“`html

รื้อหลักสูตรใหม่! บังคับเด็กไทยเขียนโค้ด-AI

สารบัญ

ระบบการศึกษาไทยกำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ เมื่อมีการประกาศแผนรื้อหลักสูตรใหม่! บังคับเด็กไทยเขียนโค้ด-AI อย่างเป็นทางการ โดยจะถูกบรรจุเป็นวิชาบังคับในการศึกษาขั้นพื้นฐาน สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการปรับตัวให้ทันต่อกระแสโลกดิจิทัล และเตรียมความพร้อมให้แก่เยาวชนสำหรับอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์

สรุปประเด็นสำคัญของการปรับหลักสูตร

  • การบังคับใช้ในวงกว้าง: หลักสูตรใหม่จะถูกบรรจุเป็นวิชาบังคับตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึงมัธยมศึกษา เพื่อสร้างรากฐานความเข้าใจด้านเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างทั่วถึง
  • เน้นการปฏิบัติมากกว่าทฤษฎี: การเรียนการสอนจะไม่จำกัดอยู่แค่การเขียนโค้ดซอฟต์แวร์ แต่จะมุ่งเน้นการลงมือทำผ่านการควบคุมอุปกรณ์จริง เช่น บอร์ด Kidbright microAI และการสร้างหุ่นยนต์
  • บูรณาการความรู้ด้าน AI: ปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะเป็นหัวใจสำคัญของหลักสูตร เพื่อให้เด็กไทยเข้าใจหลักการทำงานและสามารถประยุกต์ใช้ AI ในการแก้ปัญหาได้
  • ความร่วมมือระดับชาติ: โครงการนี้เกิดจากความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐที่สำคัญ ทั้งกระทรวงศึกษาธิการ, กระทรวงการอุดมศึกษาฯ, NECTEC และดีป้า เพื่อขับเคลื่อนนโยบายอย่างเป็นรูปธรรม
  • เป้าหมายระยะยาว: สร้าง “พลเมืองดิจิทัล” ที่มีทักษะจำเป็นสำหรับศตวรรษที่ 21 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในตลาดแรงงานโลก

ทิศทางการศึกษาไทยในยุคดิจิทัล

ทิศทางการศึกษาไทยในยุคดิจิทัล

การประกาศแผนรื้อหลักสูตรใหม่! บังคับเด็กไทยเขียนโค้ด-AI ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับวงการศึกษาไทย การปรับเปลี่ยนครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการเพิ่มวิชาเรียน แต่เป็นการปรับกระบวนทัศน์ (Paradigm Shift) ทั้งระบบ เพื่อเตรียมความพร้อมให้คนรุ่นใหม่สามารถรับมือกับความท้าทายและคว้าโอกาสในโลกที่เทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์กลายเป็นส่วนหนึ่งของทุกมิติในชีวิตประจำวัน การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนให้เห็นถึงการตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการสร้างทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพและสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานในอนาคต

เหตุผลและความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลง

โลกในศตวรรษที่ 21 ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและเทคโนโลยี ทักษะด้านการเขียนโค้ด (Coding), การคิดเชิงคำนวณ (Computational Thinking) และความเข้าใจในปัญญาประดิษฐ์ (AI Literacy) ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในกลุ่มโปรแกรมเมอร์หรือนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์อีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นทักษะพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับหลากหลายอาชีพ ตั้งแต่นักการตลาดที่ต้องวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า ไปจนถึงเกษตรกรที่ใช้เทคโนโลยี IoT และ AI ในการทำฟาร์มอัจฉริยะ (Smart Farming) การที่ประเทศไทยจะก้าวไปข้างหน้าและสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้นั้น การลงทุนด้านการศึกษาเพื่อสร้างบุคลากรที่มีทักษะเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หลักสูตรใหม่จึงถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการนี้โดยตรง โดยมีเป้าหมายเพื่อลดช่องว่างทางทักษะ (Skill Gap) และสร้างความมั่นใจว่าเด็กไทยจะเติบโตขึ้นเป็นผู้สร้างสรรค์นวัตกรรม ไม่ใช่เป็นเพียงผู้ใช้งานเทคโนโลยี

ใครคือผู้ขับเคลื่อนและกลุ่มเป้าหมาย

การขับเคลื่อนครั้งใหญ่นี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่เป็นผลมาจากความร่วมมือเชิงบูรณาการของหลายภาคส่วนสำคัญในระดับประเทศ ประกอบด้วย:

  • กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.): ในฐานะหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีบทบาทในการกำหนดนโยบายและนำหลักสูตรไปปรับใช้ในโรงเรียนทั่วประเทศ
  • กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.): มีบทบาทในการสนับสนุนด้านองค์ความรู้ งานวิจัย และการพัฒนานวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน
  • ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC): เป็นหน่วยงานวิจัยและพัฒนาหลักที่อยู่เบื้องหลังการสร้างหลักสูตรต้นแบบและสื่อการสอนที่ทันสมัย เช่น บอร์ด Kidbright microAI ที่ออกแบบมาเพื่อการเรียนรู้โค้ดดิ้งและ AI สำหรับเด็กโดยเฉพาะ
  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า): มีบทบาทในการส่งเสริมและสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่เอื้อต่อการเรียนรู้ผ่านโครงการต่างๆ เช่น Coding Thailand เพื่อยกระดับทักษะให้กับทั้งเยาวชนและบุคลากรทางการศึกษา

กลุ่มเป้าหมายหลักของโครงการนี้คือ นักเรียนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตั้งแต่ระดับประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษา อย่างไรก็ตาม โครงการยังครอบคลุมไปถึง ครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการถ่ายทอดความรู้ จึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาและยกระดับทักษะ (Reskilling/Upskilling) เพื่อให้สามารถจัดการเรียนการสอนตามแนวทางใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แก่นแท้ของหลักสูตรใหม่: มากกว่าแค่การเขียนโค้ด

ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับการเรียนเขียนโค้ดคือการมุ่งเน้นไปที่การท่องจำ синтаксис (Syntax) ของภาษาโปรแกรมต่างๆ แต่หัวใจของหลักสูตรใหม่นี้ไปไกลกว่านั้นมาก โดยมุ่งสร้างความเข้าใจในระดับแนวคิดและส่งเสริมกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ได้จริง

นิยามใหม่ของการเรียนรู้เทคโนโลยี

หลักสูตรใหม่นี้เปลี่ยนนิยามของการเรียนรู้เทคโนโลยีจากการเป็น “ผู้ใช้” (User) ไปสู่การเป็น “ผู้สร้าง” (Creator) โดยมีเป้าหมายเพื่อปลูกฝังทักษะที่สำคัญหลายประการ ได้แก่:

  • การคิดเชิงคำนวณ (Computational Thinking): คือกระบวนการคิดเพื่อแก้ปัญหาที่ซับซ้อนโดยการแบ่งย่อยปัญหา (Decomposition), การหารูปแบบ (Pattern Recognition), การคิดเชิงนามธรรม (Abstraction) และการออกแบบอัลกอริทึม (Algorithm Design) ซึ่งเป็นทักษะที่สามารถนำไปปรับใช้ได้กับทุกสาขาวิชา
  • การแก้ปัญหาอย่างเป็นตรรกะ (Logical Problem-Solving): การเรียนเขียนโค้ดบังคับให้ผู้เรียนต้องคิดอย่างเป็นขั้นเป็นตอนและมีเหตุผล เพื่อออกแบบคำสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามที่ต้องการ
  • ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity): การเขียนโค้ดเปรียบเสมือนการสร้างผลงานศิลปะด้วยภาษาดิจิทัล ผู้เรียนสามารถใช้โค้ดเพื่อสร้างเกม, แอนิเมชัน, เว็บไซต์ หรือแม้กระทั่งควบคุมหุ่นยนต์ ซึ่งเป็นการเปิดพื้นที่ให้จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์
  • ความเข้าใจในปัญญาประดิษฐ์ (AI Literacy): ผู้เรียนจะได้เรียนรู้ว่า AI คืออะไร, ทำงานอย่างไร และมีผลกระทบต่อสังคมในด้านใดบ้าง เพื่อให้สามารถใช้งานและอยู่ร่วมกับเทคโนโลยี AI ได้อย่างชาญฉลาดและมีวิจารณญาณ

โครงการนำร่องและสื่อการสอนแห่งอนาคต

เพื่อให้การเรียนรู้ไม่น่าเบื่อและจับต้องได้ หลักสูตรใหม่จึงเน้นการใช้สื่อการสอนที่ทันสมัยและส่งเสริมการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ (Learning by Doing) ตัวอย่างที่สำคัญคือ Kidbright microAI ซึ่งเป็นบอร์ดไมโครคอนโทรลเลอร์ที่พัฒนาโดย NECTEC สำหรับเด็กไทยโดยเฉพาะ มีจุดเด่นคือ:

  • การเขียนโค้ดแบบบล็อก (Block-based Coding): ผู้เรียนสามารถลากและวางบล็อกคำสั่งเพื่อสร้างโปรแกรมได้ง่ายๆ คล้ายกับการต่อเลโก้ ซึ่งช่วยลดอุปสรรคในการเรียนรู้ синтаксисที่ซับซ้อนในระยะเริ่มต้น
  • การเชื่อมต่อกับเซ็นเซอร์และอุปกรณ์จริง: บอร์ด Kidbright มีเซ็นเซอร์วัดแสง, อุณหภูมิ และสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายนอก เช่น มอเตอร์, หลอดไฟ LED ทำให้ผู้เรียนเห็นผลลัพธ์ของโค้ดที่เขียนขึ้นผ่านการทำงานของอุปกรณ์จริงได้ทันที
  • การบูรณาการ AI: Kidbright microAI ถูกออกแบบมาให้รองรับการเรียนรู้ด้านปัญญาประดิษฐ์เบื้องต้น เช่น การสร้างโมเดล Machine Learning ง่ายๆ เพื่อให้บอร์ดสามารถจดจำวัตถุหรือเสียงได้

การเรียนรู้ผ่านการเขียนโค้ดเพื่อควบคุมอุปกรณ์จริง เช่น การสร้างหุ่นยนต์ที่ทำงานตามคำสั่ง ช่วยเปลี่ยนการเรียนรู้จากเรื่องนามธรรมให้กลายเป็นประสบการณ์ที่จับต้องได้และน่าตื่นเต้นสำหรับเด็ก

ตอบโจทย์ตลาดแรงงานศตวรรษที่ 21

เป้าหมายสูงสุดของการปฏิรูปหลักสูตรครั้งนี้คือการสร้าง “พลเมืองดิจิทัล” (Digital Citizens) ที่มีคุณภาพและพร้อมสำหรับตลาดแรงงานในอนาคต ทักษะที่ได้จากการเรียนโค้ดดิ้งและ AI เป็นที่ต้องการอย่างสูงในอุตสาหกรรมยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็น อุตสาหกรรมเทคโนโลยี, การเงิน (FinTech), สุขภาพ (HealthTech), การเกษตร (AgriTech) หรือแม้แต่ในภาคบริการ การมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำงานและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน นอกจากนี้ การปลูกฝังทักษะเหล่านี้ตั้งแต่ในวัยเรียนยังเป็นการวางรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการเป็นผู้ประกอบการหรือนักสร้างสรรค์นวัตกรรมในอนาคต ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืน

โครงการสนับสนุนระดับชาติ: ปั้นอนาคตด้วย AI

การบังคับใช้หลักสูตรใหม่นี้ได้รับการสนับสนุนจากโครงการระดับชาติหลายโครงการที่มุ่งสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ให้สมบูรณ์และเข้าถึงได้สำหรับทุกคน เพื่อให้แน่ใจว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

Coding Thailand 2025: ขับเคลื่อนอนาคตด้วยปัญญาประดิษฐ์

โครงการ “Coding Thailand 2025: AI-Driven Future” โดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) เป็นหนึ่งในโครงการเรือธงที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในการยกระดับทักษะด้านโค้ดดิ้งและ AI ของประเทศ โครงการนี้มีแนวทางดำเนินงานที่หลากหลายเพื่อครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายต่างๆ:

  • แพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์: สร้างแหล่งเรียนรู้ดิจิทัลที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ฟรี เพื่อเรียนรู้ทักษะการเขียนโค้ดและ AI ได้ทุกที่ทุกเวลา
  • กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้และการแข่งขัน: จัดกิจกรรม เช่น Hackathon, การแข่งขันเขียนโปรแกรม และค่ายวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ เพื่อกระตุ้นความสนใจและเปิดโอกาสให้เยาวชนได้แสดงความสามารถ
  • โครงการเร่งเครื่อง AI (AI Accelerator): สนับสนุนและบ่มเพาะเยาวชนที่มีศักยภาพสูงให้สามารถพัฒนาโครงงานหรือนวัตกรรมด้าน AI ได้อย่างจริงจัง
  • การพัฒนาบุคลากรทางการศึกษา: จัดอบรมครูและอาจารย์เพื่อให้มีความรู้ความสามารถในการสอนวิชาโค้ดดิ้งและ AI ตามหลักสูตรใหม่ได้อย่างมั่นใจ

ความพยายามของดีป้าสะท้อนให้เห็นว่าการปฏิรูปการศึกษาไม่ได้หยุดอยู่แค่ในห้องเรียน แต่ต้องสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ที่แข็งแกร่งควบคู่กันไปด้วย

พลังแห่งความร่วมมือ: ศธ., อว., และ NECTEC

ความสำเร็จของนโยบายนี้ขึ้นอยู่กับความร่วมมือที่แข็งแกร่งระหว่างหน่วยงานต่างๆ การที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ซึ่งดูแลโรงเรียนทั่วประเทศ, กระทรวงการอุดมศึกษาฯ (อว.) ซึ่งเป็นแหล่งรวมองค์ความรู้และงานวิจัย และ NECTEC ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาเทคโนโลยี ได้ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด ถือเป็นสัญญาณที่ดีอย่างยิ่ง ความร่วมมือนี้ช่วยให้เกิดการพัฒนาหลักสูตรและสื่อการสอนที่มีคุณภาพและสอดคล้องกับบริบทของประเทศไทย โดย NECTEC มีบทบาทสำคัญในการวิจัยและพัฒนาเครื่องมืออย่าง Kidbright ที่ไม่เพียงแต่เป็นนวัตกรรมด้านฮาร์ดแวร์ แต่ยังมาพร้อมกับหลักสูตรและคู่มือการใช้งานที่ออกแบบมาเพื่อครูและนักเรียนไทยโดยเฉพาะ ทำให้การนำไปปรับใช้ในโรงเรียนต่างๆ ทำได้ง่ายและมีมาตรฐานเดียวกัน

ผลกระทบและความท้าทายของการเปลี่ยนแปลง

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ย่อมมาพร้อมกับโอกาสและความท้าทาย การทำความเข้าใจทั้งสองด้านจะช่วยให้ทุกภาคส่วนสามารถเตรียมพร้อมรับมือและผลักดันให้นโยบายนี้ประสบความสำเร็จได้ตามเป้าหมาย

โอกาสสำหรับเด็กไทยยุคใหม่

การบรรจุวิชาโค้ดดิ้งและ AI เป็นวิชาบังคับจะสร้างโอกาสมหาศาลให้กับเยาวชนไทย:

  • การพัฒนาทักษะแห่งอนาคต: เด็กไทยจะได้รับการปลูกฝังทักษะที่จำเป็นสำหรับศตวรรษที่ 21 ตั้งแต่เนิ่นๆ ทำให้มีความพร้อมในการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาและการประกอบอาชีพในอนาคต
  • ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา: การกำหนดเป็นวิชาบังคับช่วยให้เด็กทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ใดหรือมีพื้นฐานครอบครัวอย่างไร มีโอกาสเข้าถึงความรู้ด้านเทคโนโลยีอย่างเท่าเทียมกัน
  • ส่งเสริมกระบวนการคิดวิเคราะห์: การเรียนเขียนโค้ดช่วยฝึกฝนการคิดอย่างเป็นระบบ, การแก้ปัญหาอย่างมีตรรกะ และการคิดเชิงวิพากษ์ ซึ่งเป็นทักษะสำคัญที่สามารถนำไปใช้ได้กับทุกเรื่องในชีวิต
  • เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับนานาชาติ: การสร้างประชากรที่มีความรู้ความสามารถด้านดิจิทัลจะช่วยยกระดับศักยภาพของประเทศและดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ

ความท้าทายที่ต้องเผชิญ

อย่างไรก็ตาม การนำนโยบายไปปฏิบัติให้เกิดผลจริงยังคงมีความท้าทายหลายประการที่ต้องได้รับการแก้ไข:

  • การพัฒนาครูผู้สอน: ความท้าทายที่สำคัญที่สุดคือการเตรียมความพร้อมให้กับครูผู้สอนทั่วประเทศ ซึ่งหลายคนอาจไม่มีพื้นฐานด้านการเขียนโค้ดหรือ AI มาก่อน การจัดอบรมที่มีคุณภาพและต่อเนื่องจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
  • ความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน: โรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลอาจยังขาดแคลนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์, บอร์ดไมโครคอนโทรลเลอร์ หรือการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ
  • การพัฒนาหลักสูตรที่ยืดหยุ่น: โลกของเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หลักสูตรจึงต้องได้รับการทบทวนและปรับปรุงให้ทันสมัยอยู่เสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่นักเรียนได้เรียนรู้จะไม่ล้าสมัยเมื่อจบการศึกษา
  • การวัดผลและประเมินผล: ต้องมีการพัฒนารูปแบบการวัดผลที่ไม่ได้เน้นแค่การท่องจำ แต่สามารถประเมินทักษะการคิดวิเคราะห์, ความคิดสร้างสรรค์ และความสามารถในการแก้ปัญหาของผู้เรียนได้อย่างแท้จริง

เปรียบเทียบแนวทางการศึกษา: หลักสูตรเก่า vs. หลักสูตรใหม่

เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้นของการเปลี่ยนแปลง สามารถเปรียบเทียบแนวทางการศึกษาด้านเทคโนโลยีระหว่างหลักสูตรแบบเดิมและหลักสูตรใหม่ได้ดังตารางต่อไปนี้

ตารางเปรียบเทียบแนวทางการศึกษาด้านเทคโนโลยีในหลักสูตรเก่าและหลักสูตรใหม่
มิติการเปรียบเทียบ หลักสูตรการศึกษาแบบเดิม หลักสูตรการศึกษาใหม่ (Coding & AI)
เป้าหมายหลัก การใช้งานโปรแกรมสำเร็จรูป (เช่น Microsoft Office) และความรู้เบื้องต้นด้านคอมพิวเตอร์ การสร้างสรรค์เทคโนโลยี, การแก้ปัญหา และการสร้างนวัตกรรม
รูปแบบการเรียนรู้ เน้นทฤษฎีและการบรรยายในห้องเรียนเป็นหลัก เน้นการลงมือปฏิบัติ (Project-based Learning) และการเรียนรู้ผ่านการแก้ปัญหาจริง
ทักษะที่เน้น ทักษะการใช้งานคอมพิวเตอร์ (Computer Literacy) การคิดเชิงคำนวณ, การคิดเชิงตรรกะ, ความคิดสร้างสรรค์ และความเข้าใจด้าน AI
เครื่องมือและเทคโนโลยี ซอฟต์แวร์สำนักงานและโปรแกรมพื้นฐาน บอร์ดไมโครคอนโทรลเลอร์ (Kidbright), การเขียนโค้ดแบบบล็อก, แพลตฟอร์ม AI และหุ่นยนต์
ผลลัพธ์ที่คาดหวัง ผู้ใช้งานเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ (Efficient User) ผู้สร้างสรรค์และนักนวัตกรรมดิจิทัล (Digital Creator & Innovator)

บทสรุป: ก้าวต่อไปของการศึกษาไทย

การตัดสินใจรื้อหลักสูตรใหม่! บังคับเด็กไทยเขียนโค้ด-AI นับเป็นก้าวที่กล้าหาญและมีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออนาคตของประเทศไทย แม้เส้นทางข้างหน้าจะเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่ก็เป็นทิศทางที่ถูกต้องและจำเป็นในการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับคนรุ่นใหม่ เพื่อให้พวกเขาสามารถเติบโตและประสบความสำเร็จได้ในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล

ความสำเร็จของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับภาครัฐเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งสถานศึกษา, บุคลากรทางการศึกษา, ภาคเอกชน และครอบครัว ในการสนับสนุนและผลักดันให้การเรียนรู้ด้านโค้ดดิ้งและ AI กลายเป็นวัฒนธรรมที่หยั่งรากลึกในสังคมไทย การลงทุนด้านการศึกษาในวันนี้ คือการลงทุนเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของประเทศ การติดตามความคืบหน้าและการสนับสนุนจากทุกฝ่ายจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้การเปลี่ยนผ่านนี้ประสบความสำเร็จและสร้างประโยชน์สูงสุดแก่เยาวชนไทยอย่างแท้จริง

“`