โค้งสุดท้ายลดหย่อนภาษี 68: ซื้อ RMF/SSF ตัวไหนดี?
- ทำไมการวางแผนภาษีช่วงท้ายปีจึงสำคัญ?
- กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF): ทางเลือกการลงทุนระยะกลางเพื่อลดหย่อนภาษี
- กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF): เครื่องมือสร้างความมั่นคงเพื่อการเกษียณ
- เปรียบเทียบความแตกต่าง: SSF vs RMF เลือกกองทุนไหนให้ลงตัว
- สิทธิประโยชน์เพิ่มเติม: Easy E-Receipt ตัวช่วยลดหย่อนภาษีที่ไม่ควรมองข้าม
- ปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจลงทุน
- บทสรุป: แนวทางการตัดสินใจเลือกกองทุนเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษีสูงสุด
เมื่อเข้าสู่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 คำถามที่สำคัญสำหรับผู้มีเงินได้บุคคลธรรมดาคือการเตรียมความพร้อมสำหรับ **โค้งสุดท้ายลดหย่อนภาษี 68: ซื้อ RMF/SSF ตัวไหนดี?** การวางแผนภาษีอย่างมีประสิทธิภาพไม่เพียงแต่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย แต่ยังเป็นโอกาสในการสร้างความมั่งคั่งในระยะยาวผ่านเครื่องมือการลงทุนที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีควบคู่กันไป โดยกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ถือเป็นสองทางเลือกหลักที่ได้รับความนิยมอย่างสูง
- การวางแผนภาษีในช่วงท้ายปีเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้มีเงินได้เพื่อบริหารจัดการการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ
- SSF และ RMF คือเครื่องมือการลงทุนหลักที่ให้สิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี แต่มีเงื่อนไขและวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน
- SSF เหมาะสำหรับการลงทุนระยะกลาง ในขณะที่ RMF เน้นการวางแผนเพื่อการเกษียณในระยะยาว
- การเลือกกองทุนที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับเป้าหมายทางการเงิน ระดับรายได้ และความสามารถในการรับความเสี่ยงของแต่ละบุคคล
- นอกจากการลงทุนในกองทุนแล้ว ยังมีสิทธิประโยชน์อื่น ๆ เช่น Easy E-Receipt ที่สามารถนำมาใช้ลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมได้
ทำไมการวางแผนภาษีช่วงท้ายปีจึงสำคัญ?
การยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นหน้าที่ตามกฎหมายของผู้มีรายได้ทุกคน การวางแผนภาษีจึงเป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยให้สามารถบริหารจัดการภาระภาษีได้อย่างถูกต้องและเต็มประสิทธิภาพ ช่วงเวลาปลายปีถือเป็นโอกาสสุดท้ายในการพิจารณาและเลือกใช้สิทธิลดหย่อนต่าง ๆ ที่ภาครัฐกำหนด เพื่อให้จำนวนเงินภาษีที่ต้องชำระลดลง หรือในบางกรณีอาจได้รับเงินคืนภาษี ซึ่งเงินส่วนนี้สามารถนำไปต่อยอดการลงทุนหรือใช้จ่ายเพื่อเป้าหมายอื่น ๆ ได้
สำหรับกลุ่มมนุษย์เงินเดือนและผู้ประกอบอาชีพอิสระ การวางแผนภาษีมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากรายได้ที่เกิดขึ้นตลอดทั้งปีจะถูกนำมาคำนวณภาษีในอัตราก้าวหน้า ซึ่งหมายความว่ายิ่งมีรายได้สูง อัตราภาษีที่ต้องชำระก็จะยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย ดังนั้น การใช้เครื่องมือลดหย่อนภาษี เช่น กองทุนรวม SSF และ RMF จึงเปรียบเสมือนกลยุทธ์ทางการเงินที่ชาญฉลาด เพราะไม่เพียงช่วยประหยัดภาษีในปัจจุบัน แต่ยังเป็นการสร้างวินัยการออมและการลงทุนเพื่อความมั่นคงทางการเงินในอนาคต การดำเนินการในช่วงโค้งสุดท้ายของปีจึงเป็นการทบทวนและตัดสินใจเลือกทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดก่อนที่โอกาสในการใช้สิทธิ์ของปีภาษีนั้น ๆ จะสิ้นสุดลง
กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF): ทางเลือกการลงทุนระยะกลางเพื่อลดหย่อนภาษี
กองทุนรวมเพื่อการออม หรือ Super Savings Fund (SSF) เป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ถูกออกแบบมาเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาวควบคู่ไปกับการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี จัดเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเป้าหมายทางการเงินในระยะปานกลางและต้องการลดหย่อนภาษีไปพร้อมกัน
เจาะลึกแนวคิดและลักษณะของ SSF
SSF เป็นกองทุนรวมประเภทหนึ่งที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนในสินทรัพย์ได้หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นหุ้น ตราสารหนี้ หรือสินทรัพย์ทางเลือกอื่น ๆ ทั้งในและต่างประเทศ ขึ้นอยู่กับนโยบายการลงทุนของแต่ละกองทุน สิ่งนี้ทำให้นักลงทุนสามารถเลือกกองทุน SSF ที่มีระดับความเสี่ยงสอดคล้องกับความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงของตนเองได้ หัวใจสำคัญของ SSF คือการเป็นเครื่องมือที่เชื่อมโยงระหว่างการออมเพื่อเป้าหมายในอนาคตกับการบริหารจัดการภาษีในปัจจุบัน โดยมีเงื่อนไขด้านระยะเวลาการถือครองเป็นข้อกำหนดหลักเพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างครบถ้วน
เงื่อนไขและสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ต้องรู้
สิทธิประโยชน์ทางภาษีของ SSF ถือเป็นจุดเด่นที่สำคัญ ผู้ลงทุนสามารถนำจำนวนเงินที่ลงทุนในกองทุน SSF มาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ต้องไม่เกิน 200,000 บาทต่อปีภาษี อย่างไรก็ตาม วงเงินนี้เมื่อรวมกับสิทธิลดหย่อนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ (เช่น RMF, กบข., กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ) จะต้องไม่เกิน 500,000 บาท
ในด้านเงื่อนไขการลงทุน เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างสมบูรณ์ ผู้ลงทุนจะต้องถือครองหน่วยลงทุนเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 1 ปีปฏิทินนับจากวันที่ซื้อ การขายคืนหน่วยลงทุนก่อนครบกำหนดระยะเวลาดังกล่าวจะส่งผลให้ผู้ลงทุนต้องคืนเงินภาษีที่เคยได้รับลดหย่อนไปพร้อมกับเงินเพิ่มตามที่กฎหมายกำหนด ดังนั้น การวางแผนสภาพคล่องทางการเงินจึงเป็นสิ่งสำคัญก่อนตัดสินใจลงทุนใน SSF
SSF เหมาะกับนักลงทุนกลุ่มใด?
จากเงื่อนไขและลักษณะของกองทุน SSF สามารถสรุปได้ว่ากองทุนประเภทนี้เหมาะสำหรับนักลงทุนกลุ่มต่อไปนี้:
- ผู้ที่ต้องการลดหย่อนภาษีแต่ไม่ต้องการลงทุนระยะยาวมาก: ด้วยเงื่อนไขการถือครองที่สั้นกว่า RMF ทำให้ SSF ตอบโจทย์ผู้ที่อาจมีความจำเป็นต้องใช้เงินในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
- ผู้เริ่มต้นวางแผนภาษี: สำหรับกลุ่มคนเริ่มทำงานหรือผู้ที่มีฐานภาษียังไม่สูงมาก การลงทุนใน SSF เพื่อใช้สิทธิ์ลดหย่อนสูงสุด 200,000 บาท อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการเรียนรู้เรื่องการลงทุนและบริหารภาษี
- นักลงทุนที่ใช้สิทธิ์ลดหย่อนอื่น ๆ ใกล้เต็มเพดาน: สำหรับผู้ที่ลงทุนใน RMF หรือมีเงินสะสมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจนใกล้เต็มเพดาน 500,000 บาทแล้ว ยังสามารถใช้สิทธิ์ของ SSF เพิ่มเติมได้อีกสูงสุด 200,000 บาท (โดยต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไข 30% ของรายได้)
กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF): เครื่องมือสร้างความมั่นคงเพื่อการเกษียณ
กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ Retirement Mutual Fund (RMF) เป็นเครื่องมือทางการเงินที่ถูกสร้างขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมการออมและการลงทุนในระยะยาว สำหรับการวางแผนทางการเงินเพื่อใช้ในวัยเกษียณโดยเฉพาะ โดยภาครัฐได้ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อเป็นแรงจูงใจ
ทำความเข้าใจ RMF เพื่อการวางแผนระยะยาว
หัวใจของ RMF คือการสร้างวินัยการลงทุนอย่างสม่ำเสมอเพื่อเป้าหมายที่อยู่ห่างไกลในอนาคต นั่นคือการมีเงินทุนเพียงพอสำหรับใช้จ่ายหลังเกษียณอายุการทำงาน กองทุน RMF มีนโยบายการลงทุนที่หลากหลายเช่นเดียวกับ SSF ทำให้นักลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยงและเลือกรูปแบบการลงทุนที่เหมาะสมกับตนเองได้ ตั้งแต่กองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำอย่างกองทุนตราสารหนี้ ไปจนถึงกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงอย่างกองทุนหุ้น การลงทุนใน RMF จึงไม่ใช่แค่การลดหย่อนภาษี แต่เป็นการเดินทางทางการเงินระยะยาวที่ต้องอาศัยความเข้าใจและความสม่ำเสมอเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่วางไว้
สิทธิประโยชน์ทางภาษีและข้อกำหนดการลงทุน
RMF มอบสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่สูงกว่า SSF โดยผู้ลงทุนสามารถนำเงินลงทุนมาหักลดหย่อนได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ต้องไม่เกิน 500,000 บาทต่อปีภาษี อย่างไรก็ตาม วงเงิน 500,000 บาทนี้จะต้องนับรวมกับการออมเพื่อการเกษียณอื่น ๆ ด้วย เช่น กองทุน SSF, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กบข., และเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ
การลงทุนใน RMF จำเป็นต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขอย่างเคร่งครัดเพื่อรักษาสิทธิประโยชน์ทางภาษี ซึ่งรวมถึงการลงทุนต่อเนื่อง และการถือครองหน่วยลงทุนจนกว่าจะเข้าเกณฑ์ที่กำหนด
เงื่อนไขสำคัญของการลงทุนใน RMF คือ ผู้ลงทุนจะต้องลงทุนต่อเนื่องอย่างน้อยปีเว้นปี และต้องถือครองหน่วยลงทุนไว้เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปีนับตั้งแต่วันที่ซื้อครั้งแรก และจะสามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้โดยไม่ผิดเงื่อนไขเมื่อผู้ลงทุนมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์แล้วเท่านั้น การไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่งอาจนำไปสู่การถูกเรียกคืนภาษีย้อนหลังได้
RMF ตอบโจทย์นักลงทุนแบบไหน?
ด้วยเป้าหมายและเงื่อนไขที่ชัดเจน RMF จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนกลุ่มต่อไปนี้:
- ผู้ที่ต้องการวางแผนเกษียณอย่างจริงจัง: กลุ่มคนที่ตระหนักถึงความสำคัญของการออมเงินเพื่อใช้ในวัยหลังเกษียณ และมองหาเครื่องมือที่ช่วยสร้างวินัยการลงทุนในระยะยาว
- ผู้มีรายได้สูงและมีภาระภาษีสูง: ด้วยเพดานการลดหย่อนที่สูงถึง 500,000 บาท RMF จึงเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสำหรับผู้ที่อยู่ในฐานภาษีสูง ๆ เพื่อบริหารจัดการภาษีให้เกิดประโยชน์สูงสุด
- ผู้ที่ไม่มีสวัสดิการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ: สำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระหรือพนักงานในบริษัทที่ไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ RMF ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างหลักประกันทางการเงินสำหรับวัยเกษียณด้วยตนเอง
เปรียบเทียบความแตกต่าง: SSF vs RMF เลือกกองทุนไหนให้ลงตัว
การตัดสินใจเลือกระหว่างกองทุน SSF และ RMF จำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจในความแตกต่างของเงื่อนไขและวัตถุประสงค์ของแต่ละกองทุน เพื่อให้สามารถเลือกเครื่องมือที่สอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงินส่วนบุคคลได้ดีที่สุด ตารางเปรียบเทียบต่อไปนี้จะช่วยสรุปประเด็นสำคัญเพื่อให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
ประเด็นเปรียบเทียบ | กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) | กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) |
---|---|---|
วัตถุประสงค์หลัก | ส่งเสริมการออมระยะกลางถึงยาว | ส่งเสริมการออมระยะยาวเพื่อการเกษียณ |
วงเงินลดหย่อนภาษี | สูงสุด 30% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท | สูงสุด 30% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 500,000 บาท |
เพดานลดหย่อนรวม | วงเงิน 200,000 บาทนี้เป็นสิทธิแยกต่างหาก แต่เมื่อรวมกับกลุ่มการออมเพื่อเกษียณทั้งหมดต้องไม่เกิน 500,000 บาท | วงเงิน 500,000 บาทนี้ต้องนับรวมกับ SSF, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กบข., และประกันบำนาญ |
ระยะเวลาถือครอง | ต้องลงทุนอย่างน้อย 1 ปีปฏิทิน | ลงทุนอย่างน้อย 5 ปี และต้องมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ |
ความต่อเนื่องในการลงทุน | ไม่บังคับ สามารถลงทุนปีไหนก็ได้ | ต้องลงทุนต่อเนื่อง (อย่างน้อยปีเว้นปี) |
กลุ่มนักลงทุนที่เหมาะสม | ผู้ที่ต้องการลดหย่อนภาษีในระยะสั้น-กลาง, ผู้เริ่มต้นวางแผนภาษี | ผู้ที่ต้องการวางแผนเกษียณระยะยาว, ผู้มีรายได้สูง |
สิทธิประโยชน์เพิ่มเติม: Easy E-Receipt ตัวช่วยลดหย่อนภาษีที่ไม่ควรมองข้าม
นอกเหนือจากการลงทุนในกองทุนรวมแล้ว ในปีภาษี 2568 ยังมีอีกหนึ่งเครื่องมือที่ช่วยลดหย่อนภาษีได้ นั่นคือโครงการ Easy E-Receipt ซึ่งเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่มอบสิทธิประโยชน์ให้กับผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาผ่านการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
Easy E-Receipt คืออะไร?
Easy E-Receipt เป็นโครงการที่อนุญาตให้ผู้เสียภาษีสามารถนำค่าใช้จ่ายจากการซื้อสินค้าและบริการจากผู้ประกอบการที่จดทะเบียนในระบบภาษีมูลค่าเพิ่มและสามารถออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (E-Tax Invoice) หรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (E-Receipt) มาหักลดหย่อนภาษีได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่สูงสุดไม่เกิน 50,000 บาท โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนและร้านค้าเข้าสู่ระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น พร้อมทั้งกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ
เงื่อนไขการใช้สิทธิ์และสินค้าที่เข้าร่วมโครงการ
เพื่อที่จะใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีจากโครงการ Easy E-Receipt ผู้เสียภาษีจะต้องตรวจสอบเงื่อนไขสำคัญดังต่อไปนี้:
- ช่วงเวลาการใช้จ่าย: การซื้อสินค้าหรือบริการจะต้องเกิดขึ้นภายในช่วงเวลาที่ภาครัฐกำหนดสำหรับปีภาษี 2568 เท่านั้น โดยวันสุดท้ายในการใช้สิทธิ์คือวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568
- หลักฐานการใช้จ่าย: จะต้องได้รับใบกำกับภาษีในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-Tax Invoice & E-Receipt) จากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการเท่านั้น ใบกำกับภาษีรูปแบบกระดาษทั่วไปไม่สามารถนำมาใช้ลดหย่อนได้
- สินค้าและบริการที่เข้าร่วม: โครงการครอบคลุมสินค้าและบริการส่วนใหญ่ที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น ค่าอาหารและเครื่องดื่มในร้านอาหาร, ค่าซื้อของในห้างสรรพสินค้า, ค่าซ่อมรถยนต์, ค่าที่พักโรงแรม หรือแม้กระทั่งทองรูปพรรณ (เฉพาะค่ากำเหน็จ) อย่างไรก็ตาม มีสินค้าและบริการบางประเภทที่ไม่เข้าร่วมโครงการ เช่น สุรา, ยาสูบ, ค่าน้ำมัน, ค่าสาธารณูปโภค เป็นต้น ดังนั้น ผู้ใช้สิทธิ์ควรตรวจสอบกับร้านค้าก่อนตัดสินใจซื้อทุกครั้ง
ปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจลงทุน
การตัดสินใจเลือกซื้อกองทุน SSF หรือ RMF ไม่ควรพิจารณาจากสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพียงอย่างเดียว แต่ต้องคำนึงถึงปัจจัยด้านการลงทุนอื่น ๆ ประกอบด้วย เพื่อให้แน่ใจว่าการตัดสินใจนั้นสอดคล้องกับเป้าหมายและความเสี่ยงที่ยอมรับได้
การประเมินระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
กองทุน SSF และ RMF มีนโยบายการลงทุนที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ระดับความเสี่ยงต่ำไปจนถึงสูงมาก นักลงทุนควรเริ่มต้นจากการทำแบบประเมินความเสี่ยง (Risk Profile) เพื่อทำความเข้าใจว่าตนเองสามารถยอมรับความผันผวนของมูลค่าเงินลงทุนได้มากน้อยเพียงใด ผู้ที่รับความเสี่ยงได้น้อยอาจเหมาะกับกองทุนที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ ในขณะที่ผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูงและมีระยะเวลาลงทุนยาวนาน อาจพิจารณาลงทุนในกองทุนที่เน้นหุ้นเพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น
การกำหนดเป้าหมายและระยะเวลาการลงทุน
เป้าหมายทางการเงินเป็นตัวกำหนดทิศทางการลงทุน หากเป้าหมายคือการเกษียณอายุในอีก 20-30 ปีข้างหน้า RMF ถือเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมอย่างยิ่งเนื่องจากถูกออกแบบมาเพื่อการลงทุนระยะยาว แต่หากเป้าหมายคือการออมเงินเพื่อเป้าหมายอื่นในระยะ 5-10 ปี การพิจารณา SSF อาจมีความยืดหยุ่นมากกว่า การกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้สามารถเลือกประเภทกองทุนและจัดสรรเงินลงทุนได้อย่างเหมาะสม
การวิเคราะห์นโยบายการลงทุนของกองทุน
ก่อนตัดสินใจลงทุน ควรอ่านหนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญ (Fund Fact Sheet) ของกองทุนที่สนใจอย่างละเอียด เพื่อทำความเข้าใจในนโยบายการลงทุนว่ากองทุนนั้นนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใด, มีสัดส่วนการลงทุนในประเทศหรือต่างประเทศอย่างไร, มีกลยุทธ์การบริหารแบบเชิงรุก (Active Management) หรือเชิงรับ (Passive Management) และมีค่าธรรมเนียมการจัดการเท่าใด ข้อมูลเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผลตอบแทนคาดหวังในระยะยาว
บทสรุป: แนวทางการตัดสินใจเลือกกองทุนเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษีสูงสุด
การวางแผนภาษีในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2568 เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ การเลือกระหว่างกองทุน SSF และ RMF นั้นไม่มีคำตอบที่ตายตัวว่าสิ่งไหนดีที่สุด แต่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และเป้าหมายของแต่ละบุคคล หากต้องการลดหย่อนภาษีและมีเป้าหมายการลงทุนในระยะเวลาไม่นานนัก SSF อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสม ในทางกลับกัน หากมีเป้าหมายหลักคือการวางแผนเกษียณและต้องการใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีในวงเงินที่สูงขึ้น RMF คือเครื่องมือที่ตอบโจทย์ได้ดีกว่า
สิ่งสำคัญที่สุดคือการเริ่มต้นจากการประเมินตนเอง ทั้งในด้านรายได้ ภาระภาษี เป้าหมายทางการเงิน และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ จากนั้นจึงศึกษาข้อมูลของแต่ละกองทุนอย่างละเอียดเพื่อประกอบการตัดสินใจ การดำเนินการวางแผนและลงทุนตั้งแต่วันนี้ ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางการเงินสำหรับอนาคตอีกด้วย