โดรนนักท่องเที่ยวถล่มดอย! สวรรค์ภาคเหนือพัง
- ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ
- ปรากฏการณ์โดรนท่องเที่ยว: เทรนด์ใหม่ที่มาพร้อมความกังวล
- กฎหมายและข้อบังคับโดรนในประเทศไทย: กรอบการทำงานที่ต้องปฏิบัติตาม
- ผลกระทบของโดรนต่อระบบนิเวศและชุมชนในภาคเหนือ
- Revenge Pollution: เมื่อการท่องเที่ยวเร่งสร้างมลภาวะรูปแบบใหม่
- โดรนเพื่อการท่องเที่ยว: การประยุกต์ใช้อย่างสร้างสรรค์และยั่งยืน
- สรุป: การสร้างสมดุลระหว่างเทคโนโลยีและการอนุรักษ์
กระแสความนิยมในการใช้อากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน เพื่อบันทึกภาพมุมสูงในกิจกรรมการท่องเที่ยวได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในพื้นที่ธรรมชาติที่มีความสวยงามอย่างอุทยานแห่งชาติทางภาคเหนือของประเทศไทย อย่างไรก็ตาม การใช้งานที่ขาดความรับผิดชอบและไม่เป็นไปตามกฎระเบียบ ก่อให้เกิดความกังวลถึงผลกระทบเชิงลบต่อระบบนิเวศที่เปราะบาง ความปลอดภัย และความสงบของพื้นที่ธรรมชาติเหล่านี้
ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ
- การใช้งานโดรนส่วนบุคคลในกลุ่มนักท่องเที่ยวได้กลายเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยม แต่ก็สร้างความท้าทายด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยในพื้นที่อนุรักษ์
- ประเทศไทยมีกฎหมายและข้อบังคับที่เข้มงวดในการควบคุมการบินโดรน โดยสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) กำหนดให้ต้องมีการลงทะเบียนและขออนุญาตก่อนทำการบิน โดยเฉพาะในเขตหวงห้าม
- การบินโดรนโดยไม่ได้รับอนุญาตในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ เขตทหาร หรือพื้นที่สำคัญด้านความมั่นคง ถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและมีบทลงโทษรุนแรง ทั้งโทษจำคุกและโทษปรับ
- ผลกระทบเชิงลบจากการใช้โดรนอย่างไม่ระมัดระวัง รวมถึงการรบกวนสัตว์ป่า การสร้างมลภาวะทางเสียง ความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ และการทิ้งซากโดรนเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์ในธรรมชาติ
- ปรากฏการณ์ “Revenge Pollution” ซึ่งเป็นผลพวงจากการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังยุคโควิด-19 ได้ทำให้ปัญหาสิ่งแวดล้อมจากกิจกรรมการท่องเที่ยว รวมถึงการใช้โดรน มีความซับซ้อนและรุนแรงยิ่งขึ้น
ปรากฏการณ์โดรนท่องเที่ยว: เทรนด์ใหม่ที่มาพร้อมความกังวล
วลีที่ว่า “โดรนนักท่องเที่ยวถล่มดอย! สวรรค์ภาคเหนือพัง” สะท้อนถึงความวิตกกังวลที่เพิ่มขึ้นต่อผลกระทบของการใช้โดรนอย่างแพร่หลายในแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติของไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือซึ่งเป็นที่รู้จักในเรื่องของภูเขา ป่าไม้ และความหลากหลายทางชีวภาพ การเข้าถึงเทคโนโลยีโดรนที่ง่ายขึ้นและราคาที่จับต้องได้ ทำให้นักท่องเที่ยวจำนวนมากนำโดรนมาใช้เพื่อบันทึกภาพถ่ายและวิดีโอในมุมมองที่ไม่เคยเห็นมาก่อน อย่างไรก็ตาม การใช้งานที่ขาดความเข้าใจในกฎระเบียบและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม กำลังสร้างความขัดแย้งระหว่างความต้องการส่วนบุคคลในการสร้างสรรค์คอนเทนต์กับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอันมีค่า
ปรากฏการณ์นี้ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงหลังการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ซึ่งกระตุ้นให้เกิดกระแส “Revenge Travel” หรือการท่องเที่ยวเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่ต้องกักตัว นักท่องเที่ยวจำนวนมหาศาลต่างมุ่งหน้าสู่แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติเพื่อสัมผัสกับความงดงามและอิสระ พร้อมกับอุปกรณ์เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น โดรน ซึ่งกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการแบ่งปันประสบการณ์ผ่านโซเชียลมีเดีย ปัญหาจึงเกิดขึ้นเมื่อการใช้งานโดรนเหล่านี้ขาดการควบคุม ส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบนิเวศที่เปราะบาง สัตว์ป่า รวมถึงความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ และชุมชนท้องถิ่น ดังนั้น การทำความเข้าใจถึงความสำคัญของปัญหานี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่หน่วยงานภาครัฐ ผู้ประกอบการ ไปจนถึงตัวนักท่องเที่ยวเอง เพื่อหาแนวทางในการจัดการและส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนต่อไป
กฎหมายและข้อบังคับโดรนในประเทศไทย: กรอบการทำงานที่ต้องปฏิบัติตาม
เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้งานโดรนอย่างไม่เหมาะสม ประเทศไทยได้มีการบังคับใช้กฎหมายและข้อบังคับที่เข้มงวดภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบในการกำหนดมาตรฐานและควบคุมความปลอดภัยด้านการบินพลเรือน กฎระเบียบเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความสมดุลระหว่างการส่งเสริมนวัตกรรมและการใช้งานเทคโนโลยี กับการรักษาความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงของชาติ และการปกป้องสิ่งแวดล้อม
สาระสำคัญของข้อบังคับคือ ผู้ที่ครอบครองและใช้งานโดรนจะต้องดำเนินการขึ้นทะเบียนโดรนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และในหลายกรณีจำเป็นต้องได้รับใบอนุญาตนักบินอากาศยานไร้คนขับ การบินโดรนทุกครั้งต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด เช่น การบินในระยะสายตา (Visual Line of Sight) การรักษาระยะห่างที่ปลอดภัยจากบุคคลและทรัพย์สิน และการเคารพสิทธิความเป็นส่วนตัวของผู้อื่น การละเลยข้อบังคับเหล่านี้ไม่เพียงแต่สร้างความเสี่ยง แต่ยังอาจนำไปสู่ผลทางกฎหมายที่รุนแรงอีกด้วย
พื้นที่ห้ามบินและเขตควบคุมพิเศษ: โซนต้องห้ามที่ไม่ควรมองข้าม
กฎหมายไทยได้กำหนดพื้นที่ห้ามบิน (No-fly Zone) และพื้นที่ควบคุมการบินไว้อย่างชัดเจน เพื่อปกป้องสถานที่ที่มีความสำคัญและมีความอ่อนไหวเป็นพิเศษ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับพื้นที่เหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ใช้งานโดรนทุกคน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่อาจไม่คุ้นเคยกับข้อจำกัดในแต่ละพื้นที่
พื้นที่ห้ามบินโดยเด็ดขาดมักครอบคลุมสถานที่สำคัญ เช่น เขตพระราชฐาน สถานที่ทำการของหน่วยงานราชการที่สำคัญ โรงพยาบาล และพื้นที่ใกล้เคียงสนามบิน ซึ่งการบินโดรนในบริเวณดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในการสัญจรทางอากาศและความมั่นคงของประเทศ
สำหรับแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และพื้นที่อนุรักษ์อื่นๆ มักถูกจัดให้เป็นเขตควบคุมพิเศษ การนำโดรนเข้าไปบินในพื้นที่เหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากหัวหน้าอุทยานฯ หรือผู้มีอำนาจในพื้นที่นั้นๆ ก่อนทุกครั้ง เนื่องจากเสียงและการเคลื่อนไหวของโดรนสามารถรบกวนพฤติกรรมตามธรรมชาติของสัตว์ป่า ทำลายความเงียบสงบซึ่งเป็นหัวใจของการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และอาจก่อให้เกิดอันตรายได้หากโดรนตกหล่นในพื้นที่ป่าเขาที่เข้าถึงได้ยาก
บทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืน: ความเสี่ยงทางกฎหมายที่ต้องเผชิญ
การเพิกเฉยต่อกฎหมายและข้อบังคับการบินโดรนในประเทศไทยมีผลทางกฎหมายที่รุนแรง หน่วยงานภาครัฐได้แสดงให้เห็นถึงความจริงจังในการบังคับใช้กฎหมายผ่านกรณีศึกษาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในอดีต ซึ่งมีการจับกุมและดำเนินคดีกับผู้ฝ่าฝืนอย่างต่อเนื่อง บทลงโทษสำหรับการบินโดรนโดยไม่ได้รับอนุญาตในเขตหวงห้าม หรือการใช้งานโดรนในลักษณะที่ก่อให้เกิดอันตรายนั้น มีทั้งโทษปรับและโทษจำคุก
ตามพระราชบัญญัติการเดินอากาศ ผู้ที่บังคับหรือปล่อยอากาศยานซึ่งไม่มีนักบินในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินของบุคคลอื่น อาจต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ ในพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวเป็นพิเศษ เช่น เขตทหารหรือพื้นที่ความมั่นคง โทษอาจรุนแรงกว่านั้น รวมถึงการยึดหรือทำลายโดรนที่ใช้ในการกระทำความผิดด้วย กรณีการจับกุมผู้ใช้งานโดรนที่บินเหนือพื้นที่ประกอบพระราชพิธีสำคัญหรือเขตความมั่นคงที่เคยเป็นข่าว ย้ำเตือนให้เห็นว่าทางการไทยให้ความสำคัญกับการควบคุมการใช้น่านฟ้าอย่างเคร่งครัด ดังนั้น นักท่องเที่ยวและผู้ใช้งานโดรนทั่วไปจึงจำเป็นต้องศึกษาและปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบทางกฎหมายที่อาจตามมา
ผลกระทบของโดรนต่อระบบนิเวศและชุมชนในภาคเหนือ
การใช้โดรนในพื้นที่ธรรมชาติอย่างเทือกเขาและป่าไม้ในภาคเหนือ แม้จะให้ภาพที่สวยงามน่าทึ่ง แต่ก็แฝงไว้ด้วยผลกระทบเชิงลบหลายมิติ ทั้งต่อระบบนิเวศที่เปราะบางและต่อวิถีชีวิตของชุมชนท้องถิ่น การมองข้ามผลกระทบเหล่านี้อาจนำไปสู่ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติในระยะยาว
การรบกวนสัตว์ป่าและมลภาวะทางเสียง
หนึ่งในผลกระทบที่ชัดเจนที่สุดคือการรบกวนสัตว์ป่า เสียงใบพัดที่ดังแหลมของโดรนเป็นเสียงแปลกปลอมในสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ทำให้สัตว์ป่าเกิดความเครียด ตื่นตระหนก และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตามธรรมชาติ สำหรับนก การปรากฏตัวของโดรนอาจถูกรับรู้ว่าเป็นภัยคุกคาม ส่งผลให้พวกมันทิ้งรังหรือละเลยการฟักไข่ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอาจหนีออกจากแหล่งหากินหรือที่หลบภัย ทำให้สิ้นเปลืองพลังงานโดยไม่จำเป็นและเสี่ยงต่อการถูกล่ามากขึ้น ในระบบนิเวศที่สมดุล การรบกวนเพียงเล็กน้อยอาจส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อห่วงโซ่อาหารทั้งหมด นอกจากนี้ มลภาวะทางเสียงจากโดรนยังทำลายบรรยากาศความสงบเงียบ ซึ่งเป็นหนึ่งในเสน่ห์สำคัญที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนพื้นที่ธรรมชาติเหล่านี้
ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น
ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยเป็นอีกประเด็นที่ไม่สามารถมองข้ามได้ โดรนอาจเกิดความผิดพลาดทางเทคนิค สูญเสียการควบคุม หรือแบตเตอรี่หมดกลางอากาศ ทำให้ตกลงสู่พื้นโดยไม่คาดคิด หากโดรนตกลงในพื้นที่ที่มีนักท่องเที่ยวคนอื่น อาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บรุนแรงได้ นอกจากนี้ การตกของโดรนในพื้นที่ป่าแห้งยังมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดประกายไฟจากแบตเตอรี่ลิเธียมที่เสียหาย ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของไฟป่าได้ โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้งของภาคเหนือที่สถานการณ์ไฟป่ามีความน่าเป็นห่วงอยู่แล้ว อุบัติเหตุเหล่านี้ไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินและสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นอันตรายต่อชีวิตของผู้คนในพื้นที่อีกด้วย
ปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์: ซากโดรนในพื้นที่ธรรมชาติ
เมื่อโดรนตกในพื้นที่ทุรกันดาร เช่น ป่าลึกหรือหน้าผาสูงชัน การเก็บกู้ซากกลับมามักเป็นเรื่องที่ทำได้ยากหรือเป็นไปไม่ได้เลย ซากโดรนเหล่านี้จะกลายเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-waste) ที่ถูกทิ้งร้างไว้ในธรรมชาติ ชิ้นส่วนพลาสติกและโลหะของโดรนต้องใช้เวลาย่อยสลายนานหลายร้อยปี ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือแบตเตอรี่ที่ประกอบด้วยสารเคมีอันตราย เช่น ตะกั่ว ปรอท และแคดเมียม เมื่อเวลาผ่านไป สารเคมีเหล่านี้สามารถรั่วไหลลงสู่ดินและแหล่งน้ำ ก่อให้เกิดมลพิษและเป็นอันตรายต่อพืชและสัตว์ในระบบนิเวศ การสะสมของขยะอิเล็กทรอนิกส์ในพื้นที่อนุรักษ์เปรียบเสมือนการสร้าง “สุสานเทคโนโลยี” ที่ทำลายความงดงามและความบริสุทธิ์ของธรรมชาติอย่างถาวร
Revenge Pollution: เมื่อการท่องเที่ยวเร่งสร้างมลภาวะรูปแบบใหม่
ปรากฏการณ์ “Revenge Pollution” เป็นคำที่ใช้อธิบายถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงขึ้น ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจาก “Revenge Travel” หลังจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดของโควิด-19 การที่ผู้คนอัดอั้นจากการเดินทางมาเป็นเวลานาน ทำให้เกิดการหลั่งไหลของนักท่องเที่ยวไปยังจุดหมายต่างๆ พร้อมกันในปริมาณมหาศาล การเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันนี้สร้างแรงกดดันอย่างหนักต่อโครงสร้างพื้นฐานและทรัพยากรในแหล่งท่องเที่ยว นำไปสู่ปัญหามลภาวะในรูปแบบใหม่ๆ ที่ซับซ้อนกว่าเดิม
โดรนท่องเที่ยวคือตัวอย่างที่ชัดเจนของ Revenge Pollution ในยุคดิจิทัล ความต้องการที่จะบันทึกภาพและแบ่งปันประสบการณ์การเดินทางที่ไม่เหมือนใคร ผลักดันให้เกิดการใช้งานอุปกรณ์เทคโนโลยีในพื้นที่ธรรมชาติมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่ปัญหามลภาวะทางเสียง การรบกวนสัตว์ป่า และขยะอิเล็กทรอนิกส์ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว ปัญหานี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่โดรน แต่ยังรวมถึงขยะจากอุปกรณ์แคมป์ปิ้งแบบใช้แล้วทิ้ง, บรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มแบบเดลิเวอรี่ที่เพิ่มขึ้น, และการใช้พลังงานอย่างสิ้นเปลืองในที่พัก สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นมลภาวะรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นจากพฤติกรรมการท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งท้าทายแนวทางการจัดการสิ่งแวดล้อมแบบดั้งเดิม และเรียกร้องให้เกิดความตระหนักรู้และความรับผิดชอบที่มากขึ้นจากทุกภาคส่วน
โดรนเพื่อการท่องเที่ยว: การประยุกต์ใช้อย่างสร้างสรรค์และยั่งยืน
แม้ว่าการใช้โดรนอย่างขาดความรับผิดชอบจะสร้างปัญหามากมาย แต่ในทางกลับกัน หากมีการจัดการและใช้งานอย่างถูกต้อง โดรนก็สามารถเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการส่งเสริมการท่องเที่ยวและสนับสนุนการอนุรักษ์ได้อย่างสร้างสรรค์ หลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนได้เริ่มนำศักยภาพของโดรนมาใช้ในเชิงบวก เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับนักท่องเที่ยวควบคู่ไปกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการจัดแสดง “โดรนแปรอักษร” หรือ Drone Light Shows ในงานเทศกาลต่างๆ เช่น งานส่งเสริมการท่องเที่ยวที่จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเป็นการใช้เทคโนโลยีโดรนเพื่อสร้างความบันเทิงที่สวยงามตระการตา ทดแทนการจุดพลุที่ก่อให้เกิดมลภาวะทางเสียงและอากาศ นอกจากนี้ หน่วยงานอุทยานแห่งชาติยังสามารถใช้โดรน (โดยเจ้าหน้าที่ที่ได้รับอนุญาต) ในการสำรวจพื้นที่ป่าไม้ ติดตามการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศ หรือแม้กระทั่งการลาดตระเวนเพื่อป้องกันการบุกรุกและการลักลอบตัดไม้ทำลายป่า ภาพถ่ายและวิดีโอคุณภาพสูงที่ได้จากโดรนยังสามารถนำมาใช้ในการผลิตสื่อประชาสัมพันธ์ เพื่อเผยแพร่ความงดงามของแหล่งท่องเที่ยวและปลูกฝังจิตสำนึกในการอนุรักษ์ให้กับสาธารณชนได้อีกด้วย หัวใจสำคัญคือการใช้งานที่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุม มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน และดำเนินการโดยผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจในกฎระเบียบและผลกระทบอย่างถ่องแท้
ประเด็นพิจารณา | การใช้งานอย่างขาดความรับผิดชอบ | การใช้งานอย่างมีความรับผิดชอบ |
---|---|---|
สถานที่ทำการบิน | บินในเขตอุทยานแห่งชาติ หรือพื้นที่หวงห้ามโดยพลการ | บินในพื้นที่ที่ได้รับอนุญาต หรือขออนุญาตจากเจ้าหน้าที่ก่อนทุกครั้ง |
การขออนุญาต | ไม่ลงทะเบียนโดรน และไม่มีใบอนุญาตนักบิน | ขึ้นทะเบียนโดรนและมีใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมายกำหนด |
ลักษณะการบิน | บินใกล้ชิดสัตว์ป่า บินเหนือฝูงชน หรือบินในลักษณะเสี่ยงอันตราย | รักษาระยะห่างที่ปลอดภัยจากสัตว์ป่า บุคคล และทรัพย์สิน |
วัตถุประสงค์ | เพื่อความสนุกสนานส่วนตัวหรือสร้างคอนเทนต์โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบ | เพื่อการศึกษา การอนุรักษ์ หรือการโปรโมตการท่องเที่ยวภายใต้การควบคุม |
ผลลัพธ์ | สร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศ ก่อความรำคาญ และเสี่ยงต่อการผิดกฎหมาย | สร้างประโยชน์ต่อการท่องเที่ยว การอนุรักษ์ และสร้างประสบการณ์ที่ดี |
สรุป: การสร้างสมดุลระหว่างเทคโนโลยีและการอนุรักษ์
เทคโนโลยีโดรนได้เปิดมิติใหม่ให้กับการท่องเที่ยวและการถ่ายภาพ แต่ในขณะเดียวกันก็นำมาซึ่งความท้าทายในการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติอันเปราะบางของภาคเหนือ ปรากฏการณ์ “โดรนนักท่องเที่ยวถล่มดอย” เป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่าการนำเทคโนโลยีมาใช้โดยปราศจากความรู้ความเข้าใจในกฎระเบียบและจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม สามารถนำไปสู่ความเสื่อมโทรมของ “สวรรค์บนดิน” ที่เราหวงแหนได้
การแก้ปัญหานี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย หน่วยงานภาครัฐจำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและต่อเนื่อง พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่นักท่องเที่ยวอย่างทั่วถึง ขณะที่ผู้ใช้งานโดรนเองก็มีหน้าที่สำคัญในการศึกษาข้อบังคับและใช้งานอุปกรณ์ของตนอย่างมีความรับผิดชอบสูงสุด การตระหนักว่าทุกการกระทำของเราส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมส่วนรวม คือหัวใจสำคัญของการเดินทางท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เพื่อให้ความงดงามของธรรมชาติภาคเหนือยังคงอยู่คู่กับประเทศไทย และเป็นมรดกสำหรับคนรุ่นหลังต่อไป