำระเงินอัตโนมัติ (Programmable Money) หรือการเชื่อมต่อกับเทคโนโลยี Internet of Things (IoT) เพื่อสร้างประสบการณ์การชำระเงินที่ไร้รอยต่อ สิ่งเหล่านี้จะช่วยยกระดับศักยภาพของภาคการเงินไทยให้ก้าวทันโลก

สถานะปัจจุบันและทิศทางในอนาคต

โครงการเงินบาทดิจิทัลของไทยได้ผ่านขั้นตอนการวิจัยและพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง และกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงของการนำไปใช้งานจริงอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้มั่นใจว่าระบบมีความพร้อมและสามารถตอบสนองต่อความต้องการของทุกภาคส่วนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความคืบหน้าโครงการและการทดสอบใช้งาน

ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เริ่มดำเนินโครงการทดสอบการใช้งานเงินบาทดิจิทัลในวงจำกัด (Pilot Test) มาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2565 และต่อเนื่องมาจนถึงปี 2568 โดยร่วมมือกับธนาคารพาณิชย์และผู้ให้บริการที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-bank) หลายแห่ง การทดสอบนี้ครอบคลุมการใช้งานใน 3 ด้านหลัก ได้แก่

  1. การชำระค่าสินค้าและบริการ: ทดสอบการใช้งานในร้านค้าและสถานประกอบการต่างๆ เพื่อประเมินความสะดวกและความราบรื่นในการใช้งานจริง
  2. การโอนเงิน: ทดสอบประสิทธิภาพและความเร็วในการโอนเงินระหว่างบุคคล
  3. การถอนเงิน: ทดสอบกระบวนการแปลงเงินบาทดิจิทัลกลับเป็นเงินในบัญชีธนาคารหรือเงินสด

ผลการทดสอบที่ผ่านมาได้รับการตอบรับที่ดีและเป็นข้อมูลสำคัญในการปรับปรุงระบบให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นก่อนที่จะขยายการใช้งานในวงกว้างต่อไป

บริบทโลกและการเปรียบเทียบกับนานาชาติ

ประเทศไทยไม่ได้เป็นประเทศเดียวที่กำลังพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง ในปัจจุบันมีหลายประเทศทั่วโลกที่กำลังศึกษาและทดลอง CBDC เช่นกัน โดยมีประเทศที่นำมาใช้จริงแล้วอย่างไนจีเรีย (eNaira) และบาฮามาส (Sand Dollar) การที่ประเทศไทยเป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศแรกๆ ที่เริ่มนำ CBDC มาทดลองใช้ในระดับประชาชนและภาคธุรกิจจริง สะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมการเงินดิจิทัลในระดับสากล ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติได้เป็นอย่างดี

บทบาทในโลกสินทรัพย์ดิจิทัล: กรณีศึกษา THBX Stablecoin

อีกหนึ่งมิติที่น่าสนใจคือ การมาถึงของเงินบาทดิจิทัลได้กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการเติบโตของระบบนิเวศสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการเกิดขึ้นของ Stablecoin ที่ตรึงมูลค่ากับเงินบาท เช่น THBX ซึ่งเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีมูลค่าคงที่ โดย 1 THBX จะมีค่าเท่ากับ 1 บาทเสมอ Stablecoin ประเภทนี้ช่วยลดความผันผวนของราคาที่เป็นข้อจำกัดสำคัญของคริปโตเคอร์เรนซีทั่วไป

ในปี 2568 THBX ได้รับการยอมรับและสามารถนำไปใช้ชำระค่าสินค้าและบริการได้จริงผ่าน QR Code ในร้านค้ากว่า 100 แห่งทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังถูกลิสต์บนแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนำอย่าง Bitkub, Binance TH และ Upbit ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงโลกการเงินแบบดั้งเดิมเข้ากับโลกของคริปโตเคอร์เรนซีได้อย่างเป็นรูปธรรม และแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเงินบาทในการเป็นสกุลเงินหลักที่สำคัญในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลของไทย

บทสรุป: ก้าวต่อไปของการเงินไทยในยุคดิจิทัล

การเปิดตัวและเริ่มใช้งานเงินบาทดิจิทัลนับเป็นก้าวสำคัญที่ยืนยันว่าประเทศไทยกำลังมุ่งหน้าสู่การเป็นสังคมไร้เงินสดอย่างเต็มตัว การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เป็นเพียงการนำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาใช้ แต่เป็นการปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของประเทศให้มีความทันสมัย ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชน

แม้ว่าเงินสดจะยังคงมีบทบาทในสังคมต่อไปอีกระยะหนึ่ง แต่แนวโน้มของการใช้จ่ายผ่านช่องทางดิจิทัลนั้นมีแต่จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การมาถึงของเงินบาทดิจิทัลจึงเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายที่ทุกภาคส่วนต้องเตรียมพร้อมปรับตัว เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมทางการเงินนี้ได้อย่างเต็มศักยภาพ และร่วมกันขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางทางการเงินและเทคโนโลยีดิจิทัลแห่งอนาคต