AI จัดพอร์ตเงินบาทดิจิทัล: โอกาสรวยหรือความเสี่ยง?


AI จัดพอร์ตเงินบาทดิจิทัล: โอกาสรวยหรือความเสี่ยง?

สารบัญ

การเกิดขึ้นของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างสิ้นเชิง และภาคการเงินก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น การผสมผสานระหว่าง AI กับแนวคิดสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง (CBDC) อย่าง “เงินบาทดิจิทัล” กำลังเปิดพรมแดนใหม่ของการลงทุนที่เรียกว่า AI จัดพอร์ตเงินบาทดิจิทัล: โอกาสรวยหรือความเสี่ยง? คำถามนี้สะท้อนถึงศักยภาพอันมหาศาลและความท้าทายที่นักลงทุนยุคใหม่ต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง แนวคิดนี้คือการใช้ AI หรือที่รู้จักกันในชื่อ Robo-advisor เพื่อบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลที่ใช้เงินบาทดิจิทัลเป็นสื่อกลางโดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นการปฏิวัติวิธีการเข้าถึงและบริหารความมั่งคั่งที่น่าจับตามอง

ประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณา

  • ระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ: AI หรือ Robo-advisor ทำหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ลงทุน เช่น เป้าหมายทางการเงิน ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และระยะเวลาการลงทุน เพื่อสร้างและปรับพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมโดยอัตโนมัติ
  • ลดอคติทางอารมณ์: การลงทุนที่ขับเคลื่อนด้วยอัลกอริทึมช่วยขจัดอคติและความกลัวที่มักเกิดขึ้นกับมนุษย์ ทำให้การตัดสินใจอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลและตรรกะ ซึ่งอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีกว่าในระยะยาว
  • ความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีและตลาด: แม้จะมีข้อดี แต่ระบบ AI ก็ยังมีความเสี่ยงจากความผิดพลาดของอัลกอริทึม, บั๊กของซอฟต์แวร์, ภัยคุกคามทางไซเบอร์ และการไม่สามารถปรับตัวได้ทันท่วงทีต่อเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในตลาด (Black Swan Events)
  • ความสำคัญของการศึกษาข้อมูล: การใช้ AI จัดพอร์ตไม่ใช่การปล่อยปละละเลยโดยสิ้นเชิง ผู้ลงทุนยังคงต้องมีความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับกลยุทธ์ที่ AI ใช้, สินทรัพย์ที่ลงทุน และต้องติดตามผลการดำเนินงานของพอร์ตอย่างสม่ำเสมอ
  • ภูมิทัศน์ที่กำลังพัฒนา: ทั้งเทคโนโลยี AI ในภาคการเงินและเงินบาทดิจิทัล (CBDC ไทย) ยังอยู่ในช่วงของการพัฒนาและปรับใช้ ซึ่งหมายความว่ากฎระเบียบและสภาวะตลาดอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต

บทนำสู่โลกการลงทุนยุคใหม่ด้วย AI และเงินบาทดิจิทัล

ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน วงการการเงินและการลงทุนก็กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ การมาถึงของเทคโนโลยีฟินเทค (FinTech) ได้ทลายกำแพงและข้อจำกัดแบบดั้งเดิม ทำให้การเข้าถึงบริการทางการเงินเป็นเรื่องง่ายและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น หนึ่งในนวัตกรรมที่โดดเด่นที่สุดคือการใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เข้ามาช่วยในการบริหารจัดการการลงทุน

แนวคิดนี้ได้รับความสนใจมากขึ้นเมื่อผนวกรวมเข้ากับ “เงินบาทดิจิทัล” หรือ Central Bank Digital Currency (CBDC) ของไทย ซึ่งเป็นโครงการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำลังศึกษาและพัฒนา สกุลเงินรูปแบบใหม่นี้มีศักยภาพที่จะทำให้ธุรกรรมทางการเงินมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และรวดเร็วยิ่งขึ้น เมื่อ AI และเงินบาทดิจิทัลมาบรรจบกัน จึงเกิดเป็นโอกาสในการสร้างเครื่องมือการลงทุนแห่งอนาคตที่สามารถจัดพอร์ตการลงทุนให้แก่บุคคลทั่วไปได้อย่างชาญฉลาดและเป็นอัตโนมัติ

นวัตกรรมนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อนักลงทุนรายย่อย ผู้ที่อาจไม่มีเวลาติดตามสภาวะตลาดอย่างใกล้ชิด หรือผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นในโลกของการลงทุน เพราะมันมอบเครื่องมือที่เคยจำกัดอยู่แค่ในวงของนักลงทุนสถาบันหรือผู้มีความมั่งคั่งสูงให้กลายเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ อย่างไรก็ตาม ทุกเทคโนโลยีใหม่ย่อมมาพร้อมกับคำถามถึงความน่าเชื่อถือและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น การทำความเข้าใจทั้งสองด้านของเหรียญจึงเป็นสิ่งจำเป็นก่อนที่จะก้าวเข้าสู่มิติใหม่ของการลงทุนนี้

แก่นแท้ของ AI จัดพอร์ตเงินบาทดิจิทัล

เพื่อที่จะประเมินโอกาสและความเสี่ยงได้อย่างถ่องแท้ จำเป็นต้องเข้าใจองค์ประกอบหลักของเทคโนโลยีนี้เสียก่อน ซึ่งประกอบด้วยสองส่วนสำคัญคือ “เงินบาทดิจิทัล” และ “ปัญญาประดิษฐ์ (AI)” ในบทบาทของผู้จัดการพอร์ตการลงทุน

เงินบาทดิจิทัล (CBDC) คืออะไร?

เงินบาทดิจิทัล หรือ Retail CBDC คือสกุลเงินบาทในรูปแบบดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งมีมูลค่าเทียบเท่ากับเงินสดหรือธนบัตรที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน กล่าวคือ 1 บาทดิจิทัล มีค่าเท่ากับ 1 บาทเสมอ จุดเด่นของ CBDC คือการเป็นหนี้สินโดยตรงของธนาคารกลาง ทำให้มีความมั่นคงและปลอดภัยสูงสุด แตกต่างจากสกุลเงินดิจิทัลประเภทอื่น ๆ เช่น คริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ที่ราคาผันผวนสูงและไม่มีหน่วยงานกลางรับรอง หรือ Stablecoin ที่ผูกมูลค่าไว้กับสินทรัพย์อื่นและออกโดยภาคเอกชน

วัตถุประสงค์หลักของการพัฒนาเงินบาทดิจิทัลคือการเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินสำหรับอนาคต ที่จะช่วยลดต้นทุนการทำธุรกรรม, เพิ่มความเร็วในการชำระเงิน และเปิดโอกาสให้เกิดนวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือการใช้เป็นสื่อกลางในการลงทุนผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ

บทบาทของปัญญาประดิษฐ์ในฐานะที่ปรึกษาการลงทุน

ในบริบทของการจัดพอร์ตลงทุน AI จะทำหน้าที่เป็น “Robo-advisor” หรือที่ปรึกษาการลงทุนอัตโนมัติ โดยใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์และอัลกอริทึมที่ซับซ้อนในการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาล ทั้งข้อมูลส่วนบุคคลของนักลงทุนและข้อมูลสภาวะตลาด เพื่อให้คำแนะนำและบริหารจัดการพอร์ตลงทุนอย่างเป็นระบบ

Robo-advisor ไม่ได้มาแทนที่ที่ปรึกษาทางการเงินที่เป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ แต่เป็นเครื่องมือเสริมที่ทำให้การวางแผนการลงทุนเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ทุกคนสามารถเข้าถึงการจัดพอร์ตที่ออกแบบมาเฉพาะบุคคลได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง

เทคโนโลยีนี้ใช้หลักการของ Algorithmic Trading ซึ่งเป็นการส่งคำสั่งซื้อขายสินทรัพย์โดยอัตโนมัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เช่น การซื้อเมื่อราคาลดลงถึงจุดที่กำหนด หรือการขายเพื่อทำกำไรเมื่อถึงเป้าหมาย ซึ่งช่วยลดภาระของนักลงทุนในการเฝ้าติดตามตลาดตลอดเวลา

กลไกการทำงานเบื้องหลังความอัจฉริยะ

กระบวนการทำงานของ AI ในการจัดพอร์ตเงินบาทดิจิทัลสามารถแบ่งออกเป็นขั้นตอนหลักๆ ดังนี้:

  1. การรวบรวมข้อมูลผู้ลงทุน (Onboarding): แพลตฟอร์มจะเริ่มต้นด้วยการให้ผู้ลงทุนทำแบบประเมินความเสี่ยง เพื่อเก็บข้อมูลสำคัญ เช่น อายุ, รายได้, เป้าหมายทางการเงิน (เช่น เก็บเงินเพื่อเกษียณ, ซื้อบ้าน), ระยะเวลาการลงทุนที่ต้องการ และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
  2. การวิเคราะห์และสร้างพอร์ต (Portfolio Allocation): AI จะนำข้อมูลที่ได้มาประมวลผลร่วมกับทฤษฎีการลงทุนสมัยใหม่ (Modern Portfolio Theory) เพื่อสร้างพอร์ตการลงทุนที่กระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม โดยเลือกสินทรัพย์หลากหลายประเภท เช่น กองทุนรวม, หุ้น, ตราสารหนี้ ที่สอดคล้องกับโปรไฟล์ของผู้ลงทุน
  3. การดำเนินการลงทุน (Execution): เมื่อผู้ลงทุนฝากเงิน (ซึ่งในอนาคตอาจเป็นเงินบาทดิจิทัล) เข้าสู่ระบบ AI จะดำเนินการส่งคำสั่งซื้อสินทรัพย์ตามสัดส่วนที่กำหนดไว้อัตโนมัติ
  4. การติดตามและปรับพอร์ต (Monitoring & Rebalancing): AI จะคอยติดตามมูลค่าของพอร์ตอย่างต่อเนื่อง เมื่อสัดส่วนของสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งเปลี่ยนแปลงไปจากแผนที่วางไว้ (เนื่องจากความผันผวนของตลาด) ระบบจะทำการ “ปรับสมดุล” หรือ Rebalance โดยการขายสินทรัพย์ส่วนที่เกินและซื้อสินทรัพย์ส่วนที่ขาด เพื่อให้พอร์ตกลับมาอยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงเดิมเสมอ

ศักยภาพและโอกาสจากการใช้ AI ในการลงทุน

ศักยภาพและโอกาสจากการใช้ AI ในการลงทุน

การนำ AI มาใช้ในการจัดพอร์ตเงินบาทดิจิทัลนั้นมีข้อดีและโอกาสที่น่าสนใจหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนในยุคดิจิทัลที่ต้องการความสะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ

การตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ไร้ซึ่งอารมณ์

หนึ่งในกับดักที่ใหญ่ที่สุดของการลงทุนคือ “อารมณ์” ของมนุษย์ ความโลภเมื่อตลาดเป็นขาขึ้นมักทำให้คนไล่ซื้อในราคาสูง และความกลัวเมื่อตลาดเป็นขาลงก็มักบีบให้คนเทขายในราคาต่ำสุด ซึ่งสวนทางกับหลักการ “ซื้อถูก ขายแพง” โดยสิ้นเชิง AI และ Robo-advisor ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหานี้โดยเฉพาะ การตัดสินใจทั้งหมดอยู่บนพื้นฐานของข้อมูล สถิติ และอัลกอริทึมที่ตั้งไว้ ทำให้สามารถดำเนินการตามแผนการลงทุนระยะยาวได้อย่างมีวินัยโดยไม่หวั่นไหวไปกับความผันผวนระยะสั้นของตลาด

สร้างวินัยการลงทุนด้วยระบบอัตโนมัติ

ความสม่ำเสมอคือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการลงทุนระยะยาว กลยุทธ์การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน หรือ Dollar-Cost Averaging (DCA) ซึ่งเป็นการลงทุนด้วยจำนวนเงินเท่าๆ กันในทุกๆ เดือน เป็นวิธีที่ได้รับการยอมรับว่าช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดได้ดี แพลตฟอร์ม AI สามารถตั้งค่าให้ทำการลงทุนแบบ DCA ได้โดยอัตโนมัติ ผู้ลงทุนเพียงแค่กำหนดจำนวนเงินและวันที่จะลงทุนในแต่ละเดือน ระบบก็จะจัดการส่วนที่เหลือให้ทั้งหมด ช่วยสร้างวินัยทางการเงินโดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก

เปิดประตูสู่โลกการลงทุนสำหรับทุกคน

ในอดีต การเข้าถึงบริการจัดพอร์ตการลงทุนส่วนบุคคลมักจำกัดอยู่เฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้สูงที่สามารถจ่ายค่าธรรมเนียมที่ปรึกษาทางการเงินได้ แต่ Robo-advisor ได้ทลายกำแพงนี้ลง แพลตฟอร์มส่วนใหญ่กำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำไม่สูง และคิดค่าธรรมเนียมในอัตราที่ต่ำกว่ามาก ทำให้บุคคลทั่วไป นักลงทุนมือใหม่ หรือผู้ที่มีเงินทุนจำกัด สามารถเข้าถึงการวางแผนการลงทุนที่มีมาตรฐานและเป็นระบบได้ง่ายขึ้น ถือเป็นการกระจายโอกาสในการสร้างความมั่งคั่งให้ทั่วถึงกว่าเดิม

ตารางเปรียบเทียบโอกาสและความเสี่ยงของการใช้ AI จัดพอร์ตเงินบาทดิจิทัล
คุณลักษณะ โอกาส (Opportunity) ความเสี่ยง (Risk)
การตัดสินใจ ทำงานบนพื้นฐานของข้อมูลและตรรกะ ลดอคติทางอารมณ์ (ความโลภ/ความกลัว) ขาดความยืดหยุ่น อาจไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์ตลาดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนได้ดี
การดำเนินการ ลงทุนและปรับพอร์ตอัตโนมัติ (DCA, Rebalancing) สร้างวินัยการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ความผิดพลาดทางเทคนิค เช่น บั๊กในระบบหรือการคำนวณที่ผิดพลาด อาจนำไปสู่การขาดทุน
การเข้าถึง ลดข้อจำกัดด้านเงินลงทุนขั้นต่ำและค่าธรรมเนียม ทำให้ทุกคนเข้าถึงการลงทุนที่เป็นระบบได้ การพึ่งพาเทคโนโลยีมากเกินไป หากระบบล่มอาจไม่สามารถทำธุรกรรมได้ทันท่วงที
การปรับตัว สามารถทดสอบกลยุทธ์ย้อนหลัง (Backtesting) เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมที่สุดได้ อัลกอริทึมอาจไม่สามารถตีความปัจจัยเชิงคุณภาพ (เช่น ข่าวการเมือง, นโยบาย) ได้ลึกซึ้งเท่ามนุษย์

ความเสี่ยงและความท้าทายที่ต้องจับตามอง

แม้ว่า AI จัดพอร์ตจะมีศักยภาพสูง แต่ก็ไม่ใช่เครื่องมือวิเศษที่ปราศจากความเสี่ยง การทำความเข้าใจข้อจำกัดและความท้าทายต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเพื่อให้นักลงทุนสามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัยและเกิดประโยชน์สูงสุด

ข้อจำกัดของอัลกอริทึมเมื่อเผชิญสภาวะตลาดที่ไม่คาดฝัน

AI และอัลกอริทึมเรียนรู้และทำงานโดยอ้างอิงจากข้อมูลในอดีตเป็นหลัก มันสามารถจัดการกับความผันผวนของตลาดในรูปแบบที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วได้ดี แต่ในสถานการณ์วิกฤตที่ไม่เคยมีมาก่อน หรือที่เรียกว่า “Black Swan Event” เช่น วิกฤตโรคระบาด หรือสงครามที่ไม่คาดคิด อัลกอริทึมอาจไม่สามารถตอบสนองได้อย่างเหมาะสมหรืออาจตัดสินใจผิดพลาดได้ เนื่องจากไม่มีข้อมูลในอดีตให้เปรียบเทียบ ในขณะที่มนุษย์อาจใช้สัญชาตญาณและการประเมินสถานการณ์เชิงคุณภาพเพื่อปรับกลยุทธ์ได้ดีกว่าในบางกรณี

ความเสี่ยงจากระบบเทคโนโลยีและภัยคุกคามทางไซเบอร์

การลงทุนผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลย่อมผูกติดกับความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงที่เซิร์ฟเวอร์ของระบบจะล่ม ทำให้ไม่สามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้ทันเวลา, การเกิดบั๊กในโค้ดของโปรแกรมที่อาจนำไปสู่การคำนวณที่ผิดพลาด หรือที่ร้ายแรงที่สุดคือภัยคุกคามทางไซเบอร์ แฮกเกอร์อาจพยายามเจาะระบบเพื่อขโมยข้อมูลส่วนตัวหรือสินทรัพย์ของผู้ลงทุน ดังนั้น การเลือกใช้บริการจากผู้ให้บริการที่มีมาตรฐานความปลอดภัยสูงและน่าเชื่อถือจึงเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก

ความท้าทายด้านความโปร่งใสของ AI

AI บางโมเดล โดยเฉพาะประเภท Deep Learning อาจทำงานในลักษณะของ “กล่องดำ” (Black Box) ซึ่งหมายความว่าแม้แต่ผู้สร้างก็อาจไม่สามารถอธิบายเหตุผลเบื้องหลังการตัดสินใจแต่ละครั้งของ AI ได้อย่างชัดเจน 100% สิ่งนี้สร้างความท้าทายด้านความโปร่งใส นักลงทุนอาจไม่เข้าใจว่าทำไม AI ถึงตัดสินใจซื้อหรือขายสินทรัพย์บางตัวในเวลานั้นๆ ซึ่งอาจทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจหากผลการดำเนินงานไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง

การลงทุนด้วย AI เหมาะกับใคร?

จากโอกาสและความเสี่ยงที่กล่าวมาทั้งหมด สามารถสรุปได้ว่าการใช้ AI ในการจัดพอร์ตการลงทุนนั้นมีความเหมาะสมกับนักลงทุนในกลุ่มต่างๆ ดังนี้:

  • นักลงทุนมือใหม่: สำหรับผู้ที่ยังไม่มีความรู้หรือประสบการณ์ในการลงทุนมากนัก Robo-advisor เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเยี่ยม เพราะช่วยวางแผนและกระจายความเสี่ยงให้ตามหลักการลงทุนที่ถูกต้อง โดยไม่ต้องเสียเวลาศึกษาข้อมูลที่ซับซ้อนด้วยตนเองทั้งหมด
  • ผู้ที่ไม่มีเวลาติดตามตลาด: สำหรับคนทำงานหรือผู้ประกอบอาชีพที่มีตารางเวลาที่ยุ่งวุ่นวาย การให้ AI ช่วยดูแลพอร์ตการลงทุนและปรับสมดุลให้อัตโนมัติถือเป็นทางออกที่สะดวกและมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ไม่พลาดโอกาสในการลงทุนแม้ไม่มีเวลาเฝ้าหน้าจอ
  • ผู้ที่ต้องการสร้างวินัยการลงทุนระยะยาว: สำหรับผู้ที่ตั้งใจจะออมเงินและลงทุนอย่างสม่ำเสมอเพื่อเป้าหมายในระยะยาว เช่น การเกษียณอายุ ระบบอัตโนมัติของ AI จะช่วยให้สามารถทำตามแผนได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ถูกรบกวนจากอารมณ์หรือความลังเล

ในทางกลับกัน การลงทุนรูปแบบนี้อาจไม่เหมาะกับนักลงทุนประเภท Active Trader ที่ต้องการควบคุมการซื้อขายด้วยตนเองอย่างเต็มที่ หรือผู้ที่มีสถานะทางการเงินซับซ้อนซึ่งอาจต้องการคำแนะนำที่เฉพาะเจาะจงจากที่ปรึกษาที่เป็นมนุษย์มากกว่า

บทสรุปและแนวทางการตัดสินใจลงทุนอย่างชาญฉลาด

ท้ายที่สุดแล้ว คำถามที่ว่า AI จัดพอร์ตเงินบาทดิจิทัล: โอกาสรวยหรือความเสี่ยง? นั้นไม่มีคำตอบที่ตายตัว มันคือดาบสองคมที่มอบทั้งโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจและลดอุปสรรคในการลงทุน แต่ในขณะเดียวกันก็แฝงไว้ด้วยความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีและข้อจำกัดของอัลกอริทึมที่ผู้ลงทุนต้องตระหนักรู้

เทคโนโลยีนี้ไม่ใช่หนทางสู่ความร่ำรวยในชั่วข้ามคืน แต่เป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่ช่วยให้การลงทุนเป็นเรื่องที่เป็นระบบ มีวินัย และเข้าถึงได้ง่ายขึ้น หัวใจสำคัญไม่ได้อยู่ที่การเลือกว่าจะใช้หรือไม่ใช้เทคโนโลยี แต่เป็นการใช้งานอย่างชาญฉลาด ผู้ลงทุนควรเริ่มต้นด้วยการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับแพลตฟอร์มที่สนใจอย่างละเอียด, ทำความเข้าใจในปรัชญาและกลยุทธ์การลงทุนที่ AI ใช้, และที่สำคัญที่สุดคือต้องเข้าใจระดับความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้

การลงทุนผ่าน AI ควรเป็นส่วนหนึ่งของแผนการเงินโดยรวม และผู้ลงทุนยังคงต้องมีความรับผิดชอบในการติดตามผลการดำเนินงานของพอร์ตอย่างสม่ำเสมอ พร้อมที่จะเรียนรู้และปรับตัวไปพร้อมกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ด้วยแนวทางนี้ นักลงทุนจะสามารถใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมทางการเงินแห่งอนาคตได้อย่างเต็มศักยภาพ และบริหารจัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ