SET ปลายปี 68 ไปต่อหรือพอแค่นี้? วิเคราะห์หุ้นเด่น

สารบัญ

เมื่อเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2568 คำถามสำคัญในหมู่นักลงทุนคือทิศทางของตลาดหุ้นไทยจะเป็นอย่างไร บทความนี้จะทำการวิเคราะห์แนวโน้ม SET ปลายปี 68 ไปต่อหรือพอแค่นี้? วิเคราะห์หุ้นเด่น โดยพิจารณาจากปัจจัยแวดล้อมทั้งในและต่างประเทศ พร้อมทั้งสำรวจกลุ่มอุตสาหกรรมและหุ้นรายตัวที่มีศักยภาพในการเติบโต เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนในช่วงเวลาที่ตลาดมีความผันผวนสูง

  • แนวโน้มการฟื้นตัว: ดัชนีหุ้นไทย (SET Index) มีแนวโน้มฟื้นตัวในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 โดยมีเป้าหมายดัชนีที่ประเมินไว้ในช่วง 1,280 ถึง 1,660 จุด ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาวะเศรษฐกิจและการลงทุน
  • ปัจจัยหนุนและปัจจัยเสี่ยง: ตลาดได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและเงินทุนไหลเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่ แต่ยังคงเผชิญความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางการเมือง หนี้ครัวเรือน และภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว
  • หุ้นกลุ่มเด่น: กลุ่มหุ้นที่เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลก (Global Play) และกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการบริโภคและการลงทุนในประเทศเป็นกลุ่มที่น่าจับตาเป็นพิเศษ
  • ความสำคัญของปัจจัยพื้นฐาน: ในภาวะตลาดผันผวน การเลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งและอยู่ในกลุ่มธุรกิจที่รองรับการเติบโตของเศรษฐกิจเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญ

ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2568

ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ SET Index ตลอดปี 2568 ที่ผ่านมาได้เผชิญกับความท้าทายและความผันผวนจากหลากหลายปัจจัย ทำให้การคาดการณ์ทิศทางในช่วงปลายปีมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนทุกระดับ สถานการณ์นี้เกิดขึ้นท่ามกลางบริบทของเศรษฐกิจโลกที่ยังคงเปราะบางและปัจจัยภายในประเทศที่กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความเชื่อมั่นและกระแสเงินทุนที่ไหลเข้าสู่ตลาด

ความสำคัญของการวิเคราะห์แนวโน้มตลาดในช่วงนี้อยู่ที่การเตรียมความพร้อมเพื่อปรับกลยุทธ์การลงทุนให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดที่อาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา นักลงทุนจำเป็นต้องทำความเข้าใจถึงแรงขับเคลื่อนหลักและปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อมูลค่าของสินทรัพย์ เพื่อแสวงหาโอกาสในการสร้างผลตอบแทนและบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ การประเมินว่าตลาดจะ “ไปต่อหรือพอแค่นี้” จึงไม่ใช่เพียงการคาดเดา แต่เป็นการวิเคราะห์บนพื้นฐานของข้อมูลที่เป็นรูปธรรม เพื่อหาคำตอบว่ากลุ่มอุตสาหกรรมใดจะมีศักยภาพในการเติบโต และหุ้นตัวใดที่น่าสนใจท่ามกลางสภาวะการณ์ปัจจุบัน

ปัจจัยขับเคลื่อนและความเสี่ยงที่ต้องจับตา

ทิศทางของ ดัชนีหุ้นไทย ในช่วงปลายปี 2568 ถูกกำหนดโดยการต่อสู้ระหว่างปัจจัยบวกที่สร้างความหวังในการฟื้นตัว และปัจจัยลบที่ยังคงเป็นแรงกดดัน การทำความเข้าใจองค์ประกอบเหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนมองเห็นภาพรวมของตลาดได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ปัจจัยบวก: แรงหนุนจากเศรษฐกิจและเงินทุนไหลเข้า

หนึ่งในปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญคือการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยอาจผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาสที่ 3 และกำลังจะเริ่มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปในไตรมาสที่ 4 การฟื้นตัวนี้ได้รับอานิสงส์จากการกลับมาของภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกในบางกลุ่มสินค้า นอกจากนี้ ปัจจัยภายนอกอย่างแนวโน้มการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ยังเป็นอีกหนึ่งแรงหนุนสำคัญ เนื่องจากทำให้สินทรัพย์ในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียมีความน่าสนใจมากขึ้น ส่งผลให้มีโอกาสที่กระแสเงินทุนจากต่างประเทศ (Fund Flow) จะไหลกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง ดังที่เคยปรากฏให้เห็นในช่วงเดือนกรกฎาคมที่นักลงทุนต่างชาติกลับมามียอดซื้อสุทธิ ซึ่งเป็นสัญญาณบวกต่อเสถียรภาพของตลาดในระยะสั้น

ปัจจัยลบ: ความท้าทายทั้งในและต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ปัจจัยภายนอกที่น่ากังวลคือความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจทวีความรุนแรงขึ้น รวมถึงนโยบายกีดกันทางการค้า เช่น ภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยโดยตรง

สำหรับปัจจัยภายในประเทศ ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงยังคงเป็นแรงกดดันสำคัญต่อกำลังซื้อและการบริโภคภายในประเทศ ขณะที่ความไม่แน่นอนทางการเมืองและการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่อาจมีความล่าช้าหรือไม่ต่อเนื่อง ก็เป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงที่ทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นและอาจชะลอการลงทุนเพื่อรอดูความชัดเจนของนโยบายต่างๆ

สถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยในช่วงปลายปี 2568 เปรียบเสมือนการชั่งน้ำหนักระหว่างความหวังในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และความกังวลต่อความเสี่ยงที่ยังคงอยู่ ซึ่งการบริหารจัดการปัจจัยภายในประเทศให้มีเสถียรภาพจะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกันต่อความผันผวนจากภายนอก

คาดการณ์เป้าหมายดัชนี SET Index ปลายปี 2568

คาดการณ์เป้าหมายดัชนี SET Index ปลายปี 2568

จากปัจจัยบวกและลบที่กล่าวมาข้างต้น มุมมองของนักวิเคราะห์จากสถาบันการเงินต่างๆ ได้ประเมินเป้าหมายของ SET Index ณ สิ้นปี 2568 ไว้แตกต่างกันไป สะท้อนให้เห็นถึงความไม่แน่นอนที่ตลาดยังคงต้องเผชิญ อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์เหล่านี้สามารถใช้เป็นกรอบอ้างอิงเพื่อประเมินสถานการณ์ที่เป็นไปได้

มุมมองหนึ่งคาดการณ์ว่าดัชนีมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปทดสอบระดับประมาณ 1,280 จุด ในช่วงไตรมาสที่ 4 ซึ่งเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยหลังผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาสที่ 3 ขณะที่อีกมุมมองหนึ่งมีความเชื่อมั่นมากกว่า โดยประเมินว่าดัชนีอาจไปได้ถึงระดับ 1,660 จุด หากเศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ 3% และได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงการลงทุนของทั้งภาครัฐและเอกชนที่กลับมาคึกคักอีกครั้ง

ตารางสรุปมุมมองการคาดการณ์เป้าหมายดัชนี SET Index ปลายปี 2568 จากนักวิเคราะห์
ช่วงเวลาที่คาดการณ์ เป้าหมายดัชนี SET Index ปัจจัยสนับสนุนหลัก
ปลายปี 2568 (ไตรมาส 4) 1,280 จุด (มุมมอง บล.บัวหลวง) การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย, กลุ่ม Global Play, ความผันผวนทางการเมืองและเศรษฐกิจโลกเป็นตัวแปร
สิ้นปี 2568 1,660 จุด (มุมมอง บล.กรุงศรี) การเติบโตเศรษฐกิจไทย 3%, มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ, การลงทุนภาครัฐ-เอกชน

ความแตกต่างของเป้าหมายดัชนีสะท้อนให้เห็นว่าการฟื้นตัวของตลาดยังมีความเปราะบางและขึ้นอยู่กับหลายเงื่อนไข นักลงทุนจึงควรติดตามข้อมูลเศรษฐกิจและการดำเนินนโยบายของภาครัฐอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินความเป็นไปได้ของแต่ละสถานการณ์

เจาะลึกหุ้นกลุ่มเด่นที่น่าจับตามอง

ท่ามกลางความผันผวนของตลาดโดยรวม การเลือกลงทุนหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในการเติบโตถือเป็นหัวใจสำคัญ นักวิเคราะห์ได้ชี้เป้าไปยังกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะสามารถสร้างผลการดำเนินงานที่โดดเด่นได้ในช่วงที่เหลือของปี 2568

กลุ่มหุ้น Global Play: ผู้นำตลาดท่ามกลางเศรษฐกิจโลก

กลุ่มหุ้น Global Play หรือหุ้นที่ธุรกิจมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับเศรษฐกิจโลก ถูกมองว่าจะเป็นผู้นำตลาดในช่วงนี้ เนื่องจากได้รับประโยชน์จากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในหลายประเทศและค่าเงินบาทที่อาจเอื้ออำนวยต่อการส่งออก หุ้นในกลุ่มนี้มักจะอยู่ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี, ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, และสินค้าเกษตรแปรรูป ซึ่งเป็นภาคส่วนที่มีความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก การเติบโตของหุ้นกลุ่มนี้จึงมักจะสอดคล้องไปกับทิศทางของอุปสงค์ในตลาดสากลเป็นหลัก

หุ้นเด่นจากมุมมองนักวิเคราะห์

นอกเหนือจากกลุ่ม Global Play นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ และ กรุงศรี ได้คัดเลือกหุ้นเด่นที่น่าสนใจหลายตัว โดยแบ่งออกเป็นสองกลุ่มหลัก ได้แก่:

  • กลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ (Large Cap): หุ้นในกลุ่มนี้มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและมักเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมของตนเอง ได้แก่ ADVANC, AWC, BJC, BTS, CPALL, HMPRO, IVL, KBANK, KTB, และ TRUE หุ้นเหล่านี้คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ รวมถึงการขยายตัวของเศรษฐกิจในภาพรวม
  • กลุ่มหุ้นขนาดเล็ก (Small Cap): หุ้นขนาดเล็กบางตัวมีศักยภาพในการเติบโตสูงและได้รับประโยชน์จากแนวโน้มเฉพาะทาง เช่น INSET, JMT, MALEE, และ MOSHI ซึ่งคาดว่าจะเติบโตได้ดีจากการขยายตัวของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคและไลฟ์สไตล์ของผู้คนในประเทศ

ความสำคัญของปัจจัยในประเทศในฐานะภูมิคุ้มกัน

แม้ว่าปัจจัยจากเศรษฐกิจโลกจะมีความสำคัญ แต่ปัจจัยภายในประเทศยังคงเป็น “ภูมิคุ้มกัน” ที่สำคัญที่สุดในการช่วยลดทอนความผันผวนจากภายนอกและสนับสนุนการเติบโตในระยะยาว การบริโภคที่แข็งแกร่ง, การลงทุนของภาคเอกชน, และความต่อเนื่องของโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ล้วนเป็นองค์ประกอบที่จะช่วยสร้างเสถียรภาพให้กับตลาดหุ้นไทย ดังนั้น หุ้นที่ธุรกิจพึ่งพิงอุปสงค์ในประเทศเป็นหลักจึงยังคงมีความน่าสนใจและอาจเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าในยามที่เศรษฐกิจโลกยังไม่มีความแน่นอน

บทสรุปและข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์สำหรับนักลงทุน

โดยสรุปแล้ว แนวโน้ม SET ปลายปี 68 ยังคงมีโอกาสที่จะ “ไปต่อ” ได้ แต่เส้นทางสู่การฟื้นตัวนั้นเต็มไปด้วยความท้าทายและความไม่แน่นอน ดัชนีมีโอกาสปรับตัวขึ้นจากแรงหนุนของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในประเทศและกระแสเงินทุนที่อาจไหลกลับเข้ามา แต่ยังคงต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ปัญหาหนี้ครัวเรือน และความไม่แน่นอนทางการเมือง

ในสภาวะเช่นนี้ กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมคือการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและให้ความสำคัญกับการคัดเลือกหลักทรัพย์เป็นรายตัว (Stock Selection) นักลงทุนควรพิจารณาลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง มีฐานะการเงินที่มั่นคง และอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่สามารถเติบโตได้ทั้งในสภาวะเศรษฐกิจที่พึ่งพิงปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก การกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนและการมีมุมมองการลงทุนระยะกลางถึงยาว จะช่วยให้นักลงทุนสามารถรับมือกับความผันผวนและสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจได้ในระยะยาว