รัฐทุ่มงบ Soft Power ล็อตใหม่! โอกาสทองหรือตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ?
ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจ รัฐบาลไทยได้ตัดสินใจเดินหน้าอัดฉีดงบประมาณล็อตใหม่จำนวนมหาศาลเพื่อขับเคลื่อนนโยบายเรือธงอย่าง Soft Power สร้างแรงกระเพื่อมและจุดประกายคำถามสำคัญในสังคมว่า การที่รัฐทุ่มงบ Soft Power ล็อตใหม่! โอกาสทองหรือตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ? การลงทุนครั้งนี้มุ่งหวังที่จะเปลี่ยนวัฒนธรรมไทยให้กลายเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจที่ทรงพลังบนเวทีโลก แต่ในขณะเดียวกันก็เผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความคุ้มค่าและความเหมาะสมในช่วงเวลาที่ภาวะเศรษฐกิจของประเทศยังคงเปราะบาง นโยบายนี้จึงกลายเป็นเดิมพันครั้งสำคัญที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด
บทสรุปประเด็นสำคัญ
- รัฐบาลทุ่มงบประมาณกว่า 5,000 ล้านบาท เพื่อผลักดันนโยบาย Soft Power ผ่าน 5 อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ อาหารไทย, มวยไทย, Thai Wellness, ภาพยนตร์ไทย และอัญมณี
- มีการจัดงานมหกรรม SPLASH – Soft Power Forum 2025 เป็นเวทีสำคัญในการแสดงศักยภาพและดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ โดยใช้งบประมาณจัดงานส่วนหนึ่งสูงถึง 55.4 ล้านบาท
- เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมในการใช้งบประมาณจำนวนมาก ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ทำให้เกิดข้อกังวลเรื่องความคุ้มค่าและประสิทธิภาพของโครงการ
- รัฐบาลยืนยันว่านโยบายนี้เป็นการลงทุนระยะยาวที่มีเป้าหมายชัดเจน สามารถวัดผลได้ และเชื่อมั่นว่าจะสร้างรายได้มหาศาลและยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศในระยะยาว
- ความสำเร็จของนโยบายขึ้นอยู่กับความสามารถในการดำเนินงานที่โปร่งใส การมีส่วนร่วมของภาคเอกชนและชุมชนอย่างแท้จริง และการสร้างผลกระทบที่ยั่งยืนมากกว่าการจัดกิจกรรมเพียงชั่วคราว
การเดิมพันครั้งใหญ่ของรัฐบาลไทยกับ Soft Power
นโยบาย Soft Power หรือ “อำนาจนุ่มนวล” ไม่ใช่แนวคิดใหม่ แต่การผลักดันอย่างจริงจังและเป็นระบบด้วยเม็ดเงินลงทุนมหาศาล ถือเป็นปรากฏการณ์ที่น่าจับตาในภูมิทัศน์เศรษฐกิจและสังคมไทยปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2568 รัฐบาลได้แสดงเจตจำนงที่ชัดเจนในการใช้วัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์เป็นเครื่องมือหลักในการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างแบรนด์ประเทศไทยให้แข็งแกร่งในเวทีโลก
หัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนครั้งนี้คือการจัดงานมหกรรมยิ่งใหญ่ระดับนานาชาติ SPLASH – Soft Power Forum 2025 ซึ่งกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8–11 กรกฎาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ งานนี้ถูกวางตำแหน่งให้เป็นเวทีที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับการแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ เจรจาธุรกิจ และจัดแสดงศักยภาพของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อดึงดูดนักลงทุนและคู่ค้าจากทั่วโลก การมีส่วนร่วมของบุคคลสำคัญระดับประเทศ ทั้งนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันและอดีตนายกรัฐมนตรีหลายยุคสมัย ยิ่งตอกย้ำถึงความสำคัญที่รัฐบาลมอบให้กับนโยบายนี้
การลงทุนครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการจัดงานอีเวนต์ แต่เป็นยุทธศาสตร์ระยะยาวที่มุ่งสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ รัฐบาลประกาศชัดเจนว่าบทบาทของตนคือการเป็นผู้สนับสนุนและผู้ประสานงาน เพื่อปลดล็อกศักยภาพของภาคเอกชนและชุมชนให้เป็นผู้นำในการขับเคลื่อนด้วยตนเอง หลีกเลี่ยงการทำงานที่ซ้ำซ้อนและสร้างกลไกที่คล่องตัว อย่างไรก็ตาม คำถามที่ว่าการที่รัฐทุ่มงบ Soft Power ล็อตใหม่! โอกาสทองหรือตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ? ยังคงเป็นประเด็นที่สังคมเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดถึงผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม
เจาะลึก 5 อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ หัวหอกขับเคลื่อน Soft Power ไทย
เพื่อให้นโยบายเกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม รัฐบาลได้คัดเลือก 5 อุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูงและเป็นที่รู้จักในระดับสากลมาเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักในการพัฒนาและส่งเสริม โดยแต่ละอุตสาหกรรมมีแผนงานและเป้าหมายที่ชัดเจน
อาหารไทย: ครัวของโลกที่มากกว่ารสชาติ
อาหารไทยเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ทางวัฒนธรรมที่แข็งแกร่งที่สุดของประเทศ แผนงานภายใต้นโยบาย Soft Power มุ่งยกระดับอาหารไทยให้ไปไกลกว่าแค่ความอร่อย โดยเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มและประสบการณ์ที่น่าจดจำ โมเดลที่ถูกนำมาใช้ประกอบด้วย:
- Thai Cuisina: การสร้างแบรนด์และมาตรฐานให้กับอาหารไทยในภาพรวม เพื่อให้เป็นที่จดจำและน่าเชื่อถือในตลาดโลก
- Thai Culinary Tourism: ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอาหาร ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางมายังประเทศไทยเพื่อสัมผัสประสบการณ์ด้านอาหารโดยเฉพาะ ตั้งแต่การเรียนทำอาหาร การทัวร์ตลาดสด ไปจนถึงการลิ้มลองอาหารท้องถิ่นในภูมิภาคต่างๆ
- มาตรฐาน Thai Select: การผลักดันและขยายการรับรองร้านอาหารไทยในต่างประเทศด้วยตราสัญลักษณ์ Thai Select เพื่อการันตีคุณภาพและรสชาติต้นตำรับ สร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคทั่วโลก
เป้าหมายคือการทำให้อาหารไทยไม่เป็นเพียงแค่อาหาร แต่เป็นสื่อกลางในการบอกเล่าเรื่องราว วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของคนไทย สร้างรายได้กลับสู่เกษตรกร ผู้ประกอบการ และห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด
มวยไทย: ศิลปะการต่อสู้สู่เวทีโลก
มวยไทยเป็นอีกหนึ่ง Soft Power ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล แผนการส่งเสริมมุ่งเน้นการขยายฐานแฟนคลับและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจจากศิลปะการต่อสู้นี้ให้มากขึ้น ผ่านโครงการต่างๆ เช่น:
- Muay Thai Bootcamp: จัดค่ายฝึกอบรมมวยไทยสำหรับชาวต่างชาติที่สนใจอย่างจริงจัง สร้างประเทศไทยให้เป็นจุดหมายปลายทางอันดับหนึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการเรียนรู้มวยไทยต้นตำรับ
- ลีกอาชีพและมาตรฐานสากล: พัฒนาการแข่งขันมวยไทยลีกอาชีพให้มีมาตรฐานระดับโลก ทั้งในด้านการจัดการแข่งขัน กฎกติกา และการถ่ายทอดสด เพื่อสร้างนักมวยไทยให้เป็นซูเปอร์สตาร์ระดับนานาชาติ และดึงดูดผู้ชมจากทั่วทุกมุมโลก
การผลักดันมวยไทยไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในเวทีการแข่งขัน แต่ยังรวมถึงการส่งเสริมสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้อง เช่น อุปกรณ์มวย เสื้อผ้าแฟชั่น และโปรแกรมออกกำลังกายที่ประยุกต์ใช้ศิลปะมวยไทย
Thai Wellness: มรดกแห่งสุขภาพและความงาม
ภูมิปัญญาด้านสุขภาพและความงามของไทย โดยเฉพาะการนวดแผนไทยและสมุนไพร เป็นที่ยอมรับในเรื่องของคุณภาพและประสิทธิผล นโยบายนี้จึงมุ่งยกระดับอุตสาหกรรม Thai Wellness ให้เป็นผู้นำตลาดโลก โดยเน้น:
- การส่งเสริมสปาและนวดไทย: สร้างมาตรฐานและแบรนด์ให้กับสปาและสถานประกอบการนวดไทย เพื่อให้เป็นบริการระดับพรีเมียมที่นักท่องเที่ยวต้องมาสัมผัส
- ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย: สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเพื่อต่อยอดผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยให้มีคุณภาพและได้รับการยอมรับในระดับสากล ทั้งในกลุ่มเครื่องสำอาง ยา และอาหารเสริม
- การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ: โปรโมตประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Medical and Wellness Hub) ที่ครบวงจร ตั้งแต่การดูแลป้องกันไปจนถึงการฟื้นฟูสุขภาพ
ภาพยนตร์ไทย: เล่าเรื่องไทยให้โลกฟัง
อุตสาหกรรมภาพยนตร์และคอนเทนต์เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการเผยแพร่วัฒนธรรมและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศ รัฐบาลจึงมุ่งสนับสนุนอุตสาหกรรมนี้อย่างเต็มที่ผ่านกลไกต่างๆ ได้แก่:
- Creative Lab: จัดตั้งพื้นที่บ่มเพาะและพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ตั้งแต่ผู้เขียนบท ผู้กำกับ ไปจนถึงทีมงานฝ่ายผลิต เพื่อยกระดับคุณภาพของผลงานให้ทัดเทียมนานาชาติ
- สิทธิประโยชน์ Cash Rebate: ดึงดูดกองถ่ายภาพยนตร์ต่างประเทศให้เข้ามาถ่ายทำในประเทศไทย ผ่านมาตรการคืนเงิน (Cash Rebate) ซึ่งจะช่วยสร้างงานและกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น อีกทั้งยังเป็นการโปรโมตสถานที่ท่องเที่ยวของไทยผ่านฉากในภาพยนตร์
- เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ: การเป็นเจ้าภาพจัดเทศกาลภาพยนตร์ระดับนานาชาติ เพื่อสร้างเวทีให้ผลงานของไทยเป็นที่รู้จัก และเป็นตลาดซื้อขายคอนเทนต์ที่สำคัญของภูมิภาค
อัญมณีและเครื่องประดับ: ความงามเลอค่าสู่ศูนย์กลางการค้าโลก
ประเทศไทยมีชื่อเสียงด้านฝีมือช่างเจียระไนและออกแบบอัญมณีมาอย่างยาวนาน นโยบาย Soft Power ตั้งเป้าหมายที่จะผลักดันให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับของโลก โดยมีเป้าหมายการส่งออกที่ทะเยอทะยานถึง 1 ล้านล้านบาทภายใน 5 ปี กลยุทธ์หลักคือการส่งเสริมทักษะฝีมือของช่างไทย การสร้างแบรนด์เครื่องประดับไทยให้เป็นที่รู้จัก และการจัดงานแสดงสินค้าอัญมณีระดับโลกเพื่อดึงดูดผู้ซื้อจากทั่วโลก
เม็ดเงินมหาศาล: เสียงสะท้อนและความท้าทาย
แม้ว่าวิสัยทัศน์และแผนงานจะดูสวยหรู แต่การทุ่มงบประมาณรวมกว่า 5,000 ล้านบาท ในการขับเคลื่อนนโยบายนี้ ได้ก่อให้เกิดคำถามและข้อวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นการจัดสรรงบประมาณสูงถึง 55.4 ล้านบาท สำหรับการจัดงานประชุมนานาชาติด้าน Soft Power เพียงงานเดียว ท่ามกลางสถานการณ์ที่ประชาชนจำนวนมากยังคงเผชิญกับปัญหาค่าครองชีพและภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
การลงทุนกว่า 5,000 ล้านบาทในนโยบาย Soft Power จึงกลายเป็นประเด็นถกเถียงสำคัญ ถึงความสมดุลระหว่างการสร้างอนาคตทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม กับความจำเป็นเร่งด่วนในการแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนในปัจจุบัน
เสียงวิจารณ์หลักๆ มุ่งไปที่ประเด็นความคุ้มค่าและความโปร่งใสในการใช้จ่ายงบประมาณ หลายฝ่ายตั้งคำถามว่าเม็ดเงินจำนวนมหาศาลนี้จะถูกนำไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนได้จริงหรือไม่ หรือจะเป็นเพียงการจัดกิจกรรมฉาบฉวยที่ไม่ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้าง นอกจากนี้ ยังมีความกังวลว่าโครงการอาจเปิดช่องให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชัน หากขาดกลไกการตรวจสอบที่เข้มแข็ง
อย่างไรก็ตาม ในมุมของภาครัฐ โดยเฉพาะอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ได้ออกมายืนยันว่านโยบาย Soft Power มีทิศทางที่ชัดเจนและสามารถวัดผลได้ รัฐบาลมองว่านี่คือการลงทุนเพื่ออนาคตที่จำเป็นต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันใหม่ๆ ให้กับประเทศ การลงทุนในวันนี้ถูกคาดหวังว่าจะสร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและสังคมกลับคืนมาอย่างมหาศาลในระยะยาว แม้ว่าผลลัพธ์อาจจะยังไม่ปรากฏชัดเจนในระยะสั้นก็ตาม
วิเคราะห์โอกาสและความเสี่ยง: เดิมพันครั้งนี้คุ้มค่าหรือไม่?
การประเมินว่านโยบาย Soft Power ครั้งนี้จะเป็น “โอกาสทอง” หรือ “ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ” จำเป็นต้องพิจารณาทั้งโอกาสและความเสี่ยงอย่างรอบด้าน
มิติการวิเคราะห์ | โอกาส (Potential Gains) | ความท้าทายและข้อวิจารณ์ (Risks & Criticisms) |
---|---|---|
ด้านเศรษฐกิจ | สร้างรายได้เข้าประเทศมหาศาลจากการส่งออกสินค้าและบริการทางวัฒนธรรม, ดึงดูดการลงทุนและการท่องเที่ยว, สร้างงานในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ | ความเสี่ยงที่ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจไม่คุ้มค่ากับงบประมาณที่ลงทุนไป, อาจเป็นการใช้งบประมาณผิดที่ผิดเวลาในช่วงที่เศรษฐกิจยังเปราะบาง |
ด้านภาพลักษณ์ประเทศ | ยกระดับแบรนด์ประเทศไทยในเวทีโลก, สร้างภาพลักษณ์เชิงบวกที่น่าดึงดูด, เพิ่มอิทธิพลและบทบาทของไทยในระดับนานาชาติ | หากการดำเนินงานล้มเหลวหรือไม่โปร่งใส อาจส่งผลกระทบทางลบต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของประเทศ |
ด้านสังคมและวัฒนธรรม | สร้างความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมของชาติ, เกิดการอนุรักษ์และต่อยอดมรดกทางวัฒนธรรม, ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ในสังคม | ความเสี่ยงในการนำเสนอวัฒนธรรมแบบฉาบฉวย ไม่ลึกซึ้ง, อาจเกิดการขัดแย้งทางความคิดเกี่ยวกับ “ความเป็นไทย” ที่ควรนำเสนอ |
ด้านการบริหารจัดการ | เกิดการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนอย่างเป็นระบบ, สร้างกลไกสนับสนุนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ที่ยั่งยืน | ปัญหาความต่อเนื่องของนโยบายหากมีการเปลี่ยนรัฐบาล, ความท้าทายด้านความโปร่งใส, และความเสี่ยงที่โครงการจะกระจุกตัวอยู่กับกลุ่มทุนใหญ่ |
บทสรุปและทิศทางในอนาคต
การที่รัฐบาลตัดสินใจทุ่มงบประมาณล็อตใหม่เพื่อผลักดันนโยบาย Soft Power ถือเป็นการเดิมพันครั้งสำคัญที่มีทั้งโอกาสและความเสี่ยงสูง ในด้านหนึ่ง นี่คือ “โอกาสทอง” ในการปลดปล่อยศักยภาพทางวัฒนธรรมของไทยให้กลายเป็นพลังขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจที่สำคัญ สามารถสร้างรายได้ ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน และเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศบนเวทีโลก แผนงานที่มุ่งเน้น 5 อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์แสดงให้เห็นถึงทิศทางที่ชัดเจนและมีความพยายามที่จะสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม
ในอีกด้านหนึ่ง การลงทุนครั้งนี้ก็อาจกลายเป็น “ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ” ได้เช่นกัน หากการบริหารจัดการขาดประสิทธิภาพ ความโปร่งใส และความต่อเนื่อง ความท้าทายที่สำคัญที่สุดคือการเปลี่ยนงบประมาณมหาศาลให้กลายเป็นการลงทุนที่สร้างผลกระทบเชิงโครงสร้างและยั่งยืน แทนที่จะเป็นการจัดกิจกรรมที่หวังผลเพียงระยะสั้น ประสิทธิผลของนโยบายนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่ลงทุนเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับความสามารถในการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อให้ความคิดสร้างสรรค์เติบโต การมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงของทุกภาคส่วน และการปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก
อนาคตของนโยบาย Soft Power ไทยจึงแขวนอยู่บนเส้นด้ายระหว่างความสำเร็จอันยิ่งใหญ่และความล้มเหลวที่น่าเสียดาย ผลลัพธ์จะออกมาในรูปแบบใดขึ้นอยู่กับการลงมือปฏิบัติจริงนับจากนี้ ประชาชนและผู้เชี่ยวชาญต่างกำลังจับตามองอย่างใกล้ชิดว่าการลงทุนครั้งประวัติศาสตร์นี้จะสามารถนำพาประเทศไทยไปสู่เป้าหมายที่วาดฝันไว้ได้หรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องติดตามและประเมินผลกันต่อไปในระยะยาว