เงินดิจิทัล 10,000 บาท! อัปเดตเงื่อนไขล่าสุด-ใครได้บ้าง?

สารบัญ

โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐกำลังเป็นที่จับตามองอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะนโยบาย เงินดิจิทัล 10,000 บาท! อัปเดตเงื่อนไขล่าสุด-ใครได้บ้าง? ซึ่งเป็นมาตรการที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มกำลังซื้อและกระจายรายได้สู่ชุมชนท้องถิ่น การทำความเข้าใจในเงื่อนไขและข้อกำหนดล่าสุดจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับประชาชนที่ต้องการตรวจสอบสิทธิ์และเตรียมความพร้อมในการเข้าร่วมโครงการ

สรุปประเด็นสำคัญของโครงการ

  • คุณสมบัติผู้รับสิทธิ์: ผู้เข้าร่วมโครงการต้องมีอายุ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป มีสัญชาติไทย และมีรายได้ไม่เกิน 840,000 บาทต่อปี รวมถึงมีเงินฝากในบัญชีทุกประเภทรวมกันไม่เกิน 500,000 บาท
  • เงื่อนไขการใช้จ่าย: สามารถใช้จ่ายได้กับร้านค้าขนาดเล็กที่จดทะเบียนในระบบภาษีภายในพื้นที่ระดับอำเภอตามที่ระบุในบัตรประชาชนเท่านั้น
  • ข้อจำกัดสินค้าและบริการ: ไม่สามารถใช้ชำระค่าสินค้าอบายมุข เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ รวมถึงน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าบริการต่างๆ และไม่สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินสดได้
  • ช่วงเวลาลงทะเบียน: การลงทะเบียนสำหรับประชาชนทั่วไปจะเปิดผ่านแอปพลิเคชันของรัฐจนถึงวันที่ 15 กันยายน 2567 และจะมีการประกาศผลผู้ได้รับสิทธิ์ในวันที่ 22 กันยายน 2567
  • วัตถุประสงค์โครงการ: เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก บรรเทาภาระค่าครองชีพ และส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมไร้เงินสด (Cashless Society) อย่างเป็นรูปธรรม

โครงการ Digital Wallet 10,000 บาท เป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่มุ่งหวังจะอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยตรง เพื่อบรรเทาผลกระทบจากภาวะค่าครองชีพที่สูงขึ้นและกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ มาตรการนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้เงินหมุนเวียนในระดับท้องถิ่น โดยกำหนดให้ใช้จ่ายกับร้านค้าขนาดเล็ก ซึ่งจะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้แก่ผู้ประกอบการรายย่อยและกระจายรายได้ไปสู่ชุมชนอย่างทั่วถึง การทำความเข้าใจในรายละเอียดและเงื่อนไขต่างๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับประชาชนทุกคนที่อยู่ในเกณฑ์ เพื่อให้สามารถใช้สิทธิ์ได้อย่างถูกต้องและเกิดประโยชน์สูงสุดตามเจตนารมณ์ของโครงการ

ภาพรวมโครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท

โครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท หรือที่รู้จักในชื่อ Digital Wallet เป็นหนึ่งในนโยบายเรือธงของรัฐบาลชุดปัจจุบันที่ต้องการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้องและเพิ่มสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเครื่องมือในการกระจายเม็ดเงินไปยังประชาชนกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว

ที่มาและวัตถุประสงค์หลัก

ที่มาของโครงการนี้เกิดจากความต้องการที่จะสร้าง “พายุหมุนทางเศรษฐกิจ” โดยการเพิ่มกำลังซื้อให้กับประชาชนจำนวนมากในระยะเวลาอันสั้น เพื่อให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยและส่งผลให้เม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจหลายรอบ วัตถุประสงค์หลักของโครงการสามารถสรุปได้ดังนี้:

  1. การกระตุ้นเศรษฐกิจ: เป้าหมายสำคัญที่สุดคือการกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศให้ฟื้นตัว โดยคาดหวังว่าเมื่อประชาชนมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น จะนำไปสู่การบริโภคที่มากขึ้น ส่งผลดีต่อภาคการผลิต การจ้างงาน และรายได้ของผู้ประกอบการในภาพรวม
  2. การบรรเทาภาระค่าครองชีพ: ในสภาวะที่ค่าครองชีพปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เงินจำนวน 10,000 บาทนี้จะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของประชาชนที่เข้าเกณฑ์ได้เป็นอย่างดี
  3. การส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่น: การจำกัดพื้นที่การใช้จ่ายให้อยู่ในระดับอำเภอตามทะเบียนบ้าน และจำกัดประเภทของร้านค้าที่เข้าร่วมเฉพาะร้านค้าขนาดเล็ก เป็นกลยุทธ์ที่ต้องการให้เงินสะพัดอยู่ในชุมชนและช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยโดยตรง
  4. การผลักดันสังคมไร้เงินสด: โครงการนี้เป็นแรงผลักดันสำคัญให้ประชาชนและร้านค้าหันมาใช้จ่ายผ่านระบบดิจิทัลมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ

กลุ่มเป้าหมายของโครงการ

กลุ่มเป้าหมายหลักของโครงการคือประชาชนชาวไทยที่มีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งรัฐบาลได้พิจารณาคัดกรองจากข้อมูลรายได้และเงินฝาก เพื่อให้ความช่วยเหลือมุ่งตรงไปยังกลุ่มผู้ที่มีความจำเป็นและได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจมากกว่ากลุ่มผู้มีรายได้สูง การกำหนดเกณฑ์รายได้ไม่เกิน 840,000 บาทต่อปี และเงินฝากไม่เกิน 500,000 บาท เป็นการจำกัดขอบเขตเพื่อให้แน่ใจว่ามาตรการนี้จะช่วยเหลือกลุ่มคนชั้นกลางและผู้มีรายได้น้อยเป็นหลัก ซึ่งเป็นฐานประชากรส่วนใหญ่ของประเทศและเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก

คุณสมบัติผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการ

คุณสมบัติผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการ

เพื่อให้โครงการบรรลุวัตถุประสงค์และส่งมอบความช่วยเหลือไปยังกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ รัฐบาลได้กำหนดเกณฑ์คุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์รับเงินดิจิทัล 10,000 บาทไว้อย่างชัดเจน โดยพิจารณาจากปัจจัยด้านอายุ สัญชาติ รายได้ และปริมาณเงินฝากสะสม

เกณฑ์ด้านอายุและสัญชาติ

ผู้ที่จะได้รับสิทธิ์ในโครงการนี้จะต้องมีคุณสมบัติพื้นฐานสองประการ คือ:

  • สัญชาติไทย: ต้องเป็นบุคคลผู้ถือสัญชาติไทยและมีเลขประจำตัวประชาชน 13 หลักที่ถูกต้อง
  • อายุ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป: ณ วันที่เริ่มลงทะเบียนโครงการ ผู้ประสงค์จะรับสิทธิ์ต้องมีอายุครบ 16 ปีบริบูรณ์แล้ว การกำหนดเกณฑ์อายุนี้เพื่อให้แน่ใจว่าผู้รับสิทธิ์มีความสามารถในการทำธุรกรรมทางการเงินด้วยตนเองได้ในระดับหนึ่ง

เกณฑ์ด้านรายได้ต่อปี

เกณฑ์รายได้ถือเป็นหัวใจสำคัญในการคัดกรองผู้รับสิทธิ์ โดยกำหนดว่าผู้มีสิทธิ์ต้องมีรายได้พึงประเมินต่อปีไม่เกิน 840,000 บาท สำหรับปีภาษีล่าสุด ซึ่งเมื่อคำนวณเป็นรายได้เฉลี่ยต่อเดือนจะอยู่ที่ประมาณ 70,000 บาท การพิจารณารายได้นี้จะอ้างอิงจากฐานข้อมูลของกรมสรรพากรเป็นหลัก เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ เกณฑ์ดังกล่าวถูกออกแบบมาเพื่อคัดกรองกลุ่มผู้มีรายได้สูงออกไป ทำให้โครงการมุ่งเน้นช่วยเหลือประชาชนในกลุ่มรายได้น้อยถึงปานกลางได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เกณฑ์ด้านเงินฝากในบัญชี

นอกเหนือจากเกณฑ์รายได้แล้ว ยังมีเกณฑ์ด้านเงินฝากเพื่อประกอบการพิจารณาอีกด้วย โดยกำหนดให้ผู้มีสิทธิ์ต้องมีเงินฝากในบัญชีเงินฝากทุกประเภทรวมกันไม่เกิน 500,000 บาท ณ วันที่กำหนดโดยรัฐบาล การนับยอดเงินฝากนี้จะรวมบัญชีจากทุกสถาบันการเงิน ทั้งบัญชีออมทรัพย์, บัญชีฝากประจำ, สลากออมสิน, สลาก ธ.ก.ส. และกองทุนรวมบางประเภทที่มีสภาพคล่องสูง ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ที่มีสินทรัพย์สภาพคล่องสูงได้รับสิทธิ์ ซึ่งอาจไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของโครงการที่ต้องการช่วยเหลือผู้ที่ขาดสภาพคล่องทางการเงินเป็นหลัก

ขั้นตอนและกำหนดการลงทะเบียน

กระบวนการลงทะเบียนถูกออกแบบมาให้มีความสะดวกและเข้าถึงง่ายสำหรับประชาชนส่วนใหญ่ โดยเน้นการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน ซึ่งเป็นช่องทางที่คนไทยส่วนใหญ่คุ้นเคยจากการใช้งานแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” หรือแอปพลิเคชันอื่น ๆ ของภาครัฐ

ช่องทางการลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน

ช่องทางหลักในการลงทะเบียนคือผ่านแอปพลิเคชันของรัฐที่กำหนด ซึ่งคาดว่าจะเป็นแอปพลิเคชันที่มีฐานผู้ใช้งานจำนวนมากอยู่แล้ว เช่น แอปเป๋าตัง หรืออาจมีการพัฒนาแอปพลิเคชันขึ้นมาใหม่สำหรับโครงการนี้โดยเฉพาะ ผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการจะต้องดาวน์โหลดและติดตั้งแอปพลิเคชันดังกล่าว จากนั้นจึงดำเนินการยืนยันตัวตน (e-KYC) ด้วยบัตรประจำตัวประชาชน และกรอกข้อมูลที่จำเป็นตามขั้นตอนที่ปรากฏบนแอปพลิเคชัน สำหรับผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟนหรือประสบปัญหาในการใช้งาน อาจมีช่องทางสนับสนุนอื่น ๆ ที่จะประกาศให้ทราบต่อไป

กรอบเวลาสำคัญที่ต้องทราบ

การดำเนินการตามกรอบเวลาที่กำหนดเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสในการรับสิทธิ์ กำหนดการล่าสุดที่ประกาศออกมามีดังนี้:

  • ช่วงเวลาเปิดลงทะเบียน: เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2567 และสิ้นสุดในวันที่ 15 กันยายน 2567
  • วันประกาศผลผู้ได้รับสิทธิ์: รัฐบาลจะทำการตรวจสอบคุณสมบัติและประกาศผลผู้ที่ผ่านเกณฑ์ในวันที่ 22 กันยายน 2567

ประชาชนที่อยู่ในเกณฑ์ควรเตรียมความพร้อมด้านเอกสารและอุปกรณ์ให้เรียบร้อย และติดตามข่าวสารจากหน่วยงานภาครัฐอย่างใกล้ชิด เพื่อดำเนินการลงทะเบียนภายในช่วงเวลาดังกล่าว

เงื่อนไขการใช้จ่ายและร้านค้าที่เข้าร่วม

หนึ่งในกลไกที่สำคัญที่สุดของโครงการนี้คือการกำหนดเงื่อนไขการใช้จ่ายและประเภทของร้านค้าที่เข้าร่วม เพื่อให้แน่ใจว่าเม็ดเงินจะหมุนเวียนในเศรษฐกิจระดับฐานรากตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้

ประเภทของร้านค้าที่สามารถใช้สิทธิ์ได้

รัฐบาลได้กำหนดให้ใช้เงินดิจิทัล 10,000 บาทได้กับร้านค้าขนาดเล็กในระดับอำเภอตามที่อยู่บนบัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับสิทธิ์เท่านั้น โดยร้านค้าเหล่านี้จะต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่กำหนด คือ:

  • ต้องเป็นร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษี: ไม่ว่าจะเป็นการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT), การยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคล ซึ่งเป็นการรับรองว่าร้านค้าดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
  • ไม่เป็นร้านสะดวกซื้อขนาดใหญ่หรือไฮเปอร์มาร์เก็ต: เพื่อป้องกันไม่ให้เม็ดเงินไหลไปรวมศูนย์อยู่ที่ผู้ประกอบการรายใหญ่เพียงไม่กี่ราย และเป็นการส่งเสริมร้านค้าปลีกรายย่อยในชุมชนโดยตรง

ข้อจำกัดการถอนเงินของร้านค้า

เพื่อป้องกันการทุจริตหรือการนำเงินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ เช่น การ “แลกเป็นเงินสด” โดยไม่มีการซื้อขายสินค้าจริง โครงการได้กำหนดเงื่อนไขการถอนเงินสำหรับร้านค้าไว้อย่างรัดกุม โดยร้านค้าจะสามารถถอนเงินที่ได้รับจากโครงการออกมาเป็นเงินสดได้ก็ต่อเมื่อเกิดการใช้จ่ายตั้งแต่รอบที่สองเป็นต้นไป หมายความว่า ร้านค้าต้องนำเงินดิจิทัลที่ได้รับจากลูกค้าไปใช้จ่ายต่อกับร้านค้าอื่น ๆ ในโครงการก่อน จึงจะสามารถถอนเงินสดในรอบถัดไปได้ กลไกนี้ถูกออกแบบมาเพื่อสร้าง “พายุหมุน” ทางเศรษฐกิจให้เกิดขึ้นจริง โดยบังคับให้เงินหมุนเวียนในระบบอย่างน้อยหนึ่งรอบ

ข้อจำกัดด้านสินค้าและบริการ

นอกเหนือจากข้อจำกัดด้านร้านค้าแล้ว โครงการยังได้กำหนดประเภทของสินค้าและบริการที่ไม่สามารถใช้เงินดิจิทัล 10,000 บาทชำระได้ เพื่อให้การใช้จ่ายเป็นไปเพื่อการอุปโภคบริโภคที่จำเป็นและไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดี

รายการสินค้าและบริการที่ไม่สามารถชำระได้

รายการสินค้าและบริการที่ถูกห้ามใช้จ่ายในโครงการนี้ประกอบด้วย:

  • สินค้าอบายมุข: เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์, ผลิตภัณฑ์ยาสูบ, กัญชาและพืชกระท่อม
  • น้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติ: สำหรับยานพาหนะทุกประเภท
  • สินค้าออนไลน์: การซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซไม่สามารถใช้สิทธิ์ได้
  • การชำระค่าบริการ: ไม่สามารถนำไปชำระค่าบริการทุกชนิด เช่น ค่าโทรศัพท์, ค่าน้ำ, ค่าไฟ, ค่าเทอม, ค่าเรียนพิเศษ
  • การชำระหนี้สิน: ไม่สามารถใช้ชำระหนี้บัตรเครดิตหรือหนี้สินอื่น ๆ ได้
  • เพชร พลอย ทองคำ และอัญมณี: เพื่อป้องกันการนำไปเปลี่ยนเป็นสินทรัพย์อื่น

การห้ามแลกเปลี่ยนเป็นเงินสด

สิ่งสำคัญที่สุดที่ผู้เข้าร่วมโครงการและร้านค้าต้องตระหนักคือ เงินดิจิทัล 10,000 บาทนี้ ไม่สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินสดหรือแลกเปลี่ยนในตลาดอื่น ๆ ได้โดยตรง การกระทำดังกล่าวถือเป็นการทุจริตและผิดเงื่อนไขของโครงการ ซึ่งอาจมีผลทางกฎหมายตามมา

ข้อกำหนดเหล่านี้มีขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่าเงินจะถูกใช้ไปเพื่อการบริโภคสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีพและกระตุ้นการผลิตในภาคเศรษฐกิจจริง ไม่ใช่การนำไปใช้จ่ายในทางที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจในภาพรวม

ตารางสรุปเงื่อนไขสำคัญของโครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท อัปเดตล่าสุด ณ เดือนกันยายน 2567
รายละเอียด เงื่อนไข
อายุผู้รับสิทธิ์ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป
สัญชาติ ไทย
รายได้ต่อปี ไม่เกิน 840,000 บาท
เงินฝากในบัญชี รวมกันทุกบัญชีไม่เกิน 500,000 บาท
ร้านค้าที่รับชำระ ร้านค้าขนาดเล็กในระดับอำเภอที่อยู่ในระบบภาษี
สินค้า/บริการต้องห้าม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์, ยาสูบ, น้ำมัน, ค่าบริการ, ชำระหนี้, แลกเป็นเงินสด
ระยะเวลาลงทะเบียน ถึงวันที่ 15 กันยายน 2567
ช่องทางลงทะเบียน ผ่านแอปพลิเคชันของรัฐที่กำหนด

บทสรุปและแนวทางการเตรียมความพร้อม

โครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท! อัปเดตเงื่อนไขล่าสุด-ใครได้บ้าง? ถือเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่มีรายละเอียดและเงื่อนไขที่ซับซ้อน การทำความเข้าใจในคุณสมบัติผู้รับสิทธิ์ ขั้นตอนการลงทะเบียน และข้อจำกัดในการใช้จ่ายจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โครงการนี้ไม่เพียงแต่มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มกำลังซื้อและช่วยเหลือค่าครองชีพของประชาชนเท่านั้น แต่ยังมุ่งหวังที่จะกระจายรายได้สู่ผู้ประกอบการรายย่อยในท้องถิ่นและผลักดันให้สังคมไทยก้าวสู่การเป็นสังคมไร้เงินสดอย่างเต็มรูปแบบ

สำหรับประชาชนที่สนใจและคาดว่าตนเองมีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ที่กำหนด ควรเริ่มเตรียมความพร้อมโดยการตรวจสอบข้อมูลส่วนบุคคล เช่น สถานะรายได้และเงินฝากของตนเองให้เป็นปัจจุบัน รวมถึงเตรียมบัตรประจำตัวประชาชนและสมาร์ทโฟนให้พร้อมสำหรับการลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน การติดตามข่าวสารและประกาศอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานภาครัฐเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ไม่พลาดข้อมูลสำคัญและสามารถปฏิบัติตามขั้นตอนได้อย่างถูกต้องภายในกรอบเวลาที่กำหนดไว้ การเตรียมตัวที่ดีจะช่วยให้การเข้าร่วมโครงการเป็นไปอย่างราบรื่นและสามารถใช้สิทธิ์ได้อย่างเต็มศักยภาพตามเจตนารมณ์ของนโยบายนี้