“`html
เอาจริง! บ.ยักษ์ใหญ่ไทยให้ทำงาน 4 วัน/สัปดาห์
แนวคิดการทำงานสัปดาห์ละ 4 วันกำลังกลายเป็นหัวข้อที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในแวดวงธุรกิจทั่วโลก และล่าสุดกระแสนี้ได้เดินทางมาถึงประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม เมื่อบริษัทชั้นนำบางแห่งเริ่มนำนโยบายนี้มาทดลองใช้จริง สร้างความสนใจและจุดประกายคำถามสำคัญว่านี่จะเป็นมาตรฐานใหม่ของการทำงานในอนาคตหรือไม่
ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ
- บริษัทขนาดใหญ่ในไทย เช่น SCG ได้เริ่มโครงการนำร่องให้พนักงานในบางหน่วยงานทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ เพื่อศึกษาผลกระทบต่อประสิทธิภาพและคุณภาพชีวิตของพนักงาน
- เป้าหมายหลักของนโยบายนี้คือการเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) และสร้างสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว (Work-Life Balance) เพื่อดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีคุณภาพ
- ความท้าทายสำคัญในการปรับใช้นโยบายนี้ในวงกว้างคือข้อจำกัดด้านกฎหมายแรงงานของไทย และความซับซ้อนในการประสานงานกับลูกค้าหรือคู่ค้าที่ยังคงทำงานในระบบ 5 วัน
- โมเดลการทำงาน 4 วันมี 2 รูปแบบหลัก คือ การทำงานชั่วโมงยาวขึ้นเพื่อชดเชย (Compressed Work Week) และการลดชั่วโมงทำงานลงโดยยังคงประสิทธิภาพเท่าเดิม (Shorter Work Week)
- เทรนด์การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ ถือเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น เช่นเดียวกับ Hybrid Work ซึ่งจะกลายเป็นปัจจัยสำคัญในตลาดแรงงานปี 2025
จุดเริ่มต้นของเทรนด์การทำงานแห่งอนาคต
แนวคิด เอาจริง! บ.ยักษ์ใหญ่ไทยให้ทำงาน 4 วัน/สัปดาห์ ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่เป็นแนวคิดที่มีการถกเถียงและทดลองมานานหลายปีในต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้กลายเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาสำคัญที่ทำให้องค์กรทั่วโลกต้องทบทวนนิยามของ “การทำงาน” ใหม่ทั้งหมด เมื่อการทำงานจากที่บ้าน (Work from Home) พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าประสิทธิภาพไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานที่หรือจำนวนชั่วโมงที่ปรากฏตัวในออฟฟิศเสมอไป แต่ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ของงานเป็นสำคัญ สิ่งนี้ได้เปิดประตูสู่การทดลองรูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น รวมถึงการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งได้รับความสนใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ทำไมแนวคิดทำงาน 4 วันจึงกลับมาเป็นที่สนใจ?
ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนให้แนวคิดนี้กลับมาอยู่ในกระแสหลักมีหลายประการ ประการแรกคือการเปลี่ยนแปลงทางความคิดของพนักงาน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว (Work-Life Balance) มากขึ้น พวกเขามองหาองค์กรที่มอบความยืดหยุ่นและใส่ใจในสุขภาวะของพนักงานมากกว่าแค่ผลตอบแทนทางการเงินเพียงอย่างเดียว
ประการที่สองคือการแข่งขันในตลาดแรงงานที่สูงขึ้น องค์กรต่างๆ ตระหนักดีว่าสวัสดิการพนักงานที่น่าสนใจเป็นเครื่องมือสำคัญในการดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถ (Talent Attraction & Retention) การเสนอนโยบายทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์จึงกลายเป็นจุดขายที่โดดเด่นและสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งได้
ประการสุดท้ายคือข้อมูลจากการศึกษาวิจัยและโครงการทดลองในหลายประเทศ เช่น สหราชอาณาจักร ไอซ์แลนด์ และญี่ปุ่น ที่ชี้ให้เห็นผลลัพธ์ในเชิงบวกหลายด้าน ทั้งผลิตภาพที่เพิ่มขึ้นหรือคงที่ พนักงานมีความสุขและลดความเครียดลง อัตราการลาออกลดลง ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันว่าการทำงานน้อยลงอาจหมายถึงการทำงานที่ดีขึ้นได้จริง
ใครคือกลุ่มเป้าหมายของนโยบายนี้
ในช่วงเริ่มต้น การนำนโยบายทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์มาใช้มักจะมุ่งเน้นไปที่กลุ่มงานที่สามารถวัดผลลัพธ์ของงานได้อย่างชัดเจนและไม่จำเป็นต้องยึดติดกับเวลาทำการแบบตายตัว ตัวอย่างเช่น
- กลุ่มงานเทคโนโลยีและดิจิทัล: เช่น นักพัฒนาซอฟต์แวร์, นักวิเคราะห์ข้อมูล, นักการตลาดดิจิทัล ซึ่งผลงานสามารถวัดได้จากโปรเจกต์ที่สำเร็จหรือเป้าหมายที่บรรลุ
- กลุ่มงานสร้างสรรค์ (Creative): เช่น นักเขียน, กราฟิกดีไซเนอร์, ที่ปรึกษา ซึ่งความคิดสร้างสรรค์และคุณภาพของงานสำคัญกว่าจำนวนชั่วโมงที่ใช้ไป
- กลุ่มงานที่สนับสนุนการทำงาน (Back Office): บางตำแหน่งในฝ่ายบุคคล, การเงิน หรือธุรการ ที่สามารถปรับกระบวนการทำงานให้กระชับและมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม แนวคิดนี้ยังคงเป็นความท้าทายสำหรับกลุ่มงานที่ต้องให้บริการลูกค้าตลอดเวลา หรือสายการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งการปรับใช้จำเป็นต้องมีการวางแผนและปรับเปลี่ยนโครงสร้างการทำงานที่ซับซ้อนกว่ามาก
เจาะลึกโมเดลการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์
คำว่า “ทำงาน 4 วัน” อาจทำให้หลายคนเข้าใจว่าเป็นการลดวันทำงานลงเพียงอย่างเดียว แต่ในทางปฏิบัติแล้ว นโยบายนี้มีรูปแบบการนำไปใช้ที่แตกต่างกันอย่างน้อย 2 แนวทางหลัก ซึ่งแต่ละแนวทางก็มีหลักการและผลกระทบที่แตกต่างกันไป
รูปแบบที่ 1: สัปดาห์การทำงานแบบบีบอัด (Compressed Work Week)
โมเดลนี้เป็นรูปแบบที่เข้าใจง่ายที่สุด โดยยังคงจำนวนชั่วโมงการทำงานรวมต่อสัปดาห์ไว้เท่าเดิม (เช่น 40-48 ชั่วโมงตามกฎหมายไทย) แต่บีบอัดชั่วโมงทำงานเหล่านั้นลงใน 4 วัน แทนที่จะเป็น 5 วันตามปกติ
ตัวอย่างเช่น จากเดิมที่ทำงาน 5 วัน วันละ 8 ชั่วโมง (รวม 40 ชั่วโมง) จะเปลี่ยนเป็นการทำงาน 4 วัน วันละ 10 ชั่วโมง (รวม 40 ชั่วโมงเท่าเดิม) พนักงานจะได้หยุด 3 วันต่อสัปดาห์ แต่ต้องแลกมากับการทำงานในแต่ละวันที่ยาวนานขึ้น
- ข้อดี: ง่ายต่อการปรับใช้ในเชิงนโยบายและกฎหมาย เพราะจำนวนชั่วโมงทำงานรวมไม่เปลี่ยนแปลง พนักงานได้วันหยุดยาวต่อเนื่อง 3 วัน ซึ่งเอื้อต่อการพักผ่อน ท่องเที่ยว หรือทำกิจกรรมส่วนตัว
- ข้อเสีย: การทำงานวันละ 10 ชั่วโมงอาจทำให้พนักงานเหนื่อยล้าและหมดไฟ (Burnout) ได้ง่าย โดยเฉพาะในช่วงท้ายของวัน ประสิทธิภาพการทำงานอาจลดลง และอาจไม่เหมาะกับพนักงานที่มีภาระต้องดูแลครอบครัวหลังเลิกงาน
รูปแบบที่ 2: สัปดาห์การทำงานที่สั้นลง (Shorter Work Week)
โมเดลนี้ถือเป็นรูปแบบที่ท้าทายและได้รับการจับตามองมากที่สุด เป็นที่รู้จักกันในชื่อ “โมเดล 100-80-100” ซึ่งหมายถึง:
- 100% Pay: พนักงานได้รับเงินเดือนเต็ม 100% เท่าเดิม
- 80% Time: ลดเวลาทำงานลงเหลือ 80% (เช่น จาก 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เหลือ 32 ชั่วโมง หรือทำงาน 4 วัน วันละ 8 ชั่วโมง)
- 100% Productivity: พนักงานต้องรักษาระดับประสิทธิภาพและผลงานไว้ที่ 100% เท่าเดิม
หัวใจสำคัญของโมเดลนี้ไม่ใช่การทำงานให้นานขึ้นในแต่ละวัน แต่เป็นการทำงานให้ “ฉลาดขึ้น” (Work Smarter, Not Harder) องค์กรและพนักงานต้องร่วมมือกันปรับปรุงกระบวนการทำงาน ลดการประชุมที่ไม่จำเป็น นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และมุ่งเน้นไปที่ผลลัพธ์ของงานอย่างแท้จริง
การเปลี่ยนผ่านสู่การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ในรูปแบบ Shorter Work Week คือการเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการวัดผลด้วย ‘เวลา’ ที่ใช้ในการทำงาน ไปสู่การวัดผลด้วย ‘คุณค่าและผลลัพธ์’ ที่สร้างขึ้น
คุณลักษณะ | สัปดาห์การทำงานแบบบีบอัด (Compressed) | สัปดาห์การทำงานที่สั้นลง (Shorter) |
---|---|---|
จำนวนชั่วโมงทำงานต่อสัปดาห์ | เท่าเดิม (เช่น 40-48 ชั่วโมง) | ลดลง (เช่น 32 ชั่วโมง) |
จำนวนชั่วโมงทำงานต่อวัน | เพิ่มขึ้น (เช่น 10-12 ชั่วโมง) | เท่าเดิม (เช่น 8 ชั่วโมง) |
หลักการสำคัญ | อัดชั่วโมงทำงานเพื่อให้ได้วันหยุดเพิ่ม | เพิ่มประสิทธิภาพเพื่อลดชั่วโมงทำงาน |
ความท้าทายหลัก | ความเหนื่อยล้าและภาวะหมดไฟของพนักงาน | การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรและกระบวนการทำงาน |
ผลกระทบต่อเงินเดือน | ไม่เปลี่ยนแปลง | ไม่เปลี่ยนแปลง (ตามโมเดล 100-80-100) |
ความเคลื่อนไหวในประเทศไทย: เมื่อบริษัทยักษ์ใหญ่ขานรับ
สำหรับประเทศไทย กระแสการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น เมื่อบริษัทชั้นนำของประเทศได้ประกาศนำร่องทดลองนโยบายนี้อย่างเป็นทางการ ซึ่งถือเป็นสัญญาณสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าแนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งที่องค์กรไทยกำลังให้ความสนใจอย่างจริงจัง
กรณีศึกษา: การทดลองนำร่องในองค์กรชั้นนำ
หนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนคือ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (SCG) ที่ได้เริ่มทดลองแนวทางการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ในบางหน่วยธุรกิจ โดยเฉพาะในกลุ่มงานที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและดิจิทัล ซึ่งเป็นสายงานที่สามารถวัดผลสำเร็จจากตัวชี้วัด (KPIs) และเป้าหมายของโปรเจกต์ได้ง่ายกว่าการนับชั่วโมงทำงาน
เป้าหมายของการทดลองนี้ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการลดวันทำงาน แต่เพื่อค้นหารูปแบบการทำงานที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด ควบคู่ไปกับการส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับพนักงาน ซึ่งสอดคล้องกับเทรนด์การทำงานสมัยใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความสุขและความผูกพันของพนักงานต่อองค์กร (Employee Engagement) เพื่อลดอัตราการลาออกและสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดึงดูดคนรุ่นใหม่
บริบทของตลาดแรงงานไทยและ Hybrid Work
การทดลองทำงาน 4 วันของบริษัทใหญ่ เป็นส่วนหนึ่งของภาพรวมที่ใหญ่กว่า นั่นคือการเปลี่ยนแปลงสู่รูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่น (Flexible Work) ในประเทศไทย ปัจจุบันหลายองค์กร โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี สื่อ และบริษัทสตาร์ทอัพ ได้นำรูปแบบการทำงานแบบผสมผสาน (Hybrid Work) มาใช้อย่างแพร่หลาย โดยอนุญาตให้พนักงานสลับระหว่างการทำงานที่ออฟฟิศและการทำงานจากที่บ้าน
การลดจำนวนวันเข้าออฟฟิศในโมเดล Hybrid Work ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการทลายกำแพงความคิดที่ว่า “การทำงานต้องทำที่ออฟฟิศเท่านั้น” และปูทางไปสู่การยอมรับแนวคิดที่ยืดหยุ่นยิ่งขึ้นอย่างการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ในอนาคต
ความท้าทายบนเส้นทางสู่ 4-Day Work Week ในไทย
แม้ว่าแนวคิดการทำงาน 4 วันจะดูมีประโยชน์หลายด้าน แต่การนำมาปรับใช้ในวงกว้างทั่วประเทศไทยยังคงมีอุปสรรคและความท้าทายที่สำคัญหลายประการที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ทั้งในมิติของกฎหมาย การดำเนินงาน และวัฒนธรรมองค์กร
ข้อจำกัดด้านกฎหมายแรงงาน
ประเด็นแรกและสำคัญที่สุดคือข้อบังคับตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานของไทย ซึ่งกำหนดชั่วโมงทำงานปกติไว้ไม่เกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน และไม่เกิน 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ การปรับใช้โมเดลทำงาน 4 วันจึงต้องดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมายนี้
- กรณี Compressed Work Week: การทำงาน 4 วัน วันละ 10-12 ชั่วโมง อาจมีความซับซ้อนในการคำนวณค่าล่วงเวลา (OT) และอาจขัดต่อข้อกฎหมายในบางประเภทงาน การจะทำให้ถูกต้องจำเป็นต้องมีการตกลงและทำสัญญาจ้างที่ชัดเจนระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง
- กรณี Shorter Work Week: การลดชั่วโมงทำงานรวมลงเหลือ 32 ชั่วโมงต่อสัปดาห์โดยจ่ายเงินเดือนเท่าเดิมนั้นไม่ขัดต่อกฎหมาย เพราะกฎหมายกำหนดเพดานสูงสุดไว้ แต่ความท้าทายจะอยู่ที่การสร้างความเข้าใจและยอมรับในภาคส่วนอื่นๆ ของระบบเศรษฐกิจ
การจะทำให้นโยบายนี้เกิดขึ้นได้จริงในวงกว้าง อาจจำเป็นต้องมีการทบทวนและปรับปรุงกฎหมายแรงงานให้มีความยืดหยุ่นและสอดคล้องกับรูปแบบการทำงานสมัยใหม่มากขึ้น
อุปสรรคในการดำเนินงานและการประสานงาน
ความท้าทายที่สำคัญในทางปฏิบัติคือ “ปัญหาการเชื่อมต่อ” กับโลกภายนอกที่ยังคงทำงาน 5 วันต่อสัปดาห์ หากทีมของคุณหยุดงานทุกวันศุกร์ จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อมีเรื่องเร่งด่วนจากลูกค้า หรือต้องประสานงานกับหน่วยงานราชการและซัพพลายเออร์ในวันนั้น?
การแก้ปัญหานี้จำเป็นต้องมีการวางแผนอย่างรัดกุม เช่น การจัดตารางการหยุดที่ไม่ตรงกันในทีม (Staggered Schedules) เพื่อให้มีคนคอยสแตนด์บาย, การตั้งค่าระบบตอบกลับอัตโนมัติ, และที่สำคัญคือการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจและกำหนดความคาดหวังที่ชัดเจนกับลูกค้าและพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายและต้องใช้เวลาในการปรับตัว
การเปลี่ยนกระบวนทัศน์: จาก ‘เวลา’ สู่ ‘ผลลัพธ์’
อุปสรรคที่มองไม่เห็นแต่สำคัญไม่แพ้กันคือวัฒนธรรมการทำงานแบบดั้งเดิมที่ฝังรากลึกในหลายองค์กรไทย ซึ่งมักจะประเมินค่าของพนักงานจาก “การปรากฏตัว” หรือ “จำนวนชั่วโมงที่อยู่ในออฟฟิศ” การเปลี่ยนมาใช้ระบบ 4 วันต่อสัปดาห์ โดยเฉพาะโมเดล Shorter Work Week ต้องการการเปลี่ยนแปลงทางความคิดครั้งใหญ่จากทั้งผู้บริหารและพนักงาน
องค์กรต้องสร้างระบบการวัดผลที่อิงตามผลลัพธ์ (Result-Oriented) ที่ชัดเจนและเป็นธรรม ผู้จัดการต้องเรียนรู้ทักษะการบริหารทีมแบบใหม่ที่เน้นการให้อำนาจและความไว้วางใจ และพนักงานเองก็ต้องมีวินัยและความรับผิดชอบสูงขึ้นในการบริหารจัดการเวลาและส่งมอบงานให้ได้ตามเป้าหมายภายในเวลาที่สั้นลง
ประโยชน์ที่องค์กรและพนักงานจะได้รับ
แม้จะมีความท้าทาย แต่หากองค์กรสามารถนำนโยบายทำงาน 4 วันมาปรับใช้ได้อย่างประสบความสำเร็จ ผลประโยชน์ที่ตามมานั้นมีมากมายมหาศาล ครอบคลุมทั้งในฝั่งของพนักงานและตัวองค์กรเอง
มิติของพนักงาน: คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
- สมดุลชีวิตที่ดีขึ้น: การมีวันหยุด 3 วันต่อสัปดาห์เปิดโอกาสให้พนักงานได้พักผ่อนอย่างเต็มที่, มีเวลาให้กับครอบครัว, ดูแลสุขภาพ, ทำงานอดิเรก หรือแม้กระทั่งพัฒนาทักษะใหม่ๆ
- ลดความเครียดและภาวะหมดไฟ: การพักผ่อนที่เพียงพอช่วยฟื้นฟูทั้งร่างกายและจิตใจ ส่งผลให้ความเครียดสะสมลดลงและมีความสุขในการทำงานมากขึ้น
- ประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลา: การลดวันเดินทางไปทำงานช่วยประหยัดค่าเดินทาง ค่าอาหาร และค่าใช้จ่ายแฝงอื่นๆ รวมถึงลดเวลาที่ต้องสูญเสียไปบนท้องถนน
มิติขององค์กร: ความสามารถในการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น
- ดึงดูดและรักษาคนเก่ง: ในยุคที่การแข่งขันเพื่อแย่งชิงบุคลากรที่มีความสามารถสูง นโยบายนี้ถือเป็นสวัสดิการพนักงานที่โดดเด่นและเป็นแม่เหล็กดึงดูดผู้สมัครที่มีคุณภาพ
- เพิ่มผลิตภาพและนวัตกรรม: เมื่อพนักงานได้พักผ่อนเต็มที่และมีเวลาคิดนอกกรอบ พวกเขามักจะกลับมาทำงานด้วยพลังงานและความคิดสร้างสรรค์ที่มากขึ้น การจำกัดเวลาทำงานยังกระตุ้นให้ทุกคนมองหาวิธีทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
- ลดอัตราการลาป่วยและลาออก: สุขภาพกายและใจที่ดีของพนักงานส่งผลโดยตรงต่อการลดจำนวนวันลาป่วย และเมื่อพนักงานมีความสุขและผูกพันกับองค์กร อัตราการลาออกก็จะลดลง ช่วยประหยัดต้นทุนในการสรรหาและฝึกอบรมพนักงานใหม่
- ภาพลักษณ์องค์กรที่ดี: การเป็นองค์กรที่ใส่ใจในคุณภาพชีวิตของพนักงานช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาของสาธารณชนและนักลงทุน ซึ่งสะท้อนถึงการเป็นองค์กรที่ทันสมัยและมีความรับผิดชอบต่อสังคม
สรุป: อนาคตของการทำงานในไทยจะเป็นอย่างไร?
การที่บริษัทใหญ่ในไทยเริ่มทดลองนโยบาย ทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ อย่างจริงจัง ถือเป็นก้าวที่น่าจับตามองและเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในโลกของการทำงาน แม้ว่าปัจจุบันจะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและจำกัดอยู่ในบางกลุ่มอุตสาหกรรม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือเทรนด์การทำงานปี 2025 ที่ทุกองค์กรต้องให้ความสนใจ
เส้นทางสู่การทำงาน 4 วันในวงกว้างยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งในด้านกฎหมายแรงงาน, การปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงาน และวัฒนธรรมองค์กร แต่ประโยชน์ในระยะยาวทั้งต่อคุณภาพชีวิตของพนักงานและขีดความสามารถในการแข่งขันขององค์กรนั้นมีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้แนวคิดนี้เดินหน้าต่อไป
ท้ายที่สุดแล้ว การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์อาจไม่ใช่คำตอบสุดท้ายสำหรับทุกองค์กรหรือทุกอุตสาหกรรม แต่อย่างน้อยที่สุด มันได้จุดประกายให้เกิดการทบทวนและตั้งคำถามกับรูปแบบการทำงานแบบดั้งเดิม และผลักดันให้องค์กรต่างๆ มองหาแนวทางการทำงานที่ยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น อนาคตของการทำงานในไทยจึงมีแนวโน้มที่จะมีความหลากหลายมากขึ้น โดยแต่ละองค์กรจะเลือกใช้โมเดลที่เหมาะสมกับบริบทของตนเอง ไม่ว่าจะเป็น Hybrid Work, Flexible Hours หรือการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ เพื่อสร้างสมดุลที่ลงตัวระหว่างผลลัพธ์ทางธุรกิจและความสุขของบุคลากร ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตอย่างยั่งยืนในยุคต่อไป
“`