คลิปประวัติศาสตร์ที่คุณดู อาจถูก AI สร้างขึ้น!
- สาระสำคัญที่ต้องจับตา
- ความจริงที่น่ากังวล: คลิปประวัติศาสตร์ที่คุณดู อาจถูก AI สร้างขึ้น!
- เทคโนโลยี AI กับการสร้างสรรค์สื่อประวัติศาสตร์ยุคใหม่
- ความท้าทายในการตรวจสอบความจริงในยุคดิจิทัล
- AI ในฐานะผู้ช่วยนักประวัติศาสตร์: โอกาสและความเสี่ยง
- แนวทางการรับมือและสร้างภูมิคุ้มกันต่อข้อมูลปลอม
- บทสรุป: อนาคตของประวัติศาสตร์ในยุคปัญญาประดิษฐ์
ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด ความสามารถในการสร้างสรรค์สื่อดิจิทัลได้มาถึงจุดที่น่าทึ่งและน่ากังวลไปพร้อมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการสร้างวิดีโอและภาพเหตุการณ์ในอดีตที่ดูสมจริงจนแทบแยกไม่ออก สิ่งนี้ได้ก่อให้เกิดคำถามสำคัญต่อความน่าเชื่อถือของหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เผยแพร่บนโลกออนไลน์
สาระสำคัญที่ต้องจับตา
- เทคโนโลยี AI ในปัจจุบันสามารถสร้างวิดีโอและภาพเกี่ยวกับเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่สมจริงได้อย่างน่าทึ่ง ทำให้การแยกแยะระหว่างของจริงและของปลอมกลายเป็นเรื่องท้าทาย
- การตรวจสอบความถูกต้องของสื่อดิจิทัลจำเป็นต้องอาศัยเครื่องมือเฉพาะทางและความรู้ความเข้าใจ เพื่อป้องกันการบิดเบือนหรือสร้าง ประวัติศาสตร์ปลอม ขึ้นมาใหม่
- AI มีศักยภาพเป็นทั้งเครื่องมือที่มีประโยชน์มหาศาลในการวิเคราะห์และค้นพบข้อมูลใหม่ๆ ทางประวัติศาสตร์ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นอาวุธที่ทรงพลังในการสร้าง ข่าวปลอม และข้อมูลที่บิดเบือน
- การสร้างความตระหนักรู้และทักษะการรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับทุกคนในยุคดิจิทัล เพื่อรักษความสมบูรณ์ขององค์ความรู้ทางประวัติศาสตร์
ความจริงที่น่ากังวล: คลิปประวัติศาสตร์ที่คุณดู อาจถูก AI สร้างขึ้น!
ปรากฏการณ์ที่ คลิปประวัติศาสตร์ที่คุณดู อาจถูก AI สร้างขึ้น! ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่เป็นความจริงที่เกิดขึ้นแล้วในปัจจุบัน ความก้าวหน้าของ เทคโนโลยี AI โดยเฉพาะ Generative AI ได้เปิดประตูสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในการสร้างสรรค์สื่อ แต่ก็นำมาซึ่งความเสี่ยงที่ข้อมูลทางประวัติศาสตร์จะถูกปลอมแปลงได้อย่างแนบเนียน คลิปวิดีโอหรือภาพถ่ายที่เคยถูกมองว่าเป็นหลักฐานชั้นดีของเหตุการณ์ในอดีต อาจถูกสร้างขึ้นใหม่ทั้งหมดโดย AI ทำให้เส้นแบ่งระหว่างความจริงกับเรื่องแต่งเลือนลางลงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ความท้าทายนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อนักประวัติศาสตร์ นักวิจัย นักข่าว นักการศึกษา และบุคคลทั่วไปที่เสพสื่อผ่านช่องทางออนไลน์ การขาดความสามารถในการตรวจสอบแหล่งที่มาและความถูกต้องของสื่อ อาจนำไปสู่ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับอดีต การสร้างความเกลียดชัง หรือแม้กระทั่งการลบล้างความจริงทางประวัติศาสตร์บางอย่างไปโดยสิ้นเชิง ดังนั้น การทำความเข้าใจถึงศักยภาพและอันตรายของ AI สร้างวิดีโอ จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับคลื่นข้อมูลข่าวสารในยุคใหม่นี้
เทคโนโลยี AI กับการสร้างสรรค์สื่อประวัติศาสตร์ยุคใหม่
เทคโนโลยี AI ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือสำหรับงานวิเคราะห์ที่ซับซ้อนเท่านั้น แต่ยังได้กลายเป็นเครื่องมือสร้างสรรค์ที่ทรงพลังและเข้าถึงง่ายสำหรับคนทั่วไป ความสามารถนี้มีสองด้านที่น่าสนใจเมื่อนำมาประยุกต์ใช้กับเนื้อหาทางประวัติศาสตร์
เครื่องมือ AI ที่เข้าถึงง่ายกับการสร้างเนื้อหา
ในปัจจุบัน มีแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชันจำนวนมากที่นำ AI มาช่วยในการสร้างสรรค์เนื้อหา ทำให้ผู้ใช้งานที่ไม่มีทักษะด้านกราฟิกหรือวิดีโอสามารถสร้างสื่อที่ดูเป็นมืออาชีพได้ ตัวอย่างเช่น เครื่องมือบางอย่างสามารถช่วยสร้างเส้นเวลา (Timeline) แบบอินเทอร์แอคทีฟ หรืออินโฟกราฟิกเกี่ยวกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ได้ในเวลาอันรวดเร็ว
ข้อดีของการใช้ AI ในลักษณะนี้คือการทำให้การเรียนรู้ประวัติศาสตร์มีความน่าสนใจและเข้าถึงง่ายมากขึ้น สามารถใช้เป็นสื่อการสอนที่มีประสิทธิภาพในห้องเรียน หรือใช้ในการนำเสนอข้อมูลที่ซับซ้อนให้เข้าใจได้ง่าย อย่างไรก็ตาม จุดนี้เองก็เป็นช่องโหว่สำคัญ เพราะความง่ายในการสร้างสรรค์หมายถึงความง่ายในการสร้างข้อมูลเท็จด้วยเช่นกัน ผู้ไม่ประสงค์ดีสามารถใช้เครื่องมือเหล่านี้สร้างเส้นเวลาที่บิดเบือน หรือสร้างภาพประกอบเหตุการณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง เพื่อสนับสนุนแนวคิดหรืออุดมการณ์บางอย่าง ซึ่งหากผู้รับสารขาดวิจารณญาณ ก็อาจหลงเชื่อได้โดยง่าย
การปลุกชีวิตบุคคลสำคัญในอดีตด้วย AI
หนึ่งในการประยุกต์ใช้ AI ที่ได้รับความสนใจอย่างแพร่หลายคือการสร้างภาพเคลื่อนไหวหรือวิดีโอของบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์จากภาพนิ่งหรือรูปปั้น เทคนิคนี้ทำให้สาธารณชนได้เห็นภาพของบุคคลเหล่านั้นในมุมมองที่สมจริงและมีชีวิตชีวามากขึ้น ราวกับว่าพวกเขากลับมามีชีวิตอีกครั้ง เทคนิคนี้เป็นการผสมผสานระหว่างศิลปะ เทคโนโลยี และประวัติศาสตร์ เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับผู้รับชม
แม้ว่าการสร้างแอนิเมชั่นบุคคลในอดีตจะสร้างความตื่นตาตื่นใจ แต่ก็ก่อให้เกิดคำถามเชิงจริยธรรมและการตีความทางประวัติศาสตร์ การแสดงออกทางสีหน้าหรือท่าทางที่ AI สร้างขึ้นนั้นเป็นเพียง “การคาดเดา” จากอัลกอริทึม ซึ่งอาจไม่ตรงกับบุคลิกที่แท้จริงของบุคคลนั้นๆ และอาจนำไปสู่การตีความตัวตนของพวกเขาใหม่ในแบบที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงได้
ดังนั้น แม้ว่า AI จะเปิดโอกาสให้เกิดการนำเสนอประวัติศาสตร์ในรูปแบบใหม่ที่น่าสนใจ แต่ก็มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ผู้สร้างและผู้เสพสื่อต้องตระหนักถึงความเสี่ยงในการบิดเบือนและการตีความที่อาจเกิดขึ้น
ความท้าทายในการตรวจสอบความจริงในยุคดิจิทัล
ความสามารถของ AI ในการสร้างสื่อสังเคราะห์ที่สมจริงอย่างเทคโนโลยี Deepfake ได้ยกระดับความท้าทายในการตรวจสอบข้อเท็จจริงไปอีกขั้น ทำให้การแยกแยะระหว่างของจริงและของปลอมกลายเป็นภารกิจที่ซับซ้อนและต้องอาศัยเครื่องมือที่ทันสมัย
Deepfake และเสียงโคลนนิ่ง: ภัยคุกคามต่อความจริงทางประวัติศาสตร์
Deepfake คือเทคนิคการใช้ AI เพื่อสร้างวิดีโอปลอมโดยการสลับใบหน้าของบุคคลหนึ่งไปใส่อีกบุคคลหนึ่ง หรือสร้างภาพเคลื่อนไหวและคำพูดที่บุคคลนั้นไม่เคยพูดหรือทำจริง เทคโนโลยีนี้มีความสมจริงสูงจนยากที่จะจับผิดได้ด้วยตาเปล่า เมื่อนำมาใช้กับบริบททางประวัติศาสตร์ มันสามารถสร้าง “หลักฐาน” ปลอมขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย เช่น การสร้างวิดีโอที่ผู้นำในอดีตพูดสุนทรพจน์ที่ถูกบิดเบือน หรือการสร้างคลิปเหตุการณ์ที่ไม่มีอยู่จริงเพื่อสนับสนุนทฤษฎีสมคบคิด
นอกจากภาพแล้ว เทคโนโลยีเสียงโคลนนิ่ง (Voice Cloning) ยังสามารถเลียนแบบเสียงของบุคคลใดก็ได้จากตัวอย่างเสียงเพียงเล็กน้อย ทำให้สามารถสร้างไฟล์เสียงปลอมที่ดูเหมือนว่าบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์กำลังพูดข้อความที่ถูกแต่งขึ้นมาใหม่ การผสมผสานระหว่าง Deepfake และเสียงโคลนนิ่งจึงเป็นเครื่องมือที่อันตรายอย่างยิ่งในการสร้าง ประวัติศาสตร์ปลอม ที่น่าเชื่อถือและแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วบนโซเชียลมีเดีย
ความสำคัญของเครื่องมือตรวจสอบสื่อดิจิทัล
เพื่อต่อสู้กับการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จเหล่านี้ องค์กรตรวจสอบข้อเท็จจริงทั่วโลกจึงได้พัฒนาและนำเครื่องมือเฉพาะทางเข้ามาช่วยในการวิเคราะห์สื่อดิจิทัล เครื่องมืออย่าง InVID-WeVerify เป็นหนึ่งในตัวอย่างสำคัญที่ช่วยให้นักข่าวและนักวิจัยสามารถตรวจสอบความถูกต้องของวิดีโอและภาพได้อย่างเป็นระบบ เครื่องมือเหล่านี้สามารถวิเคราะห์ metadata ของไฟล์, ตรวจสอบร่องรอยการตัดต่อ, และเปรียบเทียบภาพกับฐานข้อมูลเพื่อค้นหาว่าภาพหรือวิดีโอนั้นเคยปรากฏที่ไหนมาก่อนหรือไม่
การทำงานของหน่วยงานตรวจสอบความจริง เช่น AFP Fact Check ได้แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นของการมีกระบวนการตรวจสอบที่เข้มงวดและโปร่งใส การตรวจจับและเปิดโปงสื่อที่สร้างโดย AI ไม่เพียงแต่ช่วยหยุดยั้งการแพร่กระจายของ ข่าวปลอม แต่ยังเป็นการสร้างความตระหนักรู้ให้สังคมเห็นถึงอันตรายของเทคโนโลยีเหล่านี้ และกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีการตรวจจับที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นต่อไป
แง่มุมการใช้งาน | การใช้งานเชิงสร้างสรรค์ (ประโยชน์) | ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น (โทษ) |
---|---|---|
การสร้างเนื้อหา | สร้างสื่อการสอนที่น่าสนใจ เช่น เส้นเวลาอินเทอร์แอคทีฟ, การจำลองเหตุการณ์ในอดีต, และการสร้างภาพบุคคลสำคัญให้มีชีวิตชีวา | สามารถสร้างหลักฐานปลอม, ข้อมูลบิดเบือน, หรือวิดีโอ Deepfake ของบุคคลในประวัติศาสตร์เพื่อสร้างความเข้าใจผิด |
การวิเคราะห์ข้อมูล | ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาล เช่น ภาพถ่ายทางอากาศของแหล่งโบราณคดี เพื่อค้นหารูปแบบหรือข้อมูลเชิงลึกที่มนุษย์มองข้าม | หาก AI ถูกฝึกด้วยข้อมูลที่ลำเอียงหรือไม่สมบูรณ์ อาจนำไปสู่ข้อสรุปที่ผิดพลาด หรือการตีความประวัติศาสตร์ที่คลาดเคลื่อน |
การตรวจสอบสื่อ | พัฒนาเครื่องมือเพื่อช่วยตรวจจับวิดีโอและภาพที่ถูกตัดต่อหรือสร้างขึ้นโดย AI เพื่อต่อสู้กับข่าวปลอม | เทคโนโลยีการสร้างสื่อปลอมมักพัฒนาเร็วกว่าเทคโนโลยีการตรวจจับ ทำให้เกิดการแข่งขันที่ไม่มีที่สิ้นสุดและยังคงมีความเสี่ยงอยู่เสมอ |
AI ในฐานะผู้ช่วยนักประวัติศาสตร์: โอกาสและความเสี่ยง
ในอีกด้านหนึ่งของเหรียญ เทคโนโลยี AI ก็มีศักยภาพอันมหาศาลในการเป็นเครื่องมือช่วยวิจัยและไขปริศนาทางประวัติศาสตร์ที่มนุษย์อาจไม่สามารถทำได้โดยลำพัง อย่างไรก็ตาม การใช้งานนี้ก็ยังคงมาพร้อมกับความเสี่ยงที่ต้องจัดการอย่างระมัดระวัง
การวิเคราะห์ข้อมูลโบราณคดีที่เหนือขีดจำกัดของมนุษย์
หนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือการนำ AI มาใช้วิเคราะห์ภาพถ่ายทางอากาศหรือภาพถ่ายดาวเทียมของแหล่งโบราณคดี เช่น กรณีการศึกษาลายเส้นนาสกาในเปรู ซึ่งเป็นภาพวาดขนาดมหึมาบนพื้นดินที่มองเห็นได้ชัดเจนจากที่สูงเท่านั้น AI สามารถประมวลผลภาพถ่ายจำนวนมากและตรวจจับรูปแบบหรือลายเส้นใหม่ๆ ที่นักโบราณคดีอาจมองข้ามไปเนื่องจากข้อจำกัดทางสายตาหรือปริมาณข้อมูลที่ต้องตรวจสอบ
ความสามารถของ Machine Learning ในการจดจำรูปแบบ (Pattern Recognition) ช่วยให้นักวิจัยสามารถค้นพบแหล่งโบราณสถานใหม่ๆ, วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์ในอดีต, หรือแม้กระทั่งถอดรหัสเอกสารโบราณที่เสียหายได้รวดเร็วและแม่นยำกว่าเดิม สิ่งนี้ถือเป็นการเปิดพรมแดนใหม่ให้กับการศึกษาประวัติศาสตร์และโบราณคดี ช่วยปกป้องและทำความเข้าใจมรดกโลกได้ดียิ่งขึ้น
ดาบสองคมของการใช้ AI ในการวิจัย
แม้ว่า AI จะเป็นเครื่องมือวิเคราะห์ที่ทรงพลัง แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพและความเที่ยงตรงของข้อมูลที่ใช้ในการฝึกฝน (Training Data) หาก AI ถูกฝึกด้วยชุดข้อมูลที่มีความลำเอียง (Bias) หรือไม่ครบถ้วน ก็อาจนำไปสู่ข้อสรุปที่ผิดพลาดหรือการตีความประวัติศาสตร์ที่บิดเบือนได้
ดังนั้น ความเสี่ยงที่สำคัญคือการพึ่งพาผลการวิเคราะห์จาก AI มากเกินไปโดยไม่มีการตรวจสอบอย่างรัดกุมจากผู้เชี่ยวชาญที่เป็นมนุษย์ นักประวัติศาสตร์และนักวิจัยจำเป็นต้องทำงานร่วมกับ AI ในฐานะ “ผู้ช่วย” ไม่ใช่ “ผู้ชี้ขาด” ต้องมีการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลและผลลัพธ์เสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าเทคโนโลยีถูกนำมาใช้เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับอดีต ไม่ใช่การสร้างความจริงชุดใหม่ที่อาจคลาดเคลื่อน
แนวทางการรับมือและสร้างภูมิคุ้มกันต่อข้อมูลปลอม
เมื่อการสร้างสื่อปลอมทำได้ง่ายขึ้น การสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตนเองและสังคมจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง การพัฒนาทักษะการคิดเชิงวิพากษ์และการรู้เท่าทันสื่อคือเกราะป้องกันที่ดีที่สุดในยุคข้อมูลข่าวสารที่ท่วมท้น
สัญญาณเตือนที่ควรสังเกตในสื่อที่สร้างโดย AI
แม้ว่า AI สร้างวิดีโอ จะมีความสมจริงมากขึ้นเรื่อยๆ แต่บ่อยครั้งก็ยังคงทิ้งร่องรอยความผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ ไว้ให้สังเกตได้ การเรียนรู้ที่จะมองหาสัญญาณเหล่านี้สามารถช่วยให้ประเมินความน่าเชื่อถือของสื่อเบื้องต้นได้:
- ความผิดปกติของใบหน้าและดวงตา: การกะพริบตาที่ไม่เป็นธรรมชาติ (น้อยหรือถี่เกินไป), การเคลื่อนไหวของริมฝีปากที่ไม่สอดคล้องกับเสียง, หรือรายละเอียดของใบหน้าที่ดูเบลอหรือไม่สมส่วน
- แสงและเงาที่ไม่สอดคล้องกัน: แสงที่ตกกระทบบนใบหน้าอาจไม่ตรงกับทิศทางของแสงในฉากหลัง หรือเงาที่ปรากฏอาจดูผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง
- รายละเอียดที่พร่ามัวหรือผิดรูป: ในขณะที่ใบหน้าอาจดูคมชัด รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่น เส้นผม, ฟัน, หรือพื้นหลังอาจดูเบลอหรือมีลักษณะผิดรูปไป
- เสียงที่ผิดปกติ: เสียงพูดอาจมีลักษณะเหมือนหุ่นยนต์, ขาดอารมณ์, หรือมีเสียงรบกวน (Artifacts) ที่ผิดธรรมชาติปะปนอยู่
การสังเกตเห็นสัญญาณเหล่านี้เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอที่จะยืนยันได้ว่าเป็นของปลอม แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการตั้งคำถามและตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติม
การพัฒนาทักษะการรู้เท่าทันสื่อ
นอกเหนือจากการสังเกตทางเทคนิคแล้ว การสร้างนิสัยการเสพสื่ออย่างมีวิจารณญาณเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ประกอบด้วย:
- ตรวจสอบแหล่งที่มา: คลิปวิดีโอหรือภาพนั้นมาจากไหน? มาจากสำนักข่าวที่น่าเชื่อถือ, สถาบันวิจัย, หรือมาจากบัญชีผู้ใช้ที่ไม่ระบุตัวตนบนโซเชียลมีเดีย?
- ค้นหาข้อมูลจากหลายแหล่ง: หากมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น ลองตรวจสอบจากสำนักข่าวหลายๆ แห่งว่ามีการรายงานตรงกันหรือไม่ การยืนยันข้อมูลจากแหล่งข่าวที่หลากหลายช่วยลดความเสี่ยงในการถูกหลอกได้
- ตั้งคำถามกับเนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์: ข่าวปลอมหรือข้อมูลบิดเบือนมักถูกออกแบบมาเพื่อกระตุ้นอารมณ์โกรธ, กลัว, หรือตื่นเต้นดีใจอย่างรุนแรง หากพบเนื้อหาลักษณะนี้ ควรหยุดคิดและตรวจสอบให้รอบคอบก่อนจะเชื่อหรือส่งต่อ
- ยอมรับว่าอาจถูกหลอกได้: ทุกคนมีโอกาสที่จะหลงเชื่อข้อมูลปลอมได้ การเปิดใจยอมรับและพร้อมที่จะแก้ไขความเข้าใจเมื่อพบข้อเท็จจริงใหม่เป็นทัศนคติที่สำคัญในยุคดิจิทัล
การสร้างสังคมที่รู้เท่าทันสื่อต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งสถาบันการศึกษาที่ต้องบรรจุหลักสูตรนี้เข้าไป, ภาคสื่อสารมวลชนที่ต้องยึดมั่นในจรรยาบรรณ, และตัวบุคคลที่ต้องมีความรับผิดชอบในการเสพและส่งต่อข้อมูล
บทสรุป: อนาคตของประวัติศาสตร์ในยุคปัญญาประดิษฐ์
การมาถึงของเทคโนโลยี AI ที่สามารถสร้างสื่อประวัติศาสตร์ปลอมได้อย่างสมจริง ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ท้าทายความเข้าใจเกี่ยวกับ “หลักฐาน” และ “ความจริง” ในอดีต ปรากฏการณ์ที่ คลิปประวัติศาสตร์ที่คุณดู อาจถูก AI สร้างขึ้น! ได้กลายเป็นความจริงที่ไม่อาจเพิกเฉยได้อีกต่อไป
เทคโนโลยีนี้เป็นดาบสองคมที่ด้านหนึ่งสามารถเป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการศึกษาและค้นพบทางประวัติศาสตร์ แต่ในอีกด้านหนึ่งก็เป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อความสมบูรณ์ขององค์ความรู้หากถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด อนาคตของการศึกษาประวัติศาสตร์จึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับความสามารถของมนุษย์ในการปรับตัว, การพัฒนาทักษะการคิดเชิงวิพากษ์, และการสร้างระบบนิเวศของข้อมูลที่ส่งเสริมความจริงและความน่าเชื่อถือ
ดังนั้น การลงทุนในการศึกษาและเครื่องมือเพื่อการรู้เท่าทันสื่อจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นเร่งด่วน เพื่อให้แน่ใจว่าคนรุ่นต่อไปจะยังคงสามารถเข้าถึงประวัติศาสตร์ที่ถูกต้องและสามารถเรียนรู้จากอดีตได้อย่างแท้จริง ท่ามกลางโลกดิจิทัลที่ความจริงและความเท็จอยู่ใกล้กันเพียงแค่คลิกเดียว