แอปธนาคารมี AI ช่วยลงทุน! รวยจริงหรือเสี่ยงหมดตัว?
เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในภาคการเงินอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแอปพลิเคชันธนาคารที่นำเสนอเครื่องมือช่วยวางแผนและจัดการการลงทุนอัตโนมัติ แนวคิดนี้สร้างความสนใจและคำถามสำคัญต่อนักลงทุนจำนวนมาก
- การทำงานของ AI ในแอปธนาคาร: AI หรือที่รู้จักในชื่อ Robo-Advisor ทำหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลตลาดเพื่อสร้างและบริหารพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมกับผู้ใช้แต่ละราย
- โอกาสในการลงทุน: เทคโนโลยีนี้ช่วยให้การลงทุนเป็นระบบ ลดความผิดพลาดจากอารมณ์ และเปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปเข้าถึงการวางแผนการลงทุนแบบมืออาชีพได้ง่ายขึ้น
- ความเสี่ยงที่ต้องตระหนัก: แม้ AI จะมีความสามารถสูง แต่ก็ไม่สามารถรับประกันผลตอบแทนได้ การลงทุนยังคงมีความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดและข้อจำกัดของอัลกอริทึม
- บทบาทของผู้ลงทุน: นักลงทุนควรใช้ AI เป็นเครื่องมือเสริม ควบคู่ไปกับการมีความรู้ความเข้าใจพื้นฐานด้านการลงทุน เพื่อการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
การมาถึงของฟีเจอร์ใหม่ในแอปธนาคารมี AI ช่วยลงทุน! รวยจริงหรือเสี่ยงหมดตัว? กลายเป็นประเด็นที่น่าจับตามองในแวดวงการเงินส่วนบุคคล เทคโนโลยีนี้ หรือที่เรียกกันอย่างแพร่หลายว่า Robo-Advisor กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีที่ผู้คนเข้าถึงการลงทุน โดยนำเสนอการวางแผนการเงินและการจัดการพอร์ตแบบอัตโนมัติ ซึ่งเคยจำกัดอยู่เฉพาะในกลุ่มผู้มีความมั่งคั่งสูง ให้กลายเป็นบริการที่เข้าถึงได้สำหรับทุกคนผ่านสมาร์ทโฟน ความสามารถของ AI ในการประมวลผลข้อมูลมหาศาลเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน ได้สร้างทั้งความหวังและข้อกังวลไปพร้อมกัน
บทความนี้จะเจาะลึกถึงหลักการทำงานของเทคโนโลยี AI ช่วยลงทุนในแอปพลิเคชันธนาคาร ตั้งแต่การรวบรวมข้อมูลผู้ใช้ การวิเคราะห์ปัจจัยตลาด ไปจนถึงการดำเนินการซื้อขายสินทรัพย์อัตโนมัติ นอกจากนี้ยังสำรวจถึงโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้นผ่านการลงทุนที่เป็นระบบ และในขณะเดียวกัน ก็จะวิเคราะห์ถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความผันผวนของตลาดซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือข้อจำกัดของตัวอัลกอริทึมเอง เพื่อให้นักลงทุนมีความเข้าใจที่ครอบคลุมและสามารถประเมินได้ว่าเทคโนโลยีนี้เหมาะสมกับเป้าหมายทางการเงินของตนเองหรือไม่
เจาะลึกเทคโนโลยี AI ช่วยลงทุน
เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่ถูกนำมาใช้ในแอปพลิเคชันธนาคารเพื่อช่วยในการลงทุนนั้น มีชื่อเรียกเฉพาะทางที่หลากหลาย แต่โดยหลักแล้วสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทหลักที่ทำงานร่วมกันเพื่อมอบประสบการณ์การลงทุนที่ครบวงจรและเป็นอัตโนมัติให้กับผู้ใช้งาน การทำความเข้าใจเทคโนโลยีเหล่านี้เป็นก้าวแรกที่สำคัญในการประเมินศักยภาพและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง
Robo-Advisor: ที่ปรึกษาการลงทุนดิจิทัล
Robo-Advisor คือแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ให้บริการวางแผนการเงินและบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนโดยใช้อัลกอริทึมคอมพิวเตอร์เป็นหลัก โดยลดการแทรกแซงของมนุษย์ให้เหลือน้อยที่สุด หน้าที่หลักของ Robo-Advisor คือการสร้างและบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนที่กระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสมตามข้อมูลที่ได้รับจากผู้ใช้แต่ละราย ซึ่งรวมถึงเป้าหมายทางการเงิน ระยะเวลาการลงทุน และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
ระบบจะนำข้อมูลเหล่านี้มาประมวลผลร่วมกับทฤษฎีการเงินสมัยใหม่ (Modern Portfolio Theory) เพื่อคัดเลือกสินทรัพย์หลากหลายประเภท เช่น หุ้น ตราสารหนี้ และกองทุนรวม ในสัดส่วนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับนักลงทุนคนนั้นๆ จุดเด่นของ Robo-Advisor คือการทำให้กระบวนการลงทุนที่ซับซ้อนกลายเป็นเรื่องง่ายและเข้าถึงได้สำหรับนักลงทุนรายย่อย
AI Advisory Chatbot: ผู้ช่วยตอบคำถามการเงิน
นอกเหนือจาก Robo-Advisor ที่เน้นการบริหารพอร์ตแล้ว แอปธนาคารหลายแห่งยังใช้ AI ในรูปแบบของแชทบอทให้คำปรึกษา (AI Advisory Chatbot) เพื่อเป็นผู้ช่วยส่วนตัวในการตอบคำถามพื้นฐานเกี่ยวกับการเงินและการลงทุน แชทบอทเหล่านี้สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ทางการเงิน อธิบายคำศัพท์เฉพาะทาง หรือแนะนำแนวทางการวางแผนการเงินเบื้องต้นได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งช่วยลดภาระงานของเจ้าหน้าที่และเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งาน อย่างไรก็ตาม แชทบอทส่วนใหญ่มักถูกออกแบบมาเพื่อให้ข้อมูลทั่วไปมากกว่าการให้คำแนะนำการลงทุนเฉพาะบุคคลที่ซับซ้อน
กลไกการทำงานเบื้องหลังความฉลาดของ AI
ความสามารถของ AI ในการช่วยลงทุนไม่ได้เกิดขึ้นจากความบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากกระบวนการทำงานที่เป็นระบบและขับเคลื่อนด้วยข้อมูลอย่างเข้มข้น ตั้งแต่ขั้นตอนแรกในการทำความรู้จักนักลงทุนไปจนถึงการบริหารจัดการพอร์ลงทุนอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
ขั้นตอนการวิเคราะห์และสร้างพอร์ตลงทุน
กระบวนการเริ่มต้นเมื่อผู้ใช้เปิดบัญชีและตอบแบบสอบถามเพื่อประเมินความเสี่ยง (Risk Profile Questionnaire) คำถามเหล่านี้จะครอบคลุมถึงสถานะทางการเงิน ประสบการณ์การลงทุน เป้าหมายในชีวิต และทัศนคติต่อความผันผวนของตลาด จากนั้น AI จะนำคำตอบเหล่านี้มาวิเคราะห์เพื่อกำหนดระดับความเสี่ยงที่ผู้ใช้ยอมรับได้ เช่น จากระดับความเสี่ยงต่ำมากไปจนถึงสูงมาก
เมื่อได้ระดับความเสี่ยงแล้ว อัลกอริทึมจะทำการคัดเลือกสินทรัพย์จากจักรวาลการลงทุนที่กำหนดไว้ล่วงหน้า และคำนวณสัดส่วนการลงทุน (Asset Allocation) ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับพอร์ตนั้นๆ ตัวอย่างเช่น พอร์ตสำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ต่ำอาจมีสัดส่วนของตราสารหนี้สูง ในขณะที่พอร์ตสำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูงจะมีสัดส่วนของหุ้นมากกว่า
การบริหารจัดการพอร์ตอัตโนมัติ
หลังจากสร้างพอร์ตเริ่มต้นแล้ว หน้าที่ของ AI ยังไม่สิ้นสุด ระบบจะทำการติดตามและบริหารจัดการพอร์ตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึง:
- การปรับสมดุลพอร์ต (Rebalancing): เมื่อเวลาผ่านไป มูลค่าของสินทรัพย์ในพอร์ตจะเปลี่ยนแปลงตามสภาวะตลาด ทำให้สัดส่วนการลงทุนเบี่ยงเบนไปจากแผนเดิม AI จะทำการซื้อขายสินทรัพย์โดยอัตโนมัติเพื่อปรับสัดส่วนให้กลับมาอยู่ในระดับที่เหมาะสมตามกลยุทธ์ที่วางไว้
- การลงทุนซ้ำจากเงินปันผล (Dividend Reinvestment): เมื่อมีเงินปันผลหรือดอกเบี้ยเข้ามาในพอร์ต ระบบสามารถนำเงินจำนวนนั้นไปลงทุนต่อโดยอัตโนมัติ เพื่อให้เงินทำงานสร้างผลตอบแทนอย่างต่อเนื่องตามหลักการของผลตอบแทนทบต้น
- การดำเนินการตามเงื่อนไข: ผู้ใช้สามารถตั้งเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ เช่น การย้ายเงินลงทุนเมื่อพอร์ตมีมูลค่าถึงเป้าหมายที่กำหนด ซึ่ง AI จะดำเนินการตามคำสั่งนั้นอย่างแม่นยำเมื่อเงื่อนไขเป็นจริง
ระบบ AI ช่วยลดความผิดพลาดที่เกิดจากอารมณ์และส่งเสริมการตัดสินใจอย่างเป็นระบบ แต่ประสิทธิภาพของมันขึ้นอยู่กับคุณภาพของข้อมูลและสมมติฐานที่ป้อนเข้าไปตั้งแต่แรก
โอกาสและความเป็นไปได้ในการสร้างความมั่งคั่ง
การใช้ AI ช่วยลงทุนผ่านแอปธนาคารนำมาซึ่งโอกาสสำคัญหลายประการที่อาจช่วยเพิ่มศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนรายย่อยหรือผู้ที่ไม่มีเวลาติดตามตลาดอย่างใกล้ชิด
การลงทุนที่เป็นระบบและลดอคติทางอารมณ์
หนึ่งในกับดักที่ใหญ่ที่สุดของการลงทุนคืออคติทางอารมณ์ (Emotional Bias) นักลงทุนจำนวนมากมักตัดสินใจ “ซื้อ” เมื่อตลาดกำลังคึกคัก (ความโลภ) และ “ขาย” เมื่อตลาดตื่นตระหนก (ความกลัว) ซึ่งมักนำไปสู่ผลตอบแทนที่ไม่ดีนัก AI ทำงานโดยปราศจากอารมณ์ ระบบจะยึดมั่นในกลยุทธ์ที่กำหนดไว้ตั้งแต่ต้นและดำเนินการปรับพอร์ตตามหลักการและข้อมูลเท่านั้น ซึ่งช่วยสร้างวินัยในการลงทุนและลดโอกาสการตัดสินใจที่ผิดพลาดจากความผันผวนในระยะสั้น
การเข้าถึงการลงทุนอย่างมืออาชีพ
ในอดีต การวางแผนการลงทุนที่ซับซ้อนและการกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์หลากหลายประเภทมักเป็นบริการสำหรับผู้มีเงินลงทุนสูงเท่านั้น Robo-Advisor ได้ทลายกำแพงดังกล่าวลง โดยเปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงการจัดพอร์ตการลงทุนตามหลักทฤษฎีการเงินที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นที่ไม่สูงมากนัก สิ่งนี้ช่วยสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงเครื่องมือสร้างความมั่งคั่ง
ปัจจัยพิจารณา | โอกาส (Potential Upside) | ความเสี่ยง (Potential Downside) |
---|---|---|
การตัดสินใจลงทุน | เป็นระบบ ปราศจากอคติทางอารมณ์ ยึดตามข้อมูลและกลยุทธ์ที่กำหนดไว้ | ขาดความยืดหยุ่นในการรับมือกับสถานการณ์นอกเหนือแบบจำลอง ไม่สามารถประเมินปัจจัยเชิงคุณภาพได้ |
การบริหารจัดการ | ติดตามและปรับสมดุลพอร์ตอัตโนมัติ 24/7 ช่วยรักษาวินัยการลงทุน | อาจปรับพอร์ตถี่เกินไปในบางสภาวะตลาด หรือทำงานผิดพลาดหากอัลกอริทึมมีปัญหา |
ผลตอบแทน | มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวผ่านการกระจายความเสี่ยงอย่างมีหลักการ | ไม่ได้รับประกันผลตอบแทน การลงทุนมีความเสี่ยง ขาดทุนได้หากสภาวะตลาดโดยรวมไม่เอื้ออำนวย |
การเข้าถึง | ค่าธรรมเนียมต่ำกว่าที่ปรึกษาการเงินที่เป็นมนุษย์ เข้าถึงง่ายผ่านแอปพลิเคชัน | การบริการอาจไม่ครอบคลุมสำหรับผู้ที่มีความต้องการทางการเงินที่ซับซ้อนมาก |
ความเสี่ยงและข้อจำกัดที่ต้องพิจารณา
แม้ว่าเทคโนโลยี AI จะมีประโยชน์มากมาย แต่การฝากอนาคตทางการเงินไว้กับระบบอัตโนมัติก็มาพร้อมกับความเสี่ยงและข้อจำกัดที่นักลงทุนทุกคนต้องทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ การตระหนักถึงประเด็นเหล่านี้จะช่วยให้สามารถใช้งานเครื่องมือได้อย่างเหมาะสมและไม่เกิดความคาดหวังที่เกินจริง
ความผันผวนของตลาดทุน
สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องย้ำคือ AI ไม่สามารถกำจัดความเสี่ยงของตลาดได้ หากตลาดหุ้นหรือตลาดตราสารหนี้โดยรวมปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง พอร์ตการลงทุนที่บริหารโดย AI ก็ย่อมมีมูลค่าลดลงตามไปด้วยเช่นกัน เทคโนโลยีนี้เป็นเพียงเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงผ่านการกระจายการลงทุน แต่ไม่สามารถรับประกันว่าจะไม่ขาดทุนได้ ดังนั้น คำกล่าวที่ว่าจะ “รวยจริง” จึงไม่ใช่สิ่งที่การันตีได้เสมอไป
ข้อจำกัดของอัลกอริทึมและข้อมูล
ประสิทธิภาพของ AI ขึ้นอยู่กับคุณภาพของอัลกอริทึมและข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์ หากข้อมูลที่ป้อนเข้าระบบมีข้อผิดพลาดหรือไม่ครอบคลุม หรือหากสมมติฐานที่ใช้ในการสร้างแบบจำลองทางการเงินไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ก็อาจนำไปสู่การตัดสินใจลงทุนที่ไม่เหมาะสมได้ นอกจากนี้ ในสถานการณ์ที่เกิดวิกฤตการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ (Black Swan Event) AI ซึ่งเรียนรู้จากข้อมูลในอดีตอาจไม่สามารถประเมินสถานการณ์และตอบสนองได้อย่างถูกต้อง ซึ่งอาจนำไปสู่การขาดทุนอย่างหนักได้
การพึ่งพาเทคโนโลยีมากเกินไป
ความสะดวกสบายของระบบอัตโนมัติอาจทำให้นักลงทุนบางส่วนละเลยที่จะศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงทุน ซึ่งเป็นความเสี่ยงในระยะยาว การพึ่งพา AI เพียงอย่างเดียวโดยไม่มีความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับสินทรัพย์ที่ลงทุนหรือสภาวะเศรษฐกิจ อาจทำให้นักลงทุนไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันได้ดีพอ และอาจตื่นตระหนกขายสินทรัพย์ในเวลาที่ไม่เหมาะสม
บทบาทของ AI ในการเงินส่วนบุคคลด้านอื่นๆ
นอกเหนือจากการช่วยลงทุนแล้ว ปัญญาประดิษฐ์ในแอปพลิเคชันธนาคารยังมีบทบาทที่เป็นประโยชน์ในด้านอื่นๆ ของการเงินส่วนบุคคลอีกด้วย ฟังก์ชันเหล่านี้ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างระบบนิเวศทางการเงินที่ชาญฉลาดและปลอดภัยยิ่งขึ้นสำหรับผู้ใช้
- การวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้จ่าย: AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตหรือบัญชีธนาคาร เพื่อสรุปและจัดหมวดหมู่ค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง หรือค่าบันเทิง ข้อมูลเชิงลึกนี้ช่วยให้ผู้ใช้เห็นภาพรวมพฤติกรรมการใช้เงินของตนเอง และสามารถวางแผนลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การวางแผนการเงินส่วนบุคคล: บางแอปพลิเคชันใช้ AI เพื่อช่วยตั้งเป้าหมายการออม เช่น การออมเพื่อซื้อบ้าน หรือเพื่อการเกษียณ โดยระบบจะคำนวณจำนวนเงินที่ต้องออมในแต่ละเดือนและแนะนำแนวทางการจัดสรรเงินเพื่อให้บรรลุเป้าหมายได้ตามกำหนด
- การตรวจจับธุรกรรมที่น่าสงสัย: AI มีความสามารถในการเรียนรู้รูปแบบการทำธุรกรรมปกติของผู้ใช้ หากมีรายการที่ผิดปกติเกิดขึ้น เช่น การกดเงินจำนวนมากในต่างประเทศที่ผู้ใช้ไม่เคยเดินทางไป ระบบจะแจ้งเตือนหรือระงับธุรกรรมนั้นชั่วคราวเพื่อป้องกันการฉ้อโกง ซึ่งเป็นการเพิ่มระดับความปลอดภัยให้กับบัญชีของผู้ใช้
แนวทางการใช้ AI ช่วยลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
เพื่อให้การใช้ AI ช่วยลงทุนเกิดประโยชน์สูงสุดและลดความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น นักลงทุนควรมีแนวทางในการใช้งานที่ถูกต้อง แทนที่จะมองว่าเป็นเครื่องมือวิเศษที่สามารถสร้างความร่ำรวยได้ในชั่วข้ามคืน ควรมองว่าเป็นผู้ช่วยที่มีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการการลงทุนระยะยาว
ประการแรก นักลงทุนควรมีความเข้าใจในเป้าหมายทางการเงินและระดับความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้เป็นอย่างดีก่อนเริ่มใช้งาน และควรตอบแบบสอบถามประเมินความเสี่ยงตามความเป็นจริง เพื่อให้ AI สามารถสร้างพอร์ตที่สอดคล้องกับตัวตนของนักลงทุนได้มากที่สุด
ประการที่สอง ควรใช้ AI เป็นเครื่องมือเสริม ไม่ใช่พึ่งพิงทั้งหมด ควรหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงทุน หลักการกระจายความเสี่ยง และติดตามข่าวสารเศรษฐกิจอย่างสม่ำเสมอ ความรู้นี้จะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจการทำงานของพอร์ตและไม่ตื่นตระหนกไปกับความผันผวนของตลาดในระยะสั้น
สุดท้ายนี้ ควรมีการทบทวนแผนการลงทุนและเป้าหมายเป็นระยะๆ เนื่องจากสถานการณ์ในชีวิตอาจเปลี่ยนแปลงไป เช่น การมีบุตร การเปลี่ยนงาน หรือการเข้าใกล้วัยเกษียณ ซึ่งอาจต้องมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับช่วงชีวิตนั้นๆ
สรุป: อนาคตการลงทุนในยุคปัญญาประดิษฐ์
สรุปแล้ว คำถามที่ว่า แอปธนาคารมี AI ช่วยลงทุน! รวยจริงหรือเสี่ยงหมดตัว? นั้นไม่มีคำตอบที่ตายตัว เทคโนโลยี AI ช่วยลงทุนอย่าง Robo-Advisor เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังและมีประโยชน์อย่างยิ่งในการสร้างวินัยการลงทุน บริหารจัดการพอร์ตอย่างเป็นระบบ และทำให้การวางแผนการเงินแบบมืออาชีพเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้สำหรับทุกคน ซึ่งเป็นโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีนี้ไม่ใช่ยาวิเศษที่จะรับประกันความมั่งคั่งหรือกำจัดความเสี่ยงทั้งหมดออกไปได้ การลงทุนยังคงผูกอยู่กับความผันผวนของสภาวะเศรษฐกิจและตลาดทุน ซึ่งเป็นปัจจัยที่อยู่เหนือการควบคุมของ AI ผลลัพธ์สุดท้ายจึงขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างรวมกัน ทั้งกลยุทธ์ของอัลกอริทึม สภาวะตลาด และที่สำคัญที่สุดคือความเข้าใจและวินัยของตัวนักลงทุนเอง
ดังนั้น การใช้ AI ช่วยลงทุนจึงไม่ใช่ทางเลือกระหว่าง “รวยจริง” หรือ “เสี่ยงหมดตัว” แต่เป็นแนวทางใหม่ในการบริหารจัดการการลงทุนที่ต้องอาศัยความเข้าใจทั้งในศักยภาพและข้อจำกัดของเทคโนโลยี การทำความเข้าใจเครื่องมือนี้อย่างถ่องแท้และใช้งานอย่างชาญฉลาด ควบคู่ไปกับการศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ คือกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จทางการเงินในโลกยุคดิจิทัล