จบไปตกงาน? 5 ปริญญาที่ตลาดไม่เอาแล้ว


จบไปตกงาน? 5 ปริญญาที่ตลาดไม่เอาแล้ว

สารบัญ

การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีและโครงสร้างเศรษฐกิจโลกส่งผลกระทบโดยตรงต่อตลาดแรงงาน ทำให้แนวคิดที่ว่า “ปริญญาคือใบเบิกทางสู่ความสำเร็จ” อาจไม่เป็นจริงเสมอไปในปัจจุบัน บทความนี้จะวิเคราะห์ถึงสถานการณ์ที่บัณฑิตจบใหม่ต้องเผชิญ พร้อมทั้งชี้ให้เห็นถึงลักษณะของสาขาวิชาที่อาจไม่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดในอนาคตอันใกล้

  • ตลาดแรงงานในปี 2569 และปีต่อๆ ไป ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ทำงานจริงและทักษะเฉพาะทางมากกว่าวุฒิการศึกษาเพียงอย่างเดียว
  • ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบอัตโนมัติกำลังเข้ามามีบทบาทในการทำงานหลายประเภท ทำให้ทักษะที่สามารถถูกทดแทนได้ง่ายมีความเสี่ยงสูง
  • ความไม่สมดุลระหว่างจำนวนบัณฑิตที่ผลิตออกมากับตำแหน่งงานที่เปิดรับในบางสาขาวิชาเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาการว่างงาน
  • สาขาวิชาที่เป็นที่ต้องการสูงมักเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี, วิทยาศาสตร์สุขภาพ, และงานที่ต้องใช้ทักษะเฉพาะทางซึ่งไม่สามารถทดแทนด้วยเครื่องจักรได้
  • การปรับตัวและพัฒนาทักษะใหม่ (Reskilling/Upskilling) อย่างต่อเนื่องคือปัจจัยสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางอาชีพในระยะยาว

คำถามที่ว่า จบไปตกงาน? 5 ปริญญาที่ตลาดไม่เอาแล้ว ได้กลายเป็นข้อกังวลสำคัญสำหรับนักเรียน ผู้ปกครอง และผู้ที่กำลังวางแผนการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ปรากฏการณ์บัณฑิตว่างงานหรือทำงานไม่ตรงสายไม่ได้เกิดขึ้นจากปัจจัยส่วนบุคคลเพียงอย่างเดียว แต่เป็นภาพสะท้อนของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในตลาดแรงงานโลก ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบอัตโนมัติ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้สร้าง “ช่องว่างทางทักษะ” (Skills Gap) ขนาดใหญ่ขึ้นระหว่างสิ่งที่สถาบันการศึกษาสอนกับสิ่งที่นายจ้างต้องการอย่างแท้จริง

บทความนี้จะสำรวจถึงสาเหตุที่ทำให้ใบปริญญาในบางสาขาอาจไม่สามารถรับประกันตำแหน่งงานได้เหมือนในอดีต โดยวิเคราะห์จากแนวโน้มความต้องการของตลาดแรงงานในปี 2569 และอนาคต พร้อมทั้งระบุลักษณะของกลุ่มสาขาวิชาที่มีความเสี่ยงสูง ตลอดจนนำเสนอแนวทางสำหรับสาขาวิชาที่เป็นที่ต้องการ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจและเตรียมความพร้อมสำหรับโลกการทำงานยุคใหม่ที่ท้าทายและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

ภาพรวมตลาดแรงงาน: ทำไมปริญญาไม่การันตีความสำเร็จ

ในอดีต การสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีเปรียบเสมือนหลักประกันของความมั่นคงทางอาชีพ แต่ในปัจจุบันภูมิทัศน์ของตลาดแรงงานได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง มีปัจจัยสำคัญสองประการที่ทำให้บัณฑิตจบใหม่จำนวนมากต้องเผชิญกับความยากลำบากในการหางาน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าใบปริญญาเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพออีกต่อไป

ความจริงของตลาดงาน: ประสบการณ์เหนือใบปริญญา

หนึ่งในความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดสำหรับบัณฑิตจบใหม่คือความต้องการ “ประสบการณ์ทำงาน” จากนายจ้าง จากการวิเคราะห์ประกาศรับสมัครงานในปี 2024 พบข้อเท็จจริงที่น่าสนใจว่า ตำแหน่งงานระดับปริญญาตรีส่วนใหญ่ต้องการผู้สมัครที่มีประสบการณ์ทำงานมาแล้วอย่างน้อย 1-2 ปี ขณะที่ตำแหน่งงานสำหรับผู้ที่ไม่มีประสบการณ์เลยมีสัดส่วนเพียงประมาณ 16.8% เท่านั้น

ปรากฏการณ์นี้สร้างกำแพงขนาดใหญ่ให้แก่บัณฑิตที่เพิ่งก้าวออกจากรั้วมหาวิทยาลัย นายจ้างในปัจจุบันต้องการบุคลากรที่สามารถเข้ามาทำงานและสร้างผลลัพธ์ได้ทันที เพื่อลดต้นทุนและเวลาในการฝึกอบรมพนักงานใหม่ ดังนั้น บัณฑิตที่ขาดประสบการณ์จากการฝึกงาน โครงงาน หรือกิจกรรมนอกหลักสูตรที่เกี่ยวข้อง จึงมักเสียเปรียบในการแข่งขัน แม้จะมีผลการเรียนที่ดีก็ตาม สิ่งนี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการสั่งสมประสบการณ์เชิงปฏิบัติควบคู่ไปกับการเรียนในห้องเรียน

อุปทานบัณฑิตล้นตลาด: เมื่อการผลิตไม่สมดุลกับความต้องการ

ปัญหาเชิงโครงสร้างอีกประการคือความไม่สอดคล้องกันระหว่างสาขาวิชาที่สถาบันอุดมศึกษาผลิตบัณฑิตออกมา กับความต้องการบุคลากรของภาคอุตสาหกรรม มีหลายสาขาวิชาที่ได้รับความนิยมในหมู่นักศึกษา แต่ตลาดแรงงานกลับอิ่มตัวหรือมีความต้องการลดลง ทำให้เกิดภาวะ “อุปทานบัณฑิตล้นตลาด” (Graduate Oversupply) ผู้สำเร็จการศึกษาในสาขาเหล่านี้ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่สูงมากเพื่อแย่งชิงตำแหน่งงานที่มีอยู่อย่างจำกัด

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือกลุ่มงานสายบริหารทั่วไป งานธุรการ หรือสาขาศิลปศาสตร์บางแขนงที่ไม่ได้เน้นทักษะเฉพาะทางสูง ซึ่งมีบัณฑิตจบใหม่เข้าสู่ตลาดเป็นจำนวนมากในแต่ละปี ในทางกลับกัน ตลาดกลับขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะเฉพาะทางสูง โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ข้อมูล และการดูแลสุขภาพ ซึ่งเป็นผลมาจากระบบการศึกษาที่อาจปรับตัวไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและเทคโนโลยี

5 ลักษณะของสาขาวิชาที่บัณฑิตอาจหางานยาก

5 ลักษณะของสาขาวิชาที่บัณฑิตอาจหางานยาก

แทนที่จะระบุชื่อสาขาวิชาโดยตรง การทำความเข้าใจ “ลักษณะ” ของปริญญาที่มีความเสี่ยงสูงในตลาดแรงงานยุคใหม่จะให้ภาพที่ชัดเจนและเป็นประโยชน์มากกว่า เนื่องจากสาขาวิชาเดียวกันอาจมีความเสี่ยงแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับหลักสูตรและทักษะที่นักศึกษาได้รับ นี่คือ 5 ลักษณะสำคัญที่ควรพิจารณา

1. สาขาที่ทักษะพื้นฐานถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยี

การมาถึงของปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบอัตโนมัติ (Automation) ได้เปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานไปอย่างสิ้นเชิง งานที่มีลักษณะเป็นกิจวัตรซ้ำๆ (Routine Tasks) และต้องอาศัยการประมวลผลข้อมูลพื้นฐาน กำลังถูกแทนที่ด้วยซอฟต์แวร์และเครื่องจักรอย่างรวดเร็ว สาขาวิชาที่เน้นสอนทักษะเหล่านี้เป็นหลักจึงมีความเสี่ยงสูง ตัวอย่างเช่น งานป้อนข้อมูล, งานธุรการเอกสาร, การตอบคำถามลูกค้าแบบพื้นฐาน, หรืองานวิเคราะห์ข้อมูลที่ไม่ซับซ้อน ปริญญาที่ไม่ได้สอนทักษะการคิดวิเคราะห์เชิงลึก การแก้ปัญหาที่ซับซ้อน หรือความคิดสร้างสรรค์ อาจทำให้บัณฑิตมีทักษะที่ไม่แตกต่างจากสิ่งที่ AI สามารถทำได้ และทำได้ดีกว่า

2. สาขาที่มีการผลิตบัณฑิตเกินความต้องการ

ดังที่กล่าวไปข้างต้น ภาวะอุปทานล้นตลาดเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ สาขาวิชาที่ได้รับความนิยมอย่างสูงและมีสถาบันการศึกษาเปิดสอนจำนวนมาก แต่ไม่ได้สอดคล้องกับอัตราการเติบโตของตำแหน่งงานในสาขานั้นๆ จะทำให้ผู้สำเร็จการศึกษามีคู่แข่งจำนวนมหาศาล บัณฑิตอาจต้องยอมรับงานที่ไม่ตรงกับวุฒิการศึกษา (Underemployment) หรือว่างงานเป็นเวลานาน กลุ่มสาขานี้มักเป็นสายงานทั่วไปที่ไม่ต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะทางสูง เช่น การจัดการทั่วไป หรือสาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์บางแขนงที่ไม่มีการประยุกต์ใช้ที่ชัดเจน

3. สาขาที่ขาดการบูรณาการทักษะดิจิทัล

ในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ทักษะด้านเทคโนโลยีไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับแทบทุกสายอาชีพ ปริญญาในสาขาดั้งเดิมที่ไม่ปรับปรุงหลักสูตรให้ทันสมัยโดยการสอดแทรกทักษะดิจิทัลที่จำเป็น เช่น การตลาดดิจิทัล, การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics), การใช้เครื่องมือซอฟต์แวร์เฉพาะทาง, หรือความเข้าใจพื้นฐานด้านการเขียนโค้ด จะทำให้บัณฑิตขาดความสามารถในการแข่งขัน ตัวอย่างเช่น นักการตลาดที่ไม่เข้าใจ SEO หรือ Social Media Analytics, หรือนักบัญชีที่ไม่สามารถใช้โปรแกรมบัญชีบนคลาวด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะเสียเปรียบผู้สมัครที่มีทักษะเหล่านี้อย่างชัดเจน

4. สาขาที่เน้นทฤษฎีแต่ขาดการปฏิบัติ

ความต้องการประสบการณ์ของนายจ้างสะท้อนให้เห็นว่าตลาดให้ความสำคัญกับความสามารถในการ “ลงมือทำ” มากกว่าการ “ท่องจำ” ทฤษฎี สาขาวิชาที่หลักสูตรเน้นการบรรยายในห้องเรียนเป็นหลัก แต่ขาดโอกาสให้นักศึกษาได้ฝึกฝนผ่านการทำโครงงานจริง, การฝึกงาน (Internship), หรือการเรียนรู้ในรูปแบบสหกิจศึกษา (Cooperative Education) จะทำให้บัณฑิตมีเพียงความรู้ทางทฤษฎี แต่ไม่สามารถนำไปประยุกต์ใช้แก้ปัญหาในสถานการณ์จริงได้ ซึ่งเป็นจุดอ่อนสำคัญในสายตาของฝ่ายบุคคล

5. สาขาที่ไม่สอดคล้องกับทิศทางของโลกอนาคต

โลกกำลังเผชิญกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ (Megatrends) หลายประการ เช่น การเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย (Aging Society), การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืน (Sustainability), การเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล และความสำคัญของความมั่นคงทางไซเบอร์ สาขาวิชาที่ไม่ตอบสนองต่อแนวโน้มเหล่านี้อาจมีความต้องการในตลาดลดลงในระยะยาว การเลือกเรียนในสาขาที่สามารถแก้ปัญหาและสร้างคุณค่าให้กับโลกในอนาคตจึงเป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดกว่า

การเลือกสาขาวิชาในปัจจุบันจึงไม่ใช่แค่การเลือกสิ่งที่ชอบ แต่ต้องเป็นการวิเคราะห์ถึงความต้องการของตลาดในอีก 4-5 ปีข้างหน้าอย่างมีวิจารณญาณ การลงทุนทางการศึกษาควรนำไปสู่ผลตอบแทนที่เป็นอาชีพที่มั่นคงและมีอนาคต

แล้วสาขาไหนที่เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานยุคใหม่?

ในขณะที่บางสาขามีความเสี่ยงสูง ก็ยังมีอีกหลายสาขาที่เป็นที่ต้องการอย่างมากในตลาดแรงงาน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ต้องอาศัยทักษะเฉพาะทางสูง, ความสามารถในการปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยี และทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่นที่ AI ไม่สามารถทดแทนได้

กลุ่มวิทยาศาสตร์สุขภาพ: ตอบโจทย์สังคมสูงวัย

การที่สังคมทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ ทำให้ความต้องการบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สาขาอาชีพเช่น แพทยศาสตร์, สัตวแพทยศาสตร์, พยาบาลศาสตร์, กายภาพบำบัด และเทคนิคการแพทย์ ยังคงเป็นที่ต้องการสูงและมีอัตราการว่างงานต่ำมาก เนื่องจากเป็นงานที่ต้องใช้ทั้งความรู้เฉพาะทาง, ทักษะการปฏิบัติ และที่สำคัญคือความเห็นอกเห็นใจในการดูแลมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เครื่องจักรไม่สามารถทำได้

กลุ่มวิศวกรรมและเทคโนโลยี: หัวใจของเศรษฐกิจดิจิทัล

การปฏิวัติทางดิจิทัลทำให้ทุกอุตสาหกรรมต้องพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น ส่งผลให้บุคลากรในสายนี้เป็นที่ต้องการอย่างไม่สิ้นสุด สาขาอย่าง วิศวกรรมคอมพิวเตอร์, วิทยาการข้อมูล (Data Science), ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (Cybersecurity) และ วิศวกรรมการเงิน (Financial Engineering) ซึ่งผสมผสานความรู้ด้านการเงินเข้ากับเทคโนโลยี ล้วนเป็นสาขาที่มีอนาคตไกลและให้ผลตอบแทนสูง บัณฑิตในกลุ่มนี้มีความสามารถในการสร้างสรรค์นวัตกรรมและขับเคลื่อนธุรกิจให้ก้าวทันโลก

กลุ่มทักษะเฉพาะทางสูง: ผู้เชี่ยวชาญที่ยังขาดแคลน

นอกเหนือจากสองกลุ่มข้างต้น ยังมีสาขาวิชาชีพเฉพาะทางอื่นๆ ที่ตลาดยังคงขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญ ไม่ว่าจะเป็น นิติศาสตร์, โดยเฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและธุรกิจระหว่างประเทศ, สถาปัตยกรรมศาสตร์ ที่ต้องผสมผสานความคิดสร้างสรรค์เข้ากับความรู้ทางวิศวกรรมและความเข้าใจในพฤติกรรมมนุษย์, และ การจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน (Logistics and Supply Chain Management) ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อภาคธุรกิจและการค้าระหว่างประเทศในยุคดิจิทัล สาขาเหล่านี้ต้องการการคิดวิเคราะห์ที่ซับซ้อนและการตัดสินใจที่ข้อมูลเพียงอย่างเดียวไม่สามารถให้คำตอบได้

ตารางเปรียบเทียบลักษณะของสาขาวิชาที่มีความเสี่ยงตกงานสูงและสาขาที่เป็นที่ต้องการในตลาดแรงงานยุคใหม่
คุณลักษณะ สาขาวิชาที่มีความเสี่ยงสูง สาขาวิชาที่เป็นที่ต้องการสูง
ความสามารถในการทดแทนด้วยเทคโนโลยี ทักษะสามารถถูกทดแทนได้ง่ายด้วย AI/Automation ต้องใช้การตัดสินใจที่ซับซ้อน ความคิดสร้างสรรค์ และปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์
ความสอดคล้องกับตลาด จำนวนบัณฑิตมีมากกว่าตำแหน่งงาน (อุปทานล้นตลาด) จำนวนผู้เชี่ยวชาญไม่เพียงพอต่อความต้องการ (ขาดแคลนบุคลากร)
ทักษะด้านดิจิทัล หลักสูตรขาดการบูรณาการทักษะดิจิทัลที่จำเป็น เป็นแกนหลักของหลักสูตร เช่น การเขียนโค้ด การวิเคราะห์ข้อมูล
การประยุกต์ใช้เชิงปฏิบัติ เน้นทฤษฎี ขาดประสบการณ์จริงหรือการฝึกงาน เน้นการลงมือทำ โปรเจกต์ และการฝึกงานในสถานประกอบการจริง
การตอบโจทย์อนาคต ไม่สอดคล้องกับเมกะเทรนด์สำคัญ (เช่น สังคมสูงวัย, พลังงานสะอาด) เป็นส่วนสำคัญในการแก้ปัญหาและขับเคลื่อนเมกะเทรนด์ของโลก

สรุปและแนวทางการปรับตัวเพื่ออนาคตที่มั่นคง

ปัญหา “จบปริญญาตรีแล้วตกงาน” ไม่ได้เกิดจากความผิดพลาดของตัวบัณฑิตเพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลลัพธ์จากการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานที่ไม่หยุดนิ่ง การถือใบปริญญาไม่ได้เป็นเครื่องการันตีความสำเร็จอีกต่อไป แต่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเดินทางในโลกแห่งการทำงานที่ต้องเรียนรู้และปรับตัวตลอดชีวิต

หัวใจสำคัญของการอยู่รอดและเติบโตในตลาดแรงงานยุคใหม่ คือ การสร้างสมดุลระหว่างความรู้ในสาขาวิชาหลัก (Hard Skills) กับทักษะที่สามารถปรับใช้ได้หลากหลาย (Soft Skills) เช่น การสื่อสาร, การทำงานร่วมกับผู้อื่น, การคิดวิเคราะห์ และการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน นอกจากนี้ การพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลและการสั่งสมประสบการณ์ทำงานจริงตั้งแต่อยู่ในระหว่างการศึกษาถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง

สำหรับผู้ที่กำลังจะตัดสินใจเลือกสาขาเรียน การศึกษาข้อมูลความต้องการของตลาดแรงงานในอนาคตจึงมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการทำตามความชอบส่วนตัว ขณะที่ผู้ที่กำลังศึกษาอยู่หรือสำเร็จการศึกษาไปแล้วในสาขาที่มีความเสี่ยง ควรตระหนักถึงความสำคัญของการเรียนรู้เพิ่มเติม (Upskilling) และการเรียนรู้ทักษะใหม่ (Reskilling) เพื่อให้ตนเองยังคงเป็นที่ต้องการของตลาดและสามารถสร้างเส้นทางอาชีพที่มั่นคงและยั่งยืนได้ในระยะยาว