ระวัง! AI ปลอมเป็นลูก วิดีโอคอลหลอกเงินพ่อแม่

สารบัญ

ภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้ยกระดับความซับซ้อนขึ้นไปอีกขั้น ด้วยการมาถึงของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ทำให้มิจฉาชีพสามารถสร้างกลโกงรูปแบบใหม่ซึ่งน่าเชื่อถือและแยกแยะได้ยากกว่าเดิม หนึ่งในนั้นคือการใช้ AI ปลอมเป็นบุคคลในครอบครัวเพื่อวิดีโอคอลหลอกลวงเงินจากพ่อแม่หรือผู้สูงอายุ ซึ่งสร้างความเสียหายทั้งทางทรัพย์สินและจิตใจอย่างมหาศาล

ประเด็นสำคัญที่ควรทราบ

  • มิจฉาชีพใช้เทคโนโลยี AI Deepfake สร้างวิดีโอและเสียงปลอมของคนในครอบครัว โดยเฉพาะลูกหลาน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน
  • กลโกงมักสร้างสถานการณ์ฉุกเฉินและเร่งด่วน เช่น อุบัติเหตุ ถูกจับกุม หรือต้องการเงินด่วน เพื่อกดดันทางอารมณ์และตัดโอกาสในการตรวจสอบของเหยื่อ
  • การตั้งสติ วางสายเพื่อตรวจสอบข้อมูล และติดต่อกลับหาบุคคลนั้นโดยตรงผ่านเบอร์โทรศัพท์ที่บันทึกไว้ คือหัวใจสำคัญของการป้องกันตนเองจากการหลอกลวง
  • หากเกิดความผิดพลาดและตกเป็นเหยื่อ ควรรวบรวมหลักฐานทั้งหมดและรีบแจ้งความกับตำรวจไซเบอร์ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเร็วที่สุดเพื่ออายัดบัญชีและดำเนินการทางกฎหมาย

กลโกง ระวัง! AI ปลอมเป็นลูก วิดีโอคอลหลอกเงินพ่อแม่ คือปรากฏการณ์อาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่ใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าของ AI ประเภท Deepfake เพื่อสร้างวิดีโอคอลปลอมที่ดูและฟังเหมือนบุคคลจริงอย่างน่าตกใจ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้พัฒนารูปแบบการหลอกลวงจากเดิมที่ใช้เพียงเสียงทางโทรศัพท์ มาเป็นการใช้ภาพเคลื่อนไหวที่สมจริง ทำให้การป้องกันตัวทำได้ยากขึ้น กลยุทธ์นี้อาศัยความรักและความเป็นห่วงของพ่อแม่เป็นเครื่องมือในการกดดันให้โอนเงินอย่างรวดเร็วภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินที่ถูกสร้างขึ้น

ทำความเข้าใจภัยคุกคามรูปแบบใหม่: AI ปลอมเป็นลูก วิดีโอคอลหลอกเงินพ่อแม่

การหลอกลวงผ่านโทรศัพท์ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่การนำเทคโนโลยี AI Deepfake มาประยุกต์ใช้ได้เปลี่ยนโฉมหน้าของอาชญากรรมไซเบอร์ไปอย่างสิ้นเชิง ภัยคุกคามนี้มีความน่ากังวลอย่างยิ่ง เนื่องจากมันโจมตีจุดอ่อนไหวที่สุดของมนุษย์ นั่นคือความสัมพันธ์ในครอบครัว เมื่อพ่อแม่ได้รับวิดีโอคอลและเห็นใบหน้าของลูกกำลังตกอยู่ในอันตราย สัญชาตญาณแรกคือการให้ความช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด ซึ่งเป็นสิ่งที่มิจฉาชีพต้องการ

กลุ่มเป้าหมายหลักของกลโกงประเภทนี้คือผู้ปกครอง ผู้สูงอายุ หรือญาติสนิทที่มีความผูกพันทางอารมณ์กับบุคคลที่ถูกปลอมตัวขึ้นมา อาชญากรไซเบอร์มักเลือกเป้าหมายอย่างระมัดระวัง โดยอาจสืบค้นข้อมูลจากโซเชียลมีเดียที่เปิดเป็นสาธารณะ เพื่อหาภาพถ่ายและคลิปวิดีโอของ “ลูก” มาใช้ฝึกฝน AI การตระหนักรู้และทำความเข้าใจถึงกลไกการทำงานของภัยคุกคามรูปแบบใหม่นี้ จึงเป็นเกราะป้องกันด่านแรกที่สำคัญที่สุดสำหรับทุกคนในสังคม

เทคโนโลยีเบื้องหลังการหลอกลวง: AI Deepfake คืออะไร?

เทคโนโลยีเบื้องหลังการหลอกลวง: AI Deepfake คืออะไร?

เพื่อให้สามารถป้องกันตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ การทำความเข้าใจเทคโนโลยีที่มิจฉาชีพใช้จึงเป็นสิ่งจำเป็น Deepfake ไม่ใช่เวทมนตร์ แต่เป็นผลลัพธ์ของอัลกอริทึมที่ซับซ้อนซึ่งสามารถเรียนรู้และเลียนแบบลักษณะของมนุษย์ได้อย่างแม่นยำ

คำจำกัดความและหลักการทำงานของ Deepfake

Deepfake เป็นคำที่เกิดจากการผสมระหว่าง “Deep Learning” (การเรียนรู้เชิงลึก) และ “Fake” (ของปลอม) มันคือเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่ใช้ในการสังเคราะห์สื่อ (Synthetic Media) โดยสามารถสร้างหรือดัดแปลงเนื้อหาวิดีโอและเสียงได้อย่างสมจริง หลักการทำงานเบื้องหลังมักเกี่ยวข้องกับโครงข่ายประสาทเทียมที่เรียกว่า Generative Adversarial Networks (GANs)

ระบบ GANs ประกอบด้วยสองส่วนหลักที่ทำงานแข่งขันกัน:

  • Generator (ผู้สร้าง): มีหน้าที่สร้างภาพหรือเสียงปลอมขึ้นมา (เช่น ใบหน้าของลูกที่ขยับและพูด) โดยพยายามทำให้เหมือนจริงที่สุด
  • Discriminator (ผู้ตรวจสอบ): มีหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลที่ได้รับและตัดสินว่ามันเป็นของจริงหรือของปลอมที่สร้างโดย Generator

ทั้งสองส่วนจะเรียนรู้และพัฒนาไปพร้อมกัน Generator จะพยายามสร้างของปลอมที่เนียนขึ้นเรื่อยๆ เพื่อหลอก Discriminator ส่วน Discriminator ก็จะเก่งขึ้นในการจับผิด ผลลัพธ์สุดท้ายคือ Generator สามารถสร้างสื่อปลอมที่แทบจะแยกไม่ออกจากของจริงได้เลย

การนำ Deepfake มาใช้สร้างวิดีโอคอลปลอม

ในการสร้างวิดีโอคอลปลอม มิจฉาชีพจะเริ่มต้นด้วยการรวบรวมข้อมูลภาพและเสียงของเป้าหมาย (ลูกหลานของเหยื่อ) ซึ่งอาจได้มาจากบัญชีโซเชียลมีเดียที่โพสต์วิดีโอหรือรูปภาพจำนวนมาก ข้อมูลเหล่านี้จะถูกป้อนเข้าไปในโมเดล AI เพื่อ “ฝึก” ให้ระบบเรียนรู้ลักษณะเฉพาะของใบหน้า การแสดงออกทางสีหน้า และรูปแบบการพูด จากนั้น เมื่อทำการวิดีโอคอลหาเหยื่อ ระบบจะทำการสลับใบหน้า (Face Swapping) แบบเรียลไทม์ โดยนำใบหน้าของเป้าหมายที่สังเคราะห์ขึ้นมาไปทับบนใบหน้าของนักแสดงที่เป็นมิจฉาชีพ พร้อมกับสังเคราะห์เสียงพูดให้ใกล้เคียงกับเสียงของเป้าหมายมากที่สุด ทำให้เหยื่อเห็นและได้ยินสิ่งที่ดูเหมือนลูกของตนเองกำลังพูดคุยอยู่

เปิดกลยุทธ์และขั้นตอนของแก๊งคอลเซ็นเตอร์

การหลอกลวงด้วย AI Deepfake ไม่ได้อาศัยแค่เทคโนโลยีที่ซับซ้อนเพียงอย่างเดียว แต่ยังประกอบด้วยขั้นตอนการวางแผนและปฏิบัติการทางจิตวิทยาอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เหยื่อหลงเชื่อและทำตามคำสั่งโดยไม่มีข้อสงสัย

การรวบรวมข้อมูลเป้าหมาย

ขั้นตอนแรกคือการสืบค้นข้อมูล มิจฉาชีพจะค้นหาเป้าหมายที่มีแนวโน้มจะตกเป็นเหยื่อได้ง่าย เช่น ผู้สูงอายุที่ไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยี หรือผู้ปกครองที่แสดงความรักต่อลูกผ่านโซเชียลมีเดียบ่อยครั้ง ข้อมูลที่จำเป็นต่อการสร้าง Deepfake ได้แก่:

  • ภาพถ่ายและวิดีโอ: ยิ่งมีมากและจากหลายมุมมองเท่าไหร่ AI ก็จะเรียนรู้และสร้างใบหน้าที่สมจริงได้มากขึ้นเท่านั้น
  • คลิปเสียง: เพื่อใช้ในการโคลนเสียงและรูปแบบการพูด
  • ข้อมูลส่วนตัว: เช่น ชื่อเล่นของลูก ชื่อเพื่อน หรือกิจกรรมที่ทำล่าสุด เพื่อนำมาใช้ในการสนทนาให้ดูเป็นธรรมชาติ

การตั้งค่าความเป็นส่วนตัวบนโซเชียลมีเดียให้เข้มงวด และหลีกเลี่ยงการเปิดเผยข้อมูลของบุตรหลานเกินความจำเป็น เป็นอีกหนึ่งวิธีในการลดความเสี่ยงจากการตกเป็นเป้าหมาย

ลำดับขั้นของการหลอกลวงผ่านวิดีโอคอล

เมื่อเตรียมข้อมูลพร้อมแล้ว กระบวนการหลอกลวงมักจะดำเนินไปตามลำดับขั้นดังนี้:

  1. การเริ่มต้นติดต่อ: มิจฉาชีพจะวิดีโอคอลหาเหยื่อ โดยอาจใช้เบอร์โทรศัพท์ที่ไม่คุ้นเคย หรือปลอมแปลง ID ผู้โทรให้ดูเหมือนเป็นบัญชีของลูกหลาน
  2. การสร้างสถานการณ์ฉุกเฉิน: ทันทีที่เหยื่อรับสาย จะพบกับภาพและเสียงของ “ลูก” ที่กำลังตื่นตระหนกหรือได้รับบาดเจ็บ พร้อมกับเล่าเรื่องราวที่น่าตกใจ เช่น “พ่อครับ ผมโดนจับ” หรือ “แม่คะ หนูประสบอุบัติเหตุ ต้องการเงินด่วน”
  3. การใช้แรงกดดันทางจิตวิทยา: มิจฉาชีพจะเร่งรัดให้เหยื่อตัดสินใจอย่างรวดเร็ว โดยอ้างว่าไม่มีเวลาอธิบาย หรือสถานการณ์กำลังเลวร้ายลงทุกนาที พวกเขาจะห้ามไม่ให้เหยื่อวางสายหรือบอกเรื่องนี้กับใคร เพื่อป้องกันการตรวจสอบ
  4. การ誘導ให้โอนเงิน: หลังจากเหยื่อเริ่มคล้อยตาม จะมีการให้เลขบัญชีธนาคาร (ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นบัญชีม้า) และกำหนดยอดเงินที่ต้องการ พร้อมกับกดดันให้โอนทันที

ตัวอย่างสถานการณ์ที่มิจฉาชีพนิยมใช้

สถานการณ์ที่มิจฉาชีพสร้างขึ้นมักเป็นเรื่องที่กระตุ้นอารมณ์และทำให้ขาดสติได้ง่าย ตัวอย่างที่พบบ่อยได้แก่:

  • การถูกลักพาตัวเรียกค่าไถ่: สร้างภาพว่าลูกถูกจับตัวไปและต้องการเงินค่าไถ่ด่วน
  • อุบัติเหตุร้ายแรง: อ้างว่าเกิดอุบัติเหตุและต้องจ่ายค่าเสียหายหรือค่ารักษาพยาบาลทันทีเพื่อไม่ให้เรื่องบานปลาย
  • ปัญหาทางกฎหมาย: ปลอมเป็นลูกที่ถูกตำรวจจับในข้อหาร้ายแรง เช่น ยาเสพติด และต้องการเงินเพื่อเคลียร์คดี
  • ตกอยู่ในอันตรายในต่างประเทศ: อ้างว่าทำกระเป๋าเงินและพาสปอร์ตหายขณะเดินทาง และต้องการเงินเพื่อกลับบ้าน

เปรียบเทียบกลโกงแบบดั้งเดิมและแบบใหม่ที่ใช้ AI

เพื่อแสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวของกลโกงรูปแบบใหม่นี้ การเปรียบเทียบกับกลโกงแก๊งคอลเซ็นเตอร์แบบดั้งเดิมจะช่วยให้เห็นภาพความแตกต่างและความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

ตารางเปรียบเทียบระหว่างกลโกงคอลเซ็นเตอร์แบบดั้งเดิมและแบบที่ใช้ AI Deepfake
รูปแบบ กลโกงแบบดั้งเดิม กลโกง AI Deepfake
สื่อที่ใช้ เสียงทางโทรศัพท์เท่านั้น วิดีโอคอล (ภาพและเสียง)
ระดับความสมจริง ต่ำถึงปานกลาง (อาจมีเสียงรบกวน, เสียงไม่เหมือน) สูงมาก (ภาพและเสียงใกล้เคียงบุคคลจริง)
ความยากในการตรวจสอบ ค่อนข้างง่าย (สามารถสังเกตจากน้ำเสียงและข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง) ยากมาก (ภาพที่เห็นทำให้เกิดความเชื่อได้ง่าย)
ผลกระทบทางอารมณ์ สร้างความกังวลและความกลัว สร้างความตื่นตระหนกและความน่าเชื่อถือในระดับสูงกว่ามาก

วิธีสังเกตและจับผิดวิดีโอคอลปลอมจาก AI

แม้ว่าเทคโนโลยี Deepfake จะมีความสมจริงสูง แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์แบบเสมอไป การสังเกตอย่างมีสติและมองหาสัญญาณเตือนบางอย่างอาจช่วยให้รอดพ้นจากการถูกหลอกลวงได้

ความผิดปกติทางภาพ

  • การเคลื่อนไหวของดวงตาและริมฝีปาก: การกะพริบตาอาจดูไม่เป็นธรรมชาติ หรือริมฝีปากอาจขยับไม่ตรงกับเสียงพูด (Lip-sync Mismatch)
  • แสงและเงาบนใบหน้า: แสงที่ตกกระทบบนใบหน้าอาจไม่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมในพื้นหลัง
  • ขอบของใบหน้าและเส้นผม: อาจสังเกตเห็นความเบลอหรือความผิดเพี้ยนบริเวณขอบของใบหน้า ลำคอ หรือเส้นผม ซึ่งเป็นจุดที่ AI ยังทำการซ้อนภาพได้ไม่เนียนสนิท
  • สีผิวที่ผิดเพี้ยน: สีผิวอาจดูเรียบเนียนหรือเป็นพลาสติกเกินไป และอาจมีสีที่ไม่สม่ำเสมอในบางจังหวะ
  • การเคลื่อนไหวของศีรษะที่ผิดปกติ: หากบุคคลในวิดีโอหันหน้าไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว ภาพอาจเกิดการกระตุกหรือผิดรูปไปชั่วขณะ

ความผิดปกติทางเสียงและคำพูด

  • น้ำเสียงที่ราบเรียบ: เสียงที่สังเคราะห์ขึ้นอาจขาดอารมณ์ความรู้สึกตามธรรมชาติ พูดด้วยโทนเสียงที่ราบเรียบผิดปกติ
  • การเว้นวรรคแปลกๆ: จังหวะการพูดอาจติดขัดหรือไม่เป็นธรรมชาติ มีการหยุดเว้นวรรคในตำแหน่งที่ไม่ควรหยุด
  • ไม่มีเสียงรบกวนรอบข้าง: ในสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น อุบัติเหตุ ควรจะมีเสียงรบกวนรอบข้าง แต่ในวิดีโอปลอมอาจจะเงียบผิดปกติ

พฤติกรรมที่น่าสงสัย

นอกเหนือจากข้อบกพร่องทางเทคนิคแล้ว พฤติกรรมของมิจฉาชีพก็เป็นจุดที่สามารถจับสังเกตได้เช่นกัน:

  • การเร่งรัดและสร้างแรงกดดันสูง: พยายามบีบคั้นให้ตัดสินใจโอนเงินทันทีโดยไม่มีเวลาคิด
  • การปฏิเสธที่จะตอบคำถามส่วนตัว: หากลองถามคำถามที่รู้กันเฉพาะในครอบครัว มิจฉาชีพจะไม่สามารถตอบได้ และอาจพยายามบ่ายเบี่ยง
  • คุณภาพของวิดีโอต่ำผิดปกติ: มิจฉาชีพอาจจงใจทำให้คุณภาพของสัญญาณวิดีโอไม่ดี โดยอ้างว่าสัญญาณอินเทอร์เน็ตไม่เสถียร เพื่อปกปิดความไม่สมบูรณ์ของภาพ Deepfake

แนวทางการป้องกันและรับมือเมื่อเผชิญเหตุ

การเตรียมตัวและรู้ขั้นตอนที่ควรปฏิบัติเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ดังกล่าวเป็นสิ่งสำคัญที่สุด นี่คือแนวทางที่สามารถนำไปปรับใช้ได้ทันที

ขั้นตอนการตรวจสอบ “ก่อน” โอนเงิน

1. ตั้งสติและวางสายทันที: สิ่งแรกและสำคัญที่สุดคือการควบคุมสติ อย่าเพิ่งตื่นตระหนกไปกับเรื่องราวที่ได้ยิน ให้บอกปลายสายว่าขอวางสายก่อนเพื่อไปจัดการเรื่องเงิน แล้วกดวางสายทันที

2. โทรกลับหาบุคคลนั้นโดยตรง: ใช้เบอร์โทรศัพท์ของลูกที่บันทึกไว้ในเครื่องของตัวเองโทรกลับไปหาโดยตรง ห้ามโทรกลับผ่านแอปพลิเคชันที่เพิ่งวิดีโอคอลเข้ามา หรือเบอร์ที่มิจฉาชีพให้มาใหม่เด็ดขาด การทำเช่นนี้เป็นการตรวจสอบที่ง่ายและได้ผลที่สุด

3. ตั้งคำถามส่วนตัว: หากไม่สามารถติดต่อได้ในทันทีและมิจฉาชีพโทรกลับมาอีกครั้ง ให้ลองตั้งคำถามที่เฉพาะเจาะจงและมีเพียงคนในครอบครัวเท่านั้นที่รู้คำตอบ เช่น “เมื่อวานเย็นเรากินอะไรกัน” หรือ “หมาที่บ้านเราชื่ออะไร”

4. ตรวจสอบชื่อบัญชีผู้รับโอน: หากถูกกดดันให้โอนเงิน ให้ขอชื่อบัญชีและตรวจสอบอย่างละเอียด ชื่อบัญชีผู้รับโอนมักจะเป็นชื่อของบุคคลอื่นที่ไม่รู้จัก ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายที่ชัดเจน

การสร้าง “รหัสลับ” ประจำครอบครัว

หนึ่งในมาตรการป้องกันเชิงรุกที่มีประสิทธิภาพคือการตกลงสร้าง “รหัสลับ” หรือ “Safe Word” ที่รู้กันเฉพาะคนในครอบครัว ควรสอนให้ทุกคนในบ้านเข้าใจว่า หากเกิดเหตุฉุกเฉินและต้องการความช่วยเหลือจริงๆ จะต้องบอกรหัสลับนี้เพื่อยืนยันตัวตน หากผู้ที่ติดต่อมาไม่สามารถบอกรหัสลับได้ ก็ให้สันนิษฐานได้ทันทีว่าเป็นมิจฉาชีพ

หากตกเป็นเหยื่อควรทำอย่างไร

ในกรณีที่เกิดความผิดพลาดและได้โอนเงินไปแล้ว ควรดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปนี้โดยเร็วที่สุด:

  1. ติดต่อธนาคารทันที: โทรหาคอลเซ็นเตอร์ของธนาคารต้นทางเพื่อแจ้งอายัดบัญชีของมิจฉาชีพ และระงับการทำธุรกรรมให้เร็วที่สุด
  2. รวบรวมหลักฐานทั้งหมด: เก็บหลักฐานการสนทนา เช่น ภาพหน้าจอวิดีโอคอล, บันทึกการโทร, สลิปการโอนเงิน, และหมายเลขบัญชีของผู้รับโอน
  3. แจ้งความดำเนินคดี: นำหลักฐานทั้งหมดเข้าแจ้งความที่สถานีตำรวจในพื้นที่ หรือแจ้งความออนไลน์กับตำรวจไซเบอร์ (กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี) เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการทางกฎหมายต่อไป

บทสรุป: รู้เท่าทันเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยของครอบครัว

ภัยจากการใช้ AI ปลอมเป็นลูก วิดีโอคอลหลอกเงินพ่อแม่ เป็นเครื่องเตือนใจว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสามารถเป็นได้ทั้งคุณและโทษ แม้ว่ามิจฉาชีพจะมีเครื่องมือที่ซับซ้อนและน่าเชื่อถือมากขึ้น แต่เกราะป้องกันที่ดีที่สุดยังคงเป็นการตระหนักรู้ การมีสติ และการปฏิบัติตามขั้นตอนการตรวจสอบอย่างรอบคอบ เทคโนโลยีอาจสร้างภาพลวงตาได้ แต่ไม่สามารถปลอมแปลงความสัมพันธ์และความทรงจำที่แท้จริงได้

การสื่อสารภายในครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ควรมีการพูดคุยและแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับภัยคุกคามทางไซเบอร์รูปแบบใหม่ๆ ให้กับสมาชิกทุกคนได้รับทราบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุ การสร้างความเข้าใจและแนวทางปฏิบัติร่วมกัน เช่น การตั้งรหัสลับประจำครอบครัว จะช่วยเสริมสร้างความปลอดภัยและลดโอกาสการตกเป็นเหยื่อของอาชญากรไซเบอร์ได้อย่างมีนัยสำคัญ การรู้เท่าทันไม่ใช่การหวาดระแวง แต่คือการเตรียมพร้อมอย่างชาญฉลาดในยุคดิจิทัล