เข้าหน้าหนาว! สธ.ชวนฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี ใครได้สิทธิ์บ้าง?
เมื่อฤดูฝนกำลังจะผ่านพ้นไปและลมหนาวเริ่มเข้ามาทักทาย เป็นสัญญาณของการเข้าสู่ช่วงที่โรคไข้หวัดใหญ่มักจะมีการระบาดเพิ่มสูงขึ้น เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมและป้องกันสุขภาพของประชาชน กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จึงได้จัดทำโครงการรณรงค์เชิญชวนประชาชนกลุ่มเสี่ยงเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ประจำปี 2568 โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพื่อลดความรุนแรงของโรคและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
- โครงการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี: เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม ถึง 31 สิงหาคม 2568 หรือจนกว่าวัคซีนจะหมด
- กลุ่มเป้าหมายหลัก: ประชาชนผู้มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรครุนแรง 7 กลุ่ม
- วัตถุประสงค์: เพื่อลดอัตราการป่วยหนักและเสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่ ลดภาระของระบบสาธารณสุข และช่วยแยกการวินิจฉัยจากโรคโควิด-19
- ขั้นตอนการรับบริการ: ใช้เพียงบัตรประจำตัวประชาชนใบเดียว ติดต่อสถานพยาบาลของรัฐหรือเอกชนที่เข้าร่วมโครงการทั่วประเทศ
- ความร่วมมือ: โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
ภาพรวมโครงการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี 2568
โครงการ เข้าหน้าหนาว! สธ.ชวนฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี ใครได้สิทธิ์บ้าง? เป็นหนึ่งในนโยบายเชิงรุกด้านการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคของกระทรวงสาธารณสุข ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ประชาชนกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอาการรุนแรงหากติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ การดำเนินงานในปี 2568 นี้ได้กำหนดช่วงเวลาระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม ถึง 31 สิงหาคม 2568 ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่การระบาดของโรคจะเข้าสู่จุดสูงสุดในฤดูหนาว ทำให้ร่างกายมีเวลาสร้างภูมิคุ้มกันได้อย่างเต็มที่
ความสำคัญของโครงการนี้ไม่ได้อยู่เพียงแค่การป้องกันการเจ็บป่วยรายบุคคลเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีในระดับมหภาคต่อระบบสาธารณสุขของประเทศ การลดจำนวนผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ที่มีอาการหนัก ช่วยลดความแออัดในโรงพยาบาล ทำให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถทุ่มเททรัพยากรไปดูแลผู้ป่วยโรคอื่น ๆ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ในสถานการณ์ที่ยังคงต้องเฝ้าระวังโรคติดเชื้อทางเดินหายใจอื่น ๆ เช่น โควิด-19 การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ยังช่วยลดความสับสนในการวินิจฉัยเบื้องต้น เนื่องจากทั้งสองโรคมีอาการคล้ายคลึงกันอย่างมาก
ความสำคัญของการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่
หลายคนอาจมองว่าไข้หวัดใหญ่เป็นเพียงโรคที่ไม่รุนแรงและสามารถหายได้เอง แต่ในความเป็นจริงแล้ว เชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา (Influenza Virus) สามารถก่อให้เกิดอาการที่รุนแรงและภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง การทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้จึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการป้องกันตนเองและคนรอบข้าง
ไข้หวัดใหญ่แตกต่างจากไข้หวัดทั่วไปอย่างไร
แม้จะมีชื่อเรียกที่คล้ายกัน แต่ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) และไข้หวัดทั่วไป (Common Cold) เกิดจากเชื้อไวรัสคนละชนิดกันและมีความรุนแรงของอาการแตกต่างกันอย่างชัดเจน ไข้หวัดทั่วไปมักมีอาการค่อยเป็นค่อยไป เช่น คัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ จาม เจ็บคอเล็กน้อย และไม่ค่อยมีไข้สูง ส่วนไข้หวัดใหญ่นั้นมักเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ผู้ป่วยจะมีไข้สูง หนาวสั่น ปวดเมื่อยกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง ปวดศีรษะ อ่อนเพลียอย่างมาก และอาจมีอาการทางระบบทางเดินหายใจตามมา เช่น ไอแห้ง เจ็บคอ อาการเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันมากกว่าไข้หวัดทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ
ภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายกว่าที่คิด
จุดที่น่ากังวลที่สุดของไข้หวัดใหญ่คือศักยภาพในการก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยที่สุดคือ ปอดอักเสบหรือปอดบวม ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัสโดยตรงหรือการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดหลอดลมอักเสบ, การติดเชื้อในหู, การติดเชื้อในไซนัส และที่รุนแรงกว่านั้นคืออาจทำให้อาการของโรคประจำตัวเดิมกำเริบขึ้น เช่น โรคหอบหืด, โรคหัวใจ หรือโรคเบาหวาน ในกรณีที่ร้ายแรงที่สุด อาจนำไปสู่ภาวะระบบหายใจล้มเหลว, เยื่อหุ้มสมองอักเสบ, กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ และการเสียชีวิตได้ การฉีดวัคซีนจึงเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดในการลดความเสี่ยงเหล่านี้
เหตุผลที่ต้องฉีดวัคซีนทุกปี
เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์อยู่ตลอดเวลา หรือที่เรียกว่า “Antigenic Drift” ซึ่งเป็นการกลายพันธุ์เล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ภูมิคุ้มกันที่ร่างกายเคยสร้างขึ้นจากปีก่อนๆ หรือจากการฉีดวัคซีนครั้งก่อน อาจไม่สามารถป้องกันเชื้อสายพันธุ์ใหม่ที่ระบาดในปีปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเหตุนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) จึงต้องเฝ้าระวังและคาดการณ์สายพันธุ์ที่จะระบาดในแต่ละปี เพื่อนำมาผลิตวัคซีนให้ทันสมัยและครอบคลุมเชื้อมากที่สุด การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปีจึงเป็นการ “อัปเดต” ภูมิคุ้มกันของร่างกายให้พร้อมรับมือกับเชื้อไวรัสสายพันธุ์ล่าสุด
เจาะลึก 7 กลุ่มเสี่ยงที่มีสิทธิ์ฉีดวัคซีนฟรี
กระทรวงสาธารณสุขและ สปสช. ได้กำหนดกลุ่มเป้าหมายที่มีความจำเป็นเร่งด่วนในการรับวัคซีนไว้ 7 กลุ่ม เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มจะเกิดอาการรุนแรงและมีภาวะแทรกซ้อนสูงหากติดเชื้อ การทำความเข้าใจเหตุผลเบื้องหลังจะช่วยให้ตระหนักถึงความสำคัญของการเข้ารับบริการ
กลุ่มที่ 1: หญิงตั้งครรภ์
หญิงตั้งครรภ์มีการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาหลายอย่าง ทั้งระบบภูมิคุ้มกัน ระบบหัวใจและหลอดเลือด และระบบหายใจ ทำให้ร่างกายอ่อนแอต่อการติดเชื้อมากกว่าคนทั่วไป หากติดเชื้อไข้หวัดใหญ่จะมีความเสี่ยงสูงที่จะป่วยหนักจนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และอาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ได้ การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในหญิงตั้งครรภ์ (แนะนำที่อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป) ไม่เพียงแต่จะปกป้องตัวมารดาเอง แต่ภูมิคุ้มกันที่สร้างขึ้นยังสามารถส่งผ่านไปยังทารก ช่วยป้องกันการติดเชื้อในช่วง 2-3 เดือนแรกหลังคลอด ซึ่งเป็นช่วงที่ทารกยังไม่สามารถรับวัคซีนได้
กลุ่มที่ 2: เด็กอายุ 6 เดือนถึง 2 ปี
เด็กเล็กในวัยนี้เป็นอีกกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันยังพัฒนาไม่เต็มที่ ทำให้เมื่อติดเชื้อไข้หวัดใหญ่แล้วมักจะมีอาการรุนแรงและเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ง่าย เช่น ปอดบวม หูชั้นกลางอักเสบ หรืออาจมีอาการชักจากไข้สูงได้ การฉีดวัคซีนจึงเป็นมาตรการสำคัญในการปกป้องเด็กกลุ่มนี้จากโรคร้าย
กลุ่มที่ 3: ผู้มีโรคเรื้อรัง
ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค ได้แก่ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง, หอบหืด, หัวใจ, หลอดเลือดสมอง, ไตวาย, ผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ระหว่างการได้รับเคมีบำบัด และเบาหวาน ถือเป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางสูง การติดเชื้อไข้หวัดใหญ่อาจเป็นตัวกระตุ้นให้อาการของโรคประจำตัวกำเริบอย่างรุนแรง และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต การฉีดวัคซีนจึงเปรียบเสมือนเกราะป้องกันอีกชั้นหนึ่งที่ช่วยลดความเสี่ยงดังกล่าว
กลุ่มที่ 4: ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป
เมื่ออายุมากขึ้น ประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันจะลดลงตามธรรมชาติ ทำให้ผู้สูงอายุเป็นกลุ่มที่ติดเชื้อได้ง่ายและมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจากไข้หวัดใหญ่ได้สูงกว่าคนวัยอื่น ๆ การฉีดวัคซีนในกลุ่มผู้สูงอายุจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการลดอัตราการป่วยหนัก การเข้าโรงพยาบาล และการเสียชีวิต
กลุ่มที่ 5: ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้
ผู้ป่วยในกลุ่มนี้มักมีข้อจำกัดในการดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคล และอาจไม่สามารถสื่อสารหรือบอกอาการเจ็บป่วยของตนเองได้ชัดเจน ทำให้การวินิจฉัยล่าช้า นอกจากนี้ บางรายอาจมีปัญหาด้านการกลืนหรือการไอ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการสำลักและเกิดปอดอักเสบได้ง่ายหากติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ การป้องกันโดยการฉีดวัคซีนจึงเป็นสิ่งจำเป็น
กลุ่มที่ 6: โรคธาลัสซีเมียและผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
ผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมียและผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง (รวมถึงผู้ติดเชื้อ HIV ที่มีอาการ) มีกลไกการป้องกันเชื้อโรคของร่างกายที่ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ทำให้เมื่อติดเชื้อแล้ว ร่างกายจะไม่สามารถต่อสู้กับไวรัสได้ดีเท่าคนปกติ ส่งผลให้เชื้อแพร่กระจายและก่อโรครุนแรงได้ง่าย การฉีดวัคซีนเพื่อกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันล่วงหน้าจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
กลุ่มที่ 7: ผู้มีโรคอ้วน
ภาวะอ้วน (กำหนดเกณฑ์ที่น้ำหนักตัวมากกว่า 100 กิโลกรัม หรือมีดัชนีมวลกาย (BMI) ตั้งแต่ 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตรขึ้นไป) ถูกจัดเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อการเกิดโรคไข้หวัดใหญ่ที่รุนแรง เนื่องจากไขมันส่วนเกินอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของปอดและระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหายใจล้มเหลวและต้องใช้เครื่องช่วยหายใจสูงกว่าคนทั่วไป
กลุ่มเสี่ยง | รายละเอียด/เกณฑ์ | เหตุผลความเสี่ยง |
---|---|---|
1. หญิงตั้งครรภ์ | อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป | การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา ทำให้เสี่ยงต่ออาการรุนแรง |
2. เด็กเล็ก | อายุ 6 เดือน ถึง 2 ปี | ระบบภูมิคุ้มกันยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ |
3. ผู้มีโรคเรื้อรัง | ปอดอุดกั้น, หอบหืด, หัวใจ, ไตวาย, หลอดเลือดสมอง, เบาหวาน, มะเร็ง (รับยาเคมีบำบัด) | การติดเชื้ออาจทำให้อาการโรคประจำตัวกำเริบ |
4. ผู้สูงอายุ | อายุ 65 ปีขึ้นไป | ระบบภูมิคุ้มกันเสื่อมถอยตามวัย |
5. ผู้พิการทางสมอง | ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ | เสี่ยงต่อการสำลักและวินิจฉัยล่าช้า |
6. ภูมิคุ้มกันบกพร่อง | โรคธาลัสซีเมีย, ผู้ติดเชื้อ HIV ที่มีอาการ | ร่างกายไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้เต็มที่ |
7. โรคอ้วน | น้ำหนัก > 100 กก. หรือ BMI > 35 | ส่งผลกระทบต่อการทำงานของปอดและระบบภูมิคุ้มกัน |
ขั้นตอนการเข้ารับบริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี
กระทรวงสาธารณสุขได้อำนวยความสะดวกให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างง่ายดายและทั่วถึง โดยมีขั้นตอนที่ไม่ซับซ้อน
การเตรียมตัวก่อนรับวัคซีน
เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุดของการรับวัคซีน ควรมีการเตรียมความพร้อมของร่างกาย ดังนี้:
- พักผ่อนให้เพียงพอก่อนวันนัดฉีดวัคซีน
- ดื่มน้ำมากๆ เพื่อให้ร่างกายไม่ขาดน้ำ
- ในวันฉีดวัคซีน ควรสวมเสื้อผ้าที่สะดวกต่อการฉีดบริเวณต้นแขน
- หากมีไข้ หรือมีอาการเจ็บป่วยเฉียบพลัน ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายดี
- แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยาหรือวัคซีน ให้เจ้าหน้าที่ทราบก่อนรับบริการทุกครั้ง
ช่องทางการรับบริการและเอกสารที่ต้องใช้
ประชาชนที่อยู่ใน 7 กลุ่มเสี่ยงสามารถเข้ารับบริการฉีดวัคซีนได้ฟรี ณ สถานพยาบาลในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ทั้งโรงพยาบาลของรัฐ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) และสถานพยาบาลเอกชนที่เข้าร่วมโครงการทั่วประเทศ สำหรับในเขตกรุงเทพมหานคร สามารถติดต่อได้ที่ศูนย์บริการสาธารณสุขทั้ง 69 แห่ง
เอกสารที่ต้องใช้มีเพียงอย่างเดียวคือ บัตรประจำตัวประชาชนตัวจริง เพื่อใช้ในการตรวจสอบสิทธิ์และยืนยันตัวตนก่อนรับบริการ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น
การจองคิวล่วงหน้าและระบบ Walk-in
เพื่อความสะดวกและลดความแออัด ประชาชนสามารถจองคิวนัดหมายล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ซึ่งจะช่วยให้สามารถเลือกวันและเวลาที่สะดวกได้ อย่างไรก็ตาม หากไม่สะดวกในการจองคิวผ่านแอปพลิเคชัน ก็สามารถเดินทางไปติดต่อขอรับบริการที่สถานพยาบาลใกล้บ้านได้โดยตรง (Walk-in) ทั้งนี้ ควรตรวจสอบกับทางสถานพยาบาลนั้นๆ ล่วงหน้าเกี่ยวกับช่วงเวลาที่เปิดให้บริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่
บทบาทของหน่วยงานภาครัฐในการขับเคลื่อนโครงการ
ความสำเร็จของโครงการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรีนี้ เกิดขึ้นจากความร่วมมืออย่างแข็งขันของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง โดยมี สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เป็นหน่วยงานหลักในการจัดหาและกระจายวัคซีนไปยังหน่วยบริการทั่วประเทศ รวมถึงดูแลด้านงบประมาณสนับสนุน ขณะที่ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข มีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบาย กำหนดกลุ่มเป้าหมาย เฝ้าระวังสถานการณ์การระบาดของโรค และสื่อสารประชาสัมพันธ์ข้อมูลที่ถูกต้องให้แก่ประชาชน การทำงานร่วมกันของทั้งสองหน่วยงานนี้เป็นกลไกสำคัญที่ทำให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงสามารถเข้าถึงวัคซีนได้อย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางสุขภาพให้กับสังคมไทยโดยรวม
สรุปและคำแนะนำในการดูแลสุขภาพช่วงฤดูหนาว
โครงการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรีประจำปี 2568 ถือเป็นสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพที่สำคัญสำหรับประชาชน 7 กลุ่มเสี่ยง การเข้ารับวัคซีนไม่เพียงแต่เป็นการป้องกันตนเองจากโรครุนแรง แต่ยังเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมโดยช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อและลดภาระของระบบสาธารณสุขอีกด้วย
ดังนั้น จึงขอเชิญชวนให้ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง รวมถึงผู้ดูแลและบุคคลใกล้ชิด ตรวจสอบสิทธิ์และเข้ารับบริการฉีดวัคซีนได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม ถึง 31 สิงหาคม 2568 ณ สถานพยาบาลใกล้บ้าน นอกจากนี้ การดูแลสุขภาพพื้นฐาน เช่น การสวมหน้ากากอนามัยในที่แออัด การล้างมือบ่อยๆ การรักษาร่างกายให้อบอุ่น และการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ก็ยังคงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้ทุกคนมีสุขภาพที่แข็งแรงและผ่านพ้นช่วงฤดูหนาวนี้ไปได้อย่างปลอดภัย