รัฐหนุนฟาร์มอัจฉริยะ ทิ้งชาวนาไว้ข้างหลัง?
นโยบายส่งเสริมเกษตรกรยุคใหม่ภายใต้แนวคิด รัฐหนุนฟาร์มอัจฉริยะ ทิ้งชาวนาไว้ข้างหลัง? ได้กลายเป็นหัวข้อที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในแวดวงเกษตรกรรมไทย การเปลี่ยนผ่านสู่ Smart Farming โดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและนวัตกรรมดิจิทัลเป็นเครื่องมือหลัก ถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของภาครัฐในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ก็ได้จุดประกายคำถามสำคัญถึงความพร้อมและความทั่วถึงของนโยบาย โดยเฉพาะผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับเกษตรกรรายย่อยและชาวนาดั้งเดิมที่อาจไม่มีศักยภาพเพียงพอในการปรับตัว
ประเด็นสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่เกษตรอัจฉริยะ
- ยุทธศาสตร์ชาติ: รัฐบาลไทยส่งเสริม Smart Farming อย่างจริงจัง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของแผนการพัฒนาประเทศที่มุ่งเน้นการเพิ่มผลิตภาพ คุณภาพ และความยั่งยืนของภาคเกษตรกรรม
- เป้าหมายเพิ่มรายได้: นโยบายตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มรายได้สุทธิของเกษตรกรให้สูงขึ้นถึงสามเท่าภายในระยะเวลาสี่ปี ผ่านการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตรด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม
- เทคโนโลยีเป็นหัวใจ: เกษตรอัจฉริยะอาศัยเครื่องมือสมัยใหม่ เช่น เซ็นเซอร์วัดความชื้นในดิน โดรนเพื่อการเกษตร การวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน
- ความร่วมมือหลายภาคส่วน: ความสำเร็จของนโยบายขึ้นอยู่กับการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และองค์กรวิจัย เพื่อสร้างระบบข้อมูลและถ่ายทอดองค์ความรู้ที่เข้มแข็ง
- ความท้าทายด้านความเท่าเทียม: แม้ว่านโยบายจะมุ่งเน้นการพัฒนาภาพรวม แต่ก็มีความกังวลว่าเกษตรกรรายย่อยที่ขาดแคลนทุนทรัพย์และทักษะทางดิจิทัล อาจไม่สามารถเข้าถึงประโยชน์จากนโยบายได้อย่างเต็มที่หากปราศจากการสนับสนุนที่ตรงจุด
นโยบายเกษตรอัจฉริยะ: ก้าวสำคัญของเกษตรกรรมไทย
นโยบายส่งเสริม เกษตรอัจฉริยะ หรือ Smart Farming ถือเป็นกลยุทธ์เชิงรุกที่ภาครัฐนำมาใช้เพื่อปฏิรูปภาคเกษตรกรรมของไทยให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ เป้าหมายหลักคือการเปลี่ยนภาพลักษณ์ของเกษตรกรแบบดั้งเดิมไปสู่การเป็น “Smart Farmer” หรือเกษตรกรยุคใหม่ที่มีความสามารถในการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมดิจิทัลเข้ามาบริหารจัดการฟาร์มของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด การผลักดันนโยบายนี้เกิดขึ้นจากความต้องการที่จะแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างของภาคเกษตรไทยที่เผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ความผันผวนของสภาพอากาศ ปัญหาศัตรูพืช และการแข่งขันในตลาดโลกที่ทวีความรุนแรงขึ้น
รัฐบาลได้วางกรอบยุทธศาสตร์นี้ให้เป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาประเทศในระยะยาว โดยมุ่งหวังที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคเกษตร ยกระดับรายได้ของเกษตรกรให้มีเสถียรภาพ และสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับประเทศ การเปลี่ยนผ่านนี้ไม่เพียงแค่การนำเครื่องมือใหม่ๆ เข้ามาใช้ แต่ยังรวมถึงการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในการทำเกษตรทั้งหมด ตั้งแต่การวางแผนการผลิตที่อิงตามข้อมูล การจัดการทรัพยากรที่แม่นยำ ไปจนถึงการแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิต ทั้งในกลุ่มอาหารและนอกกลุ่มอาหาร ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนต้องอาศัยการบูรณาการองค์ความรู้และเทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นพื้นฐานสำคัญ
เกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) คืออะไร?
นิยามและความสำคัญในยุคดิจิทัล
Smart Farming คือรูปแบบการทำเกษตรกรรมสมัยใหม่ที่นำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) รวมถึงเทคโนโลยีดิจิทัลต่างๆ มาประยุกต์ใช้เพื่อบริหารจัดการฟาร์มแบบครบวงจร แนวคิดหลักคือการเปลี่ยนจากการทำเกษตรที่อาศัยประสบการณ์และความรู้สึก มาเป็นการทำเกษตรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven Agriculture) ทำให้การตัดสินใจในทุกขั้นตอนมีความแม่นยำและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
ความสำคัญของเกษตรอัจฉริยะในยุคปัจจุบันมีหลายมิติ ประการแรกคือการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยเทคโนโลยีสามารถช่วยให้เกษตรกรใช้ปัจจัยการผลิต เช่น น้ำ ปุ๋ย และยาฆ่าแมลง ได้อย่างเหมาะสมตามความต้องการของพืชแต่ละชนิด ซึ่งไม่เพียงช่วยลดต้นทุน แต่ยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ประการที่สองคือการลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและภัยธรรมชาติ โดยระบบเซ็นเซอร์และการวิเคราะห์ข้อมูลสภาพแวดล้อมแบบเรียลไทม์ช่วยให้เกษตรกรสามารถเตรียมการรับมือและวางแผนป้องกันความเสียหายได้ล่วงหน้า และประการสุดท้ายคือการยกระดับคุณภาพและมาตรฐานของผลผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ทำให้สามารถแข่งขันและสร้างรายได้ที่สูงขึ้น
การเปลี่ยนผ่านสู่ Smart Farming ไม่ใช่แค่การนำเทคโนโลยีมาใช้ แต่คือการสร้างระบบนิเวศทางการเกษตรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและความรู้ เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับเกษตรกรและประเทศชาติ
เทคโนโลยีหัวใจหลักที่ขับเคลื่อน Smart Farming
ความสำเร็จของเกษตรอัจฉริยะขึ้นอยู่กับการผสมผสานเทคโนโลยีหลากหลายประเภทเข้าด้วยกัน โดยเทคโนโลยีที่เป็นหัวใจสำคัญประกอบด้วย:
- Internet of Things (IoT): อุปกรณ์ IoT เช่น เซ็นเซอร์วัดความชื้นในดิน, เซ็นเซอร์วัดคุณภาพน้ำ, และสถานีตรวจวัดอากาศขนาดเล็ก ถูกติดตั้งทั่วทั้งฟาร์มเพื่อเก็บข้อมูลสภาพแวดล้อมต่างๆ แบบเรียลไทม์ ข้อมูลเหล่านี้จะถูกส่งผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตไปยังระบบส่วนกลางเพื่อนำไปวิเคราะห์และสั่งการ
- โดรนเพื่อการเกษตร (Agricultural Drones): โดรนถูกนำมาใช้ในหลายภารกิจ ตั้งแต่การบินสำรวจเพื่อตรวจสอบการเจริญเติบโตของพืช, การตรวจจับโรคและแมลงศัตรูพืช, ไปจนถึงการพ่นปุ๋ยและสารเคมีได้อย่างแม่นยำเฉพาะจุด ซึ่งช่วยประหยัดเวลาและลดการใช้สารเคมีเกินความจำเป็น
- ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS): เทคโนโลยี GIS ช่วยในการสร้างแผนที่ดิจิทัลของพื้นที่เพาะปลูก ทำให้สามารถวิเคราะห์ความแตกต่างของสภาพดินในแต่ละโซน และวางแผนการจัดการฟาร์มได้อย่างเหมาะสมกับสภาพพื้นที่จริง
- ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning): AI ถูกนำมาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาล (Big Data) ที่เก็บรวบรวมได้จากเซ็นเซอร์และโดรน เพื่อพยากรณ์ผลผลิต, คาดการณ์การระบาดของโรคพืช, และให้คำแนะนำในการจัดการฟาร์มที่ดีที่สุดแก่เกษตรกร
- แอปพลิเคชันและแพลตฟอร์มการจัดการฟาร์ม: ซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนช่วยให้เกษตรกรสามารถติดตามข้อมูลจากฟาร์มได้จากทุกที่ทุกเวลา รวมถึงควบคุมระบบต่างๆ เช่น ระบบการให้น้ำอัตโนมัติ ผ่านปลายนิ้ว
มิติการเปรียบเทียบ | เกษตรกรรมดั้งเดิม | เกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) |
---|---|---|
การตัดสินใจ | อาศัยประสบการณ์, การสังเกต, และความเชื่อตามประเพณี | อิงตามข้อมูล (Data-Driven), การวิเคราะห์เชิงสถิติ, และการพยากรณ์ |
การใช้ปัจจัยการผลิต | ใช้ในปริมาณเท่ากันทั้งแปลง (Uniform Rate) อาจเกิดการสิ้นเปลือง | ใช้ในปริมาณที่แตกต่างตามความต้องการของแต่ละพื้นที่ (Variable Rate) มีความแม่นยำสูง |
การจัดการน้ำ | ให้น้ำตามกำหนดเวลาหรือความรู้สึก ขาดความแม่นยำ | ระบบให้น้ำอัตโนมัติตามค่าความชื้นในดินที่วัดจากเซ็นเซอร์ |
การตรวจสอบศัตรูพืช | การเดินสำรวจด้วยสายตา อาจพบปัญหาเมื่อเกิดการระบาดแล้ว | ใช้โดรนหรือภาพถ่ายดาวเทียมร่วมกับ AI เพื่อตรวจจับความผิดปกติตั้งแต่เนิ่นๆ |
การจัดการแรงงาน | ใช้แรงงานคนเป็นหลัก มีข้อจำกัดด้านเวลาและประสิทธิภาพ | ใช้ระบบอัตโนมัติและเครื่องจักรกลเข้ามาช่วย ลดการพึ่งพาแรงงานคน |
ผลลัพธ์ | ผลผลิตไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ | เพิ่มผลผลิต, ลดต้นทุน, ยกระดับคุณภาพ, และลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอน |
ยุทธศาสตร์ภาครัฐ: เป้าหมายและแนวทางการขับเคลื่อน
ยกระดับรายได้เกษตรกรอย่างยั่งยืน
เป้าหมายที่เด่นชัดที่สุดของนโยบาย Smart Farming คือการยกระดับรายได้สุทธิของเกษตรกรอย่างก้าวกระโดด โดยรัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายที่ท้าทายในการเพิ่มรายได้ของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการให้สูงขึ้นถึงสามเท่าภายในระยะเวลาสี่ปี กลไกสำคัญในการบรรลุเป้าหมายนี้คือการส่งเสริมให้เกษตรกรเปลี่ยนจากการเป็นเพียงผู้ผลิตวัตถุดิบ (Producer) ไปสู่การเป็นผู้ประกอบการทางการเกษตร (Agri-preneur) ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตของตนเองได้
แนวทางดังกล่าวครอบคลุมตั้งแต่การนำเทคโนโลยีมาช่วยปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพและมาตรฐานสูง, การแปรรูปสินค้าเกษตรเบื้องต้นเพื่อยืดอายุการเก็บรักษาและเพิ่มมูลค่า, ไปจนถึงการสร้างแบรนด์และทำการตลาดด้วยตนเองผ่านช่องทางออนไลน์ นโยบายนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่พืชผลทางการเกษตรที่เป็นอาหารเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่อาหาร (Non-food) ที่มีมูลค่าสูง เช่น ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร, พืชพลังงาน, หรือวัสดุชีวภาพ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ๆ ให้กับเกษตรกรไทย
เครือข่ายความร่วมมือ: พลังขับเคลื่อนนโยบาย
ภาครัฐตระหนักดีว่าการขับเคลื่อนนโยบายขนาดใหญ่อย่าง Smart Farming ไม่สามารถสำเร็จได้โดยหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเพียงลำพัง ยุทธศาสตร์สำคัญจึงเน้นไปที่การสร้างเครือข่ายความร่วมมือแบบบูรณาการ (Integration and Collaboration) ระหว่างทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งประกอบด้วย:
- หน่วยงานภาครัฐ: กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ทำหน้าที่กำหนดนโยบาย, จัดสรรงบประมาณ, และสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการนำเทคโนโลยีมาใช้
- สถาบันการศึกษาและวิจัย: มหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยทั่วประเทศมีบทบาทสำคัญในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับบริบทของไทย รวมถึงการจัดทำหลักสูตรฝึกอบรมและถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับเกษตรกร ผ่านโครงการภาคปฏิบัติ, แพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์, และการจัดตั้งศูนย์เรียนรู้ในชุมชน
- ภาคเอกชน: บริษัทเทคโนโลยี, ผู้ผลิตเครื่องจักรกลการเกษตร, และธุรกิจแปรรูปสินค้าเกษตร เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาโซลูชัน, การลงทุน, และการสร้างตลาดสำหรับผลผลิตจากฟาร์มอัจฉริยะ
- เกษตรกรและชุมชน: ตัวเกษตรกรเองคือหัวใจสำคัญที่สุดในระบบนิเวศนี้ การสร้างเครือข่ายเกษตรกรต้นแบบ (Smart Farmer Leaders) เพื่อเป็นตัวอย่างและพี่เลี้ยงให้กับเกษตรกรรายอื่นในพื้นที่ เป็นกลไกสำคัญในการขยายผลนโยบายให้กระจายออกไปในวงกว้าง
การทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วนนี้จะช่วยสร้างระบบข้อมูลกลางทางการเกษตร, พัฒนากลไกการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ, และสร้างเครือข่ายสนับสนุนที่เข้มแข็งเพื่อค้ำจุนการพัฒนาเกษตรอัจฉริยะให้เกิดความยั่งยืนในระยะยาว
เสียงสะท้อนจากรากหญ้า: ความท้าทายและช่องว่างที่มองไม่เห็น
แม้ว่านโยบายส่งเสริม รัฐหนุนฟาร์มอัจฉริยะ จะเต็มไปด้วยเป้าหมายที่ดีและมีศักยภาพในการพลิกโฉมภาคเกษตรกรรม แต่ในทางปฏิบัติกลับเกิดคำถามและข้อกังวลว่า นโยบายนี้กำลัง ทิ้งชาวนาไว้ข้างหลัง? โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรรายย่อยและผู้สูงอายุที่อาจเป็นประชากรส่วนใหญ่ในภาคเกษตรกรรม ข้อมูลจากงานวิจัยไม่ได้ยืนยันโดยตรงว่ามีนโยบายที่กีดกันเกษตรกรกลุ่มนี้ออกไป แต่ชี้ให้เห็นถึงความท้าทายเชิงโครงสร้างที่อาจทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงประโยชน์จากนโยบายโดยไม่ได้ตั้งใจ
ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงเทคโนโลยีและเงินทุน
อุปสรรคด่านแรกที่เกษตรกรรายย่อยต้องเผชิญคือ “ต้นทุน” ของเทคโนโลยี Smart Farming แม้ว่าราคาของอุปกรณ์อย่างเซ็นเซอร์หรือโดรนจะลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่การลงทุนติดตั้งระบบทั้งหมดในฟาร์มยังคงเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงสำหรับเกษตรกรที่มีรายได้ไม่แน่นอนและมีภาระหนี้สินอยู่แล้ว แหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำหรือเงินอุดหนุนจากภาครัฐอาจมีเงื่อนไขและกระบวนการที่ซับซ้อน ทำให้เกษตรกรบางกลุ่มเข้าไม่ถึง สิ่งนี้สร้างช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างเกษตรกรที่มีทุนทรัพย์สามารถปรับตัวเข้าสู่ระบบใหม่ได้อย่างรวดเร็ว กับเกษตรกรรายย่อยที่ยังคงต้องพึ่งพาวิธีการทำเกษตรแบบดั้งเดิมต่อไป ซึ่งอาจทำให้ช่องว่างทางรายได้ถ่างกว้างออกไปอีก
ทักษะดิจิทัล: กำแพงที่ต้องก้าวข้าม
นอกเหนือจากปัญหาด้านการเงินแล้ว “ทักษะดิจิทัล” (Digital Skills) ก็เป็นอีกหนึ่งกำแพงสำคัญ การใช้งานเทคโนโลยี Smart Farming ไม่ใช่แค่การซื้ออุปกรณ์มาติดตั้ง แต่ต้องอาศัยความเข้าใจในการอ่านและวิเคราะห์ข้อมูลจากแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง สำหรับเกษตรกรจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุที่ไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีดิจิทัล การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เหล่านี้อาจเป็นเรื่องที่ยากและต้องใช้เวลา การฝึกอบรมที่จัดโดยภาครัฐหรือสถาบันการศึกษาอาจไม่เพียงพอหรือไม่สอดคล้องกับระดับความรู้พื้นฐานของเกษตรกรแต่ละคน หากไม่มีกระบวนการส่งเสริมการเรียนรู้ที่ทั่วถึงและต่อเนื่อง ก็มีความเสี่ยงสูงที่เทคโนโลยีราคาแพงจะถูกนำไปใช้อย่างไม่เต็มประสิทธิภาพ หรือถูกทิ้งร้างไปในที่สุด
นโยบายเน้นการเติบโตโดยรวมหรือทิ้งใครไว้เบื้องหลัง?
มุมมองของนโยบายมุ่งเน้นไปที่การยกระดับประสิทธิภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคเกษตรในภาพรวม ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ถูกต้องในเชิงเศรษฐศาสตร์มหภาค อย่างไรก็ตาม การมุ่งเน้นไปที่การสร้าง “เกษตรกรต้นแบบ” หรือ “Smart Farmer” ที่ประสบความสำเร็จ อาจทำให้การจัดสรรทรัพยากรและงบประมาณเทไปที่กลุ่มเกษตรกรที่มีความพร้อมอยู่แล้ว ในขณะที่กลุ่มที่ยังต้องการความช่วยเหลือพื้นฐานกลับถูกมองข้ามไป แม้ว่านโยบายจะกล่าวถึงการพัฒนาที่ทั่วถึง (Inclusivity) แต่ในทางปฏิบัติยังขาดกลไกที่ชัดเจนในการสนับสนุนเกษตรกรรายย่อยที่ขาดความพร้อมให้สามารถค่อยๆ เปลี่ยนผ่านได้ ดังนั้น คำถามที่ว่านโยบายนี้กำลังทิ้งชาวนาไว้ข้างหลังหรือไม่ จึงไม่ใช่คำถามถึงเจตนาของนโยบาย แต่เป็นคำถามถึงประสิทธิภาพของกลไกการนำนโยบายไปปฏิบัติให้เกิดความเท่าเทียมอย่างแท้จริง
บทสรุป: อนาคตเกษตรกรรมไทยบนทางสองแพร่ง
การที่ รัฐหนุนฟาร์มอัจฉริยะ ถือเป็นทิศทางที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้สำหรับอนาคตของเกษตรกรรมไทย การนำ เทคโนโลยีการเกษตร มาใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และสร้างความยั่งยืน เป็นแนวทางที่สอดคล้องกับกระแสโลกและจำเป็นต่อการอยู่รอดของภาคเกษตร อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ว่านโยบายนี้จะ ทิ้งชาวนาไว้ข้างหลังหรือไม่ ยังคงเป็นคำถามสำคัญที่ต้องหาคำตอบผ่านการลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง
ความสำเร็จของการเปลี่ยนผ่านนี้ไม่ได้วัดกันที่จำนวนฟาร์มอัจฉริยะที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่วัดกันที่ความสามารถในการยกระดับคุณภาพชีวิตของ “เกษตรกรทุกคน” อย่างทั่วถึง การออกแบบนโยบายสนับสนุนที่เฉพาะเจาะจงสำหรับเกษตรกรรายย่อย, การสร้างหลักสูตรพัฒนาทักษะดิจิทัลที่เข้าถึงง่าย, และการสร้างแหล่งเงินทุนที่เอื้อต่อการลงทุนในเทคโนโลยี คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำและทำให้แน่ใจว่าการเดินทางสู่อนาคตของภาคเกษตรไทย จะเป็นการเดินทางที่ทุกคนก้าวไปพร้อมกันโดยไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง