แอปฯสุขภาพขายยีน! คนไทยถูกบริษัทประกันเท
- ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตามอง
- จุดเริ่มต้นของวิกฤต: เมื่อเทคโนโลยีสุขภาพกลายเป็นดาบสองคม
- เจาะลึกแอปฯ ‘GeneFit’: จากผู้ช่วยดูแลสุขภาพสู่ผู้ค้าข้อมูลพันธุกรรม
- ผลกระทบต่อผู้บริโภค: เมื่อ ‘ยีนเสี่ยง’ ถูกใช้เป็นเหตุผลปฏิเสธความคุ้มครอง
- มิติด้านกฎหมายและจริยธรรม: ใครต้องรับผิดชอบ?
- เปรียบเทียบความเสี่ยง: การใช้ข้อมูลสุขภาพแบบดั้งเดิม vs. ข้อมูลพันธุกรรม
- อนาคตของเทคโนโลยีสุขภาพในไทย: บทเรียนราคาแพงและหนทางข้างหน้า
ปรากฏการณ์ที่แอปพลิเคชันสุขภาพชื่อดังอย่าง ‘GeneFit’ ถูกกล่าวหาว่าแอบขายข้อมูลพันธุกรรมของผู้ใช้ให้แก่บริษัทประกัน กำลังสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในวงการเทคโนโลยีสุขภาพ กรณี แอปฯสุขภาพขายยีน! คนไทยถูกบริษัทประกันเท ไม่เพียงแต่เปิดโปงด้านมืดของธุรกิจข้อมูล แต่ยังจุดประกายคำถามสำคัญเกี่ยวกับความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลที่ละเอียดอ่อนที่สุด และผลกระทบที่อาจนำไปสู่วิกฤตสุขภาพและการเงินครั้งใหญ่สำหรับประชาชนจำนวนมาก
ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตามอง
- แอปพลิเคชัน ‘GeneFit’ ซึ่งมีผู้ใช้งานชาวไทยนับล้านราย ถูกเปิดโปงว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการขายข้อมูลพันธุกรรมของผู้ใช้ให้กับบุคคลที่สาม ซึ่งรวมถึงกลุ่มบริษัทประกันสุขภาพ
- ผู้ใช้จำนวนมากเริ่มประสบปัญหาในการขออนุมัติกรมธรรม์ประกันสุขภาพหรือประกันชีวิต โดยถูกปฏิเสธความคุ้มครองหรือเสนอเบี้ยประกันในอัตราที่สูงขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล ซึ่งคาดว่ามีสาเหตุมาจากการวิเคราะห์ ‘ยีนเสี่ยง’
- กรณีนี้สร้างวิกฤตความน่าเชื่อถือต่ออุตสาหกรรมแอปสุขภาพ AI และกระตุ้นให้เกิดการถกเถียงอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับช่องโหว่ของกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลทางพันธุกรรม
- เหตุการณ์ดังกล่าวสะท้อนถึงความเสี่ยงของการที่บริษัทเทคโนโลยีนำข้อมูลที่ละเอียดอ่อนไปใช้ในเชิงพาณิชย์โดยขาดความโปร่งใส ซึ่งอาจนำไปสู่การเลือกปฏิบัติทางพันธุกรรม (Genetic Discrimination)
- สังคมและหน่วยงานกำกับดูแลจำเป็นต้องทบทวนมาตรการป้องกันและสร้างกรอบจริยธรรมที่ชัดเจน เพื่อสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมทางเทคโนโลยีและการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน
จุดเริ่มต้นของวิกฤต: เมื่อเทคโนโลยีสุขภาพกลายเป็นดาบสองคม
ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามามีบทบาทสำคัญในการดูแลสุขภาพส่วนบุคคล แอปพลิเคชันที่ให้บริการวิเคราะห์ DNA เพื่อให้คำแนะนำด้านสุขภาพและการใช้ชีวิตกลายเป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยมอย่างสูง ผู้คนต่างคาดหวังว่าการเข้าถึงข้อมูลพันธุกรรมของตนเองจะช่วยให้สามารถวางแผนสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพและป้องกันโรคภัยไข้เจ็บในอนาคตได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ความสะดวกสบายและประโยชน์ที่ได้รับกลับมาพร้อมกับความเสี่ยงที่หลายคนคาดไม่ถึง
กรณีอื้อฉาวของ ‘GeneFit’ แอปพลิเคชันชั้นนำด้านการวิเคราะห์พันธุกรรม ได้กลายเป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจนถึงอันตรายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเทคโนโลยีเหล่านี้ เรื่องราวเริ่มแดงขึ้นเมื่อผู้ใช้หลายรายในประเทศไทยที่เคยใช้บริการตรวจ DNA ผ่านแอปฯ ดังกล่าว พบว่าตนเองถูกบริษัทประกันปฏิเสธการให้ความคุ้มครองอย่างเป็นระบบ การสืบสวนในเบื้องต้นชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงที่น่าตกใจระหว่างข้อมูลทางพันธุกรรมที่ผู้ใช้มอบให้ด้วยความไว้วางใจ กับการตัดสินใจของบริษัทประกันในการประเมินความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละราย
เหตุการณ์นี้ไม่ได้ส่งผลกระทบเฉพาะผู้ที่ถูกปฏิเสธความคุ้มครองเท่านั้น แต่ยังสร้างความกังวลในวงกว้างต่อผู้ใช้งานแอปพลิเคชันสุขภาพอื่น ๆ นับล้านคน ว่าข้อมูลที่ละเอียดอ่อนที่สุดของพวกเขากำลังถูกนำไปใช้อย่างไร และใครคือผู้ที่ได้รับประโยชน์จากข้อมูลเหล่านั้นอย่างแท้จริง วิกฤตการณ์ครั้งนี้จึงเป็นสัญญาณเตือนภัยครั้งสำคัญที่บังคับให้ทุกภาคส่วนต้องหันมาทบทวนความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยี ข้อมูลส่วนบุคคล และหลักจริยธรรมทางธุรกิจอย่างจริงจัง
เจาะลึกแอปฯ ‘GeneFit’: จากผู้ช่วยดูแลสุขภาพสู่ผู้ค้าข้อมูลพันธุกรรม
GeneFit คืออะไรและทำงานอย่างไร
‘GeneFit’ คือแอปพลิเคชันสุขภาพที่ใช้เทคโนโลยี AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลทางพันธุกรรม หรือ DNA ของผู้ใช้งาน โดยมีเป้าหมายเพื่อมอบคำแนะนำด้านสุขภาพส่วนบุคคล (Personalized Healthcare) ที่ปรับให้เข้ากับลักษณะทางพันธุกรรมของแต่ละคนโดยเฉพาะ กระบวนการเริ่มต้นจากการที่ผู้ใช้สั่งซื้อชุดเก็บตัวอย่าง DNA (โดยทั่วไปคือตัวอย่างน้ำลาย) จากนั้นส่งกลับไปยังห้องปฏิบัติการของบริษัทเพื่อทำการวิเคราะห์
เมื่อผลการวิเคราะห์เสร็จสิ้น ข้อมูลจะถูกอัปโหลดขึ้นสู่ระบบและประมวลผลผ่านอัลกอริทึม AI ของแอปฯ ผู้ใช้จะได้รับรายงานผลอย่างละเอียดผ่านทางสมาร์ทโฟน ซึ่งครอบคลุมหัวข้อต่าง ๆ เช่น:
- ความเสี่ยงในการเกิดโรค: ประเมินแนวโน้มความเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรม เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน หรือมะเร็งบางชนิด
- คำแนะนำด้านโภชนาการ: วิเคราะห์การตอบสนองของร่างกายต่อสารอาหารแต่ละประเภท เพื่อแนะนำแผนการรับประทานอาหารที่เหมาะสม
- ศักยภาพด้านการออกกำลังกาย: ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสมรรถภาพทางร่างกายที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม เช่น ความแข็งแรง ความทนทาน และความเร็วในการฟื้นตัว
- ข้อมูลทางพันธุกรรมอื่น ๆ: เช่น ลักษณะการนอนหลับ การตอบสนองต่อคาเฟอีน และเชื้อสายบรรพบุรุษ
ด้วยการนำเสนอข้อมูลที่ดูเหมือนจะเป็นประโยชน์และทันสมัย ทำให้ ‘GeneFit’ ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพและต้องการใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเอง
เบื้องหลังการซื้อขายข้อมูล: โมเดลธุรกิจที่ถูกปิดบัง
แม้ว่าในเบื้องหน้า ‘GeneFit’ จะนำเสนอตัวเองในฐานะผู้ช่วยดูแลสุขภาพส่วนบุคคล แต่โมเดลธุรกิจที่แท้จริงกลับซับซ้อนกว่านั้น จากข้อมูลที่ถูกเปิดเผยออกมา พบว่ารายได้หลักของบริษัทส่วนหนึ่งมาจากการรวบรวมและขายข้อมูลพันธุกรรมที่ได้รับจากผู้ใช้ให้กับบุคคลที่สาม โดยข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำไป “ลบข้อมูลระบุตัวตน” (Anonymized) ก่อนจะถูกขายเป็นชุดข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ให้กับบริษัทวิจัย ตลอดจนบริษัทในอุตสาหกรรมประกันภัย
“ข้อมูลพันธุกรรมถือเป็น ‘ขุมทองแห่งใหม่’ ในยุคดิจิทัล สำหรับบริษัทประกันแล้ว ข้อมูลเหล่านี้มีค่ามหาศาล เพราะมันสามารถพยากรณ์ความเสี่ยงด้านสุขภาพในอนาคตได้อย่างแม่นยำกว่าข้อมูลทางการแพทย์แบบเดิม ๆ” – ข้อความจากนักวิเคราะห์ข้อมูลที่ไม่ประสงค์ออกนาม
แม้บริษัทจะอ้างว่าข้อมูลถูกทำให้ไม่สามารถระบุตัวตนได้แล้ว แต่ในทางปฏิบัติ การเชื่อมโยงข้อมูลกลับไปยังบุคคลยังคงมีความเป็นไปได้ โดยเฉพาะเมื่อนำไปวิเคราะห์ร่วมกับข้อมูลชุดอื่น ๆ สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือการที่ข้อมูลเหล่านี้ตกไปอยู่ในมือของบริษัทประกัน ซึ่งมีแรงจูงใจที่ชัดเจนในการนำข้อมูลความเสี่ยงทางพันธุกรรมมาใช้ประกอบการพิจารณารับประกัน อันนำไปสู่สถานการณ์ที่ผู้บริโภคถูกปฏิเสธความคุ้มครองโดยอาศัยข้อมูลที่ตนเองเคยส่งมอบให้ด้วยความไว้วางใจ
ผลกระทบต่อผู้บริโภค: เมื่อ ‘ยีนเสี่ยง’ ถูกใช้เป็นเหตุผลปฏิเสธความคุ้มครอง
กรณีศึกษา: เสียงจากผู้เสียหาย
วิกฤตการณ์ครั้งนี้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง โดยมีผู้เสียหายจำนวนมากที่ต้องเผชิญกับปัญหาทางการเงินและสุขภาพอย่างไม่คาดคิด หนึ่งในกรณีที่น่าสนใจคือเรื่องราวของพนักงานออฟฟิศวัย 32 ปีรายหนึ่ง ซึ่งมีสุขภาพแข็งแรงและไม่เคยมีประวัติการเจ็บป่วยรุนแรง เขาได้ยื่นขอทำประกันชีวิตเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับครอบครัว แต่กลับถูกปฏิเสธอย่างไม่มีเหตุผลชัดเจน หลังจากสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติม เขาพบว่าบริษัทประกันอาจเข้าถึงข้อมูลผลการตรวจ DNA ของเขาจาก ‘GeneFit’ ซึ่งระบุว่าเขามียีนที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอัลไซเมอร์ในอนาคต แม้ว่าปัจจุบันเขายังไม่มีอาการใด ๆ ก็ตาม
อีกกรณีหนึ่งคือครอบครัวที่พยายามทำประกันสุขภาพให้กับบุตร แต่กลับถูกเสนอเบี้ยประกันในอัตราที่สูงกว่าปกติถึงสามเท่า เมื่อสอบถามไปยังตัวแทนประกัน ก็ได้รับคำตอบที่คลุมเครือว่าบุตรของพวกเขามี “ความเสี่ยงด้านสุขภาพโดยกำเนิด” ซึ่งต่อมาครอบครัวนี้สันนิษฐานว่าข้อมูลดังกล่าวอาจรั่วไหลมาจากผลการตรวจยีนที่เคยทำผ่านแอปพลิเคชันเพื่อดูแนวโน้มการแพ้อาหารของบุตร
กรณีเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงฝันร้ายที่เกิดขึ้นจริง เมื่อข้อมูลส่วนบุคคลที่ควรจะถูกใช้เพื่อการป้องกันโรค กลับกลายเป็นเครื่องมือในการกีดกันผู้คนออกจากการเข้าถึงหลักประกันสุขภาพ ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต
กลไกของบริษัทประกัน: การประเมินความเสี่ยงยุคใหม่
ในอดีต บริษัทประกันจะประเมินความเสี่ยงของผู้ขอเอาประกันโดยใช้ข้อมูลพื้นฐาน เช่น อายุ เพศ ประวัติสุขภาพของครอบครัว และผลการตรวจสุขภาพ แต่การเข้ามาของข้อมูลพันธุกรรมได้เปลี่ยนแปลงวิธีการประเมินความเสี่ยงไปโดยสิ้นเชิง บริษัทประกันสามารถใช้ข้อมูลยีนเพื่อสร้างแบบจำลองความน่าจะเป็นในการเกิดโรคต่าง ๆ ได้อย่างละเอียดและล่วงหน้าเป็นเวลาหลายสิบปี
กระบวนการนี้เรียกว่า “การพิจารณารับประกันโดยอาศัยข้อมูลพันธุกรรม” (Genetic Underwriting) ซึ่งมีกลไกดังนี้:
- การจัดหาข้อมูล: บริษัทประกันจัดซื้อชุดข้อมูลพันธุกรรมขนาดใหญ่จากบริษัทตัวกลางหรือผู้ให้บริการตรวจ DNA โดยตรง
- การวิเคราะห์ความเสี่ยง: นำข้อมูลดังกล่าวมาวิเคราะห์เพื่อหา ‘ยีนเสี่ยง’ (Risk-associated Genes) ที่สัมพันธ์กับการเกิดโรคร้ายแรง
- การสร้างโปรไฟล์ลูกค้า: สร้างโปรไฟล์ความเสี่ยงสำหรับผู้ขอเอาประกันแต่ละราย โดยอาจมีการเชื่อมโยงข้อมูลพันธุกรรมกับข้อมูลส่วนบุคคลอื่น ๆ
- การตัดสินใจ: ใช้โปรไฟล์ความเสี่ยงเป็นเกณฑ์สำคัญในการตัดสินใจว่าจะรับประกันหรือไม่ และจะกำหนดอัตราเบี้ยประกันที่เท่าใด
แม้ว่าในมุมของบริษัทประกัน นี่คือการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ แต่สำหรับผู้บริโภค มันคือการสร้าง “การเลือกปฏิบัติทางพันธุกรรม” ที่ตัดสินอนาคตด้านสุขภาพและการเงินของบุคคลจากรหัสพันธุกรรมที่พวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
มิติด้านกฎหมายและจริยธรรม: ใครต้องรับผิดชอบ?
ช่องโหว่ทางกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
เหตุการณ์นี้ได้เผยให้เห็นถึงช่องโหว่ที่สำคัญของกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ในประเทศไทย แม้ว่า พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 จะกำหนดให้ “ข้อมูลสุขภาพ” เป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหว (Sensitive Data) ซึ่งต้องได้รับการคุ้มครองในระดับที่สูงขึ้น แต่การตีความเกี่ยวกับ “ข้อมูลพันธุกรรม” ยังคงมีความไม่ชัดเจน
ประเด็นสำคัญคือการอ้างว่าข้อมูลถูก “Anonymized” หรือทำให้ไม่สามารถระบุตัวตนได้แล้ว ซึ่งบริษัทเทคโนโลยีมักใช้เป็นข้ออ้างในการนำข้อมูลไปใช้ต่อโดยไม่ต้องขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม นักกฎหมายและผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ต่างชี้ว่า กระบวนการ Anonymization ไม่สามารถรับประกันการปกปิดตัวตนได้ 100% และข้อมูลพันธุกรรมนั้นมีลักษณะเฉพาะตัวสูงมากจนยากที่จะทำให้ไม่สามารถระบุตัวตนได้อย่างแท้จริง
ดังนั้น จึงเกิดคำถามว่าใครคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น ระหว่าง ‘GeneFit’ ในฐานะผู้รวบรวมและขายข้อมูล หรือบริษัทประกันในฐานะผู้ซื้อและนำข้อมูลไปใช้เพื่อปฏิเสธความคุ้มครอง การขาดกฎหมายที่กำกับดูแลการใช้ข้อมูลพันธุกรรมในอุตสาหกรรมประกันภัยโดยตรง ทำให้การฟ้องร้องและเรียกร้องค่าเสียหายเป็นไปได้ยาก
ประเด็นทางจริยธรรม: สิทธิในข้อมูลพันธุกรรม
นอกเหนือจากมิติทางกฎหมายแล้ว กรณีนี้ยังจุดประเด็นถกเถียงเชิงจริยธรรมที่สำคัญหลายประการ คำถามพื้นฐานที่สุดคือ “ใครคือเจ้าของข้อมูลพันธุกรรมที่แท้จริง” ผู้ใช้งานที่มอบตัวอย่าง DNA หรือบริษัทที่ทำการวิเคราะห์และสร้างชุดข้อมูลขึ้นมา และสังคมควรอนุญาตให้มีการซื้อขายข้อมูลที่เปรียบเสมือนพิมพ์เขียวของชีวิตมนุษย์หรือไม่
การใช้ข้อมูลพันธุกรรมเพื่อคัดกรองบุคคลในการทำประกัน อาจนำไปสู่การแบ่งแยกสังคมออกเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มที่มียีน “ดี” ซึ่งสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินและสุขภาพได้ กับกลุ่มที่มียีน “เสี่ยง” ซึ่งจะถูกกีดกันและผลักให้กลายเป็นพลเมืองชั้นสอง สิ่งนี้ขัดต่อหลักการพื้นฐานของความเท่าเทียมและอาจสร้างวิกฤตสุขภาพในระยะยาว เมื่อคนกลุ่มหนึ่งไม่สามารถเข้าถึงหลักประกันสุขภาพที่จำเป็นได้
ดังนั้น การสร้างสมดุลระหว่างการส่งเสริมนวัตกรรมทางเทคโนโลยีกับการปกป้องสิทธิและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ จึงเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ที่สังคมไทยต้องเผชิญ
เปรียบเทียบความเสี่ยง: การใช้ข้อมูลสุขภาพแบบดั้งเดิม vs. ข้อมูลพันธุกรรม
หัวข้อการเปรียบเทียบ | ข้อมูลสุขภาพแบบดั้งเดิม | ข้อมูลพันธุกรรม (Genetic Data) |
---|---|---|
ลักษณะของข้อมูล | เป็นข้อมูล ณ ช่วงเวลาหนึ่ง เช่น ผลตรวจเลือด, ประวัติการรักษา สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามพฤติกรรม | เป็นข้อมูลถาวร ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ บ่งบอกถึงศักยภาพหรือความเสี่ยงตลอดชีวิต |
การคาดการณ์ | ใช้คาดการณ์ความเสี่ยงในระยะสั้นถึงปานกลาง โดยอิงจากสถานะสุขภาพปัจจุบันและอดีต | สามารถคาดการณ์ความเสี่ยงต่อโรคภัยในระยะยาวได้ แม้บุคคลนั้นจะยังมีสุขภาพแข็งแรงดี |
การควบคุมโดยบุคคล | บุคคลสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (เช่น การกิน, การออกกำลังกาย) เพื่อปรับปรุงข้อมูลสุขภาพได้ | บุคคลไม่สามารถควบคุมหรือเปลี่ยนแปลงรหัสพันธุกรรมของตนเองได้ |
ผลกระทบต่อครอบครัว | โดยทั่วไปจะส่งผลกระทบต่อบุคคลนั้นเป็นหลัก (ยกเว้นโรคติดต่อ) | ข้อมูลของบุคคลหนึ่งสามารถบ่งชี้ถึงความเสี่ยงของสมาชิกในครอบครัวที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดได้ |
ความเสี่ยงด้านการเลือกปฏิบัติ | มีความเสี่ยงอยู่แล้ว แต่จำกัดอยู่ในขอบเขตของโรคที่ปรากฏอาการแล้ว | มีความเสี่ยงสูงมากที่จะเกิดการเลือกปฏิบัติจากสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น (Pre-symptomatic Discrimination) |
อนาคตของเทคโนโลยีสุขภาพในไทย: บทเรียนราคาแพงและหนทางข้างหน้า
กรณีอื้อฉาวของ ‘GeneFit’ เป็นบทเรียนราคาแพงสำหรับสังคมไทย มันแสดงให้เห็นว่าการเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ โดยปราศจากความเข้าใจในความเสี่ยงและไม่มีกรอบการกำกับดูแลที่รัดกุมเพียงพอ อาจนำมาซึ่งผลกระทบทางลบที่รุนแรงและคาดไม่ถึง วิกฤตการณ์นี้ได้ทำลายความไว้วางใจที่ผู้บริโภคมีต่อแอปสุขภาพ AI และอาจส่งผลให้การพัฒนาเทคโนโลยีด้านนี้ในประเทศต้องหยุดชะงัก
อย่างไรก็ตาม ทุกวิกฤตย่อมมีโอกาสซ่อนอยู่ เหตุการณ์นี้เป็นโอกาสอันดีที่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ หน่วยงานกำกับดูแล ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม จะต้องร่วมมือกันเพื่อหาทางออกและวางรากฐานสำหรับอนาคตที่ดีกว่าเดิม การทบทวนและปรับปรุงกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลให้ครอบคลุมถึงข้อมูลพันธุกรรมอย่างชัดเจน การสร้างมาตรฐานและจรรยาบรรณสำหรับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสุขภาพ และการให้ความรู้แก่ประชาชนเพื่อให้ตระหนักถึงสิทธิและความเสี่ยงในการให้ข้อมูลส่วนบุคคล ถือเป็นภารกิจเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการทันที
สำหรับผู้บริโภค การตระหนักรู้และเพิ่มความระมัดระวังเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ก่อนที่จะตัดสินใจใช้บริการแอปพลิเคชันใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลสุขภาพ ควรอ่านนโยบายความเป็นส่วนตัวและข้อตกลงในการใช้งานอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อทำความเข้าใจว่าข้อมูลจะถูกนำไปใช้อย่างไรและแบ่งปันให้แก่ใครบ้าง การปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลที่ละเอียดอ่อนที่สุดเริ่มต้นที่ความรอบคอบของตัวเราเอง เพื่อไม่ให้ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีหวนกลับมาทำร้ายและจำกัดโอกาสในชีวิตของเราในอนาคต