อย่าหาทำ Quiet Quitting! เทรนด์ใหม่ Career Cushioning เกราะกันตกงาน


อย่าหาทำ Quiet Quitting! เทรนด์ใหม่ Career Cushioning เกราะกันตกงาน

สารบัญ

ท่ามกลางความผันผวนทางเศรษฐกิจและภูมิทัศน์การทำงานที่เปลี่ยนแปลงไป พนักงานจำนวนมากกำลังทบทวนความสัมพันธ์ระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ใหม่ๆ ในที่ทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวคิด อย่าหาทำ Quiet Quitting! เทรนด์ใหม่ Career Cushioning เกราะกันตกงาน ที่กำลังสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ของพนักงานต่อความมั่นคงและการเติบโตทางอาชีพอย่างมีนัยสำคัญ

  • Quiet Quitting คือพฤติกรรมการทำงานเท่าที่จำเป็นตามขอบเขตหน้าที่ ไม่ทุ่มเทเกินตัวเพื่อรักษาสมดุลชีวิตและหลีกเลี่ยงภาวะหมดไฟ
  • Career Cushioning เป็นกลยุทธ์เชิงรุกในการสร้าง “เบาะรองรับ” หรือแผนสำรองทางอาชีพ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการเลิกจ้างหรือความไม่มั่นคงในงาน
  • เทรนด์เหล่านี้สะท้อนถึงความต้องการของพนักงานในการปกป้องตนเอง ทั้งจากการทำงานหนักเกินไปและความไม่แน่นอนของตลาดแรงงาน
  • ในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภาวะหมดไฟและขาดความสมดุลในชีวิตการทำงานเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนให้เกิดเทรนด์ Quiet Quitting
  • การทำความเข้าใจแนวคิดทั้งสองนี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทั้งพนักงานและองค์กร เพื่อปรับตัวและวางแผนเส้นทางอาชีพในอนาคตได้อย่างเหมาะสม

ภาพรวมของเทรนด์การทำงานในปัจจุบัน

โลกการทำงานหลังยุคโควิด-19 ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง พนักงาน โดยเฉพาะกลุ่ม Millennials และ Gen Z เริ่มตั้งคำถามและประเมินลำดับความสำคัญของงานในชีวิตใหม่ วัฒนธรรมการทำงานหนัก (Hustle Culture) ที่เคยถูกมองว่าเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จ กำลังถูกท้าทายด้วยแนวคิดที่ให้ความสำคัญกับสมดุลชีวิตการทำงาน (Work-Life Balance) และสุขภาพจิตมากขึ้น

ในสภาวะที่เศรษฐกิจโลกยังคงมีความไม่แน่นอนสูงและความไว้วางใจระหว่างนายจ้างและลูกจ้างอาจไม่ได้สมบูรณ์แบบเสมอไป พนักงานจึงเริ่มมองหาวิธีการที่จะปกป้องและสร้างความมั่นคงให้กับตนเอง แนวคิดเรื่องการทำงานจึงเปลี่ยนจากการอุทิศตนเพื่อองค์กรเพียงอย่างเดียว ไปสู่การให้ความสำคัญกับการรักษาความเป็นอยู่ที่ดีของตนเองและการเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตที่ไม่คาดฝัน ซึ่งเป็นที่มาของสองเทรนด์สำคัญที่กำลังถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง นั่นคือ “Quiet Quitting” และ “Career Cushioning”

Quiet Quitting คืออะไร ทำไมถึงกลายเป็นกระแส

Quiet Quitting หรือ “การลาออกเงียบ” ไม่ได้หมายถึงการยื่นใบลาออกจากงานจริงๆ แต่เป็นพฤติกรรมที่พนักงานจำกัดการทำงานของตนเองให้อยู่ในขอบเขตของหน้าที่ความรับผิดชอบที่ระบุไว้ใน Job Description เท่านั้น โดยไม่ทำงานล่วงเวลาหรืออาสาทำงานเพิ่มเติมที่อยู่นอกเหนือหน้าที่หลัก พูดง่ายๆ คือการ “ทำงานตามเงินเดือน” เพื่อรักษาสมดุลชีวิตและหลีกเลี่ยงความเหนื่อยล้าทางอารมณ์และร่างกาย

คำนิยามและการแสดงออก

พฤติกรรมของ Quiet Quitting คือการถอยห่างจากความคาดหวังที่จะต้อง “ทุ่มเทเกินร้อย” พนักงานที่อยู่ในภาวะนี้ยังคงปฏิบัติงานตามหน้าที่ครบถ้วน แต่จะไม่มีส่วนร่วมทางอารมณ์หรือความรู้สึกผูกพันกับงานมากเกินไป พวกเขาจะปฏิเสธการทำงานนอกเวลา ปิดการแจ้งเตือนเรื่องงานหลังเลิกงาน และให้ความสำคัญกับเวลาส่วนตัวและครอบครัวมากขึ้น นี่คือกลไกการป้องกันตนเองจากภาวะหมดไฟ (Burnout) และความไม่พอใจในสภาพแวดล้อมการทำงาน

Quiet Quitting ไม่ใช่การลาออกจากงาน แต่เป็นการถอนตัวจากแนวคิดที่ว่าพนักงานต้องอุทิศตนเพื่องานจนเกินขอบเขตหน้าที่ความรับผิดชอบ

สาเหตุของ Quiet Quitting ในบริบทของประเทศไทย

ปรากฏการณ์นี้เด่นชัดอย่างยิ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย รายงานจาก Gallup ในปี 2023 พบว่าพนักงานในภูมิภาคนี้ถึง 68% มีสัญญาณของ Quiet Quitting สำหรับประเทศไทย ภาวะหมดไฟเป็นปัญหาใหญ่ทั้งในภาครัฐและเอกชน โดยพบว่าพนักงานรัฐวิสาหกิจ 77% และพนักงานบริษัทเอกชน 73% ได้รับผลกระทบ

ปัจจัยหลักที่นำไปสู่ Quiet Quitting ในไทยประกอบด้วย:

  • ภาระงานที่ไม่สมดุล: การทำงานหนักเกินไปโดยไม่มีการพักผ่อนที่เพียงพอ
  • การไม่ได้รับการยอมรับ: ขาดการชื่นชมหรือให้รางวัลที่เหมาะสมกับผลงาน
  • โอกาสเติบโตที่จำกัด: มองไม่เห็นเส้นทางความก้าวหน้าในอาชีพกับองค์กรปัจจุบัน

ด้วยเหตุนี้ คนทำงานรุ่นใหม่จึงเลือกใช้ Quiet Quitting เป็นกลไกในการรับมือกับความกดดัน เพื่อปกป้องสุขภาพจิตและเวลาส่วนตัวของตนเอง แม้ว่าการกระทำนี้อาจถูกมองในแง่ลบว่าอาจส่งผลเสียต่อการเติบโตในสายอาชีพหรือความสัมพันธ์ในที่ทำงานในระยะยาวก็ตาม

Career Cushioning: เกราะป้องกันความไม่แน่นอนทางอาชีพ

Career Cushioning: เกราะป้องกันความไม่แน่นอนทางอาชีพ

ในขณะที่ Quiet Quitting เป็นกลยุทธ์เชิงรับเพื่อจัดการกับสภาพแวดล้อมการทำงานปัจจุบัน Career Cushioning กลับเป็นกลยุทธ์เชิงรุกเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตที่ไม่แน่นอน เปรียบเสมือนการสร้าง “เกราะกันตกงาน” หรือ “เบาะรองรับ” ทางอาชีพ เพื่อลดความเสี่ยงจากการถูกเลิกจ้างหรือความจำเป็นต้องเปลี่ยนงานอย่างกะทันหัน

นิยามของ Career Cushioning

Career Cushioning คือการเตรียมแผนสำรองในขณะที่ยังทำงานอยู่ในตำแหน่งปัจจุบัน เป็นการกระทำที่สะท้อนถึงการยอมรับความจริงว่าความมั่นคงในหน้าที่การงานนั้นไม่จีรังยั่งยืนอีกต่อไป พนักงานจึงต้องสร้างทางเลือกและโอกาสให้ตัวเองอยู่เสมอ แทนที่จะพึ่งพาความปลอดภัยจากองค์กรเพียงแห่งเดียว การเตรียมพร้อมนี้ช่วยให้พนักงานอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบ สามารถเปลี่ยนผ่านไปยังโอกาสใหม่ๆ ได้อย่างราบรื่นเมื่อจำเป็น

กลยุทธ์การสร้างเบาะรองรับทางอาชีพ

การทำ Career Cushioning ไม่ได้หมายถึงการไม่มีความสุขกับงานปัจจุบัน แต่คือการมองการณ์ไกลและสร้างความมั่นคงให้ตนเองผ่านการกระทำต่างๆ ดังนี้:

  1. การพัฒนาทักษะใหม่ (Upskilling/Reskilling): เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ที่เป็นที่ต้องการของตลาด ทั้งทักษะที่เกี่ยวข้องกับงานปัจจุบันและทักษะในสายงานอื่นที่สนใจ เพื่อเพิ่มมูลค่าและทางเลือกให้กับตนเอง
  2. การสร้างเครือข่าย (Networking): สร้างและรักษาความสัมพันธ์กับคนในแวดวงอาชีพอย่างสม่ำเสมอ การมีเครือข่ายที่ดีสามารถนำไปสู่โอกาสใหม่ๆ ที่อาจไม่เคยคาดคิด
  3. การอัปเดตเรซูเม่และโปรไฟล์ออนไลน์: ปรับปรุงประวัติการทำงานและผลงานให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ เพื่อให้พร้อมสำหรับการสมัครงานใหม่ได้ทันที
  4. การสำรวจตลาดงาน: ติดตามข่าวสารและตำแหน่งงานว่างในตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทราบถึงความต้องการของตลาดและประเมินทางเลือกที่เป็นไปได้
  5. การทำงานเสริมหรือโปรเจกต์อิสระ: รับงานเสริมเล็กๆ น้อยๆ เพื่อสร้างรายได้เสริมและสั่งสมประสบการณ์ในสายงานอื่น

Career Cushioning จึงเป็นแนวทางปฏิบัติที่ชาญฉลาดสำหรับคนทำงานยุคใหม่ ที่ต้องการควบคุมเส้นทางอาชีพของตนเองและไม่ต้องการตกเป็นฝ่ายตั้งรับเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง

เปรียบเทียบ Quiet Quitting และ Career Cushioning

แม้ว่าทั้งสองเทรนด์จะเกิดขึ้นจากความต้องการปกป้องตนเองของพนักงานเหมือนกัน แต่ก็มีเป้าหมายและวิธีการที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน Quiet Quitting คือการตอบสนองต่อสภาวะปัจจุบัน ส่วน Career Cushioning คือการเตรียมการสำหรับอนาคต

ตารางเปรียบเทียบระหว่าง Quiet Quitting และ Career Cushioning เพื่อแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างในด้านเป้าหมาย วิธีการ และผลลัพธ์ของทั้งสองแนวคิด
คุณลักษณะ Quiet Quitting Career Cushioning
คำนิยาม การทำงานตามขอบเขตหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะหมดไฟ โดยไม่มีการลาออก การเตรียมแผนสำรองทางอาชีพ เช่น การพัฒนาทักษะหรือมองหางานใหม่ ในขณะที่ยังทำงานอยู่
เป้าหมายหลัก ปกป้องเวลาส่วนตัวและรักษาสมดุลชีวิตการทำงาน (Work-Life Balance) สร้างเกราะป้องกันความไม่มั่นคงจากการตกงานหรือการเลิกจ้าง
ลักษณะ เชิงรับ (Reactive) เป็นการตอบสนองต่อสภาพการทำงานที่ไม่ดี เชิงรุก (Proactive) เป็นการวางแผนเพื่ออนาคต
บริบท มักเกิดจากความเหนื่อยล้า ความไม่พอใจต่องาน หรือวัฒนธรรมองค์กรที่กดดัน เกิดจากความตระหนักถึงความไม่แน่นอนของตลาดแรงงาน และความต้องการควบคุมอนาคตของตนเอง
ผลลัพธ์ ช่วยลดความเครียดในระยะสั้น แต่อาจส่งผลต่อการเติบโตในสายอาชีพ สร้างความมั่นคงทางอาชีพในระยะยาว และเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนผ่านงานได้อย่างราบรื่น

ผลกระทบต่อตลาดแรงงานและแนวทางการปรับตัว

การเกิดขึ้นของเทรนด์ Quiet Quitting และ Career Cushioning กำลังส่งสัญญาณที่สำคัญไปยังองค์กรต่างๆ ว่าแนวทางการบริหารจัดการพนักงานแบบเดิมอาจไม่สามารถใช้ได้ผลอีกต่อไป พนักงานในปัจจุบันต้องการมากกว่าแค่ค่าตอบแทนที่เป็นตัวเงิน พวกเขามองหาความสมดุล ความเข้าใจ และโอกาสในการเติบโตที่ชัดเจน

องค์กรจำเป็นต้องปรับตัวโดยการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีขึ้น เช่น การจัดการภาระงานที่เหมาะสม การให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตของพนักงาน การสร้างวัฒนธรรมแห่งการยอมรับและให้เกียรติซึ่งกันและกัน และการสนับสนุนเส้นทางการเติบโตในอาชีพที่ชัดเจน เพื่อลดแรงจูงใจในการ Quiet Quitting และสร้างความผูกพันกับองค์กรในระยะยาว

ในขณะเดียวกัน สำหรับพนักงาน การทำความเข้าใจและนำกลยุทธ์ Career Cushioning มาปรับใช้จะช่วยสร้างความยืดหยุ่นและความมั่นคงให้กับเส้นทางอาชีพของตนเองในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องและการเตรียมพร้อมอยู่เสมอ คือกุญแจสำคัญในการเอาตัวรอดและเติบโตในตลาดแรงงานยุคใหม่

บทสรุป: การสร้างความมั่นคงในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง

ปรากฏการณ์ อย่าหาทำ Quiet Quitting! เทรนด์ใหม่ Career Cushioning เกราะกันตกงาน ไม่ใช่แค่กระแสที่เกิดขึ้นชั่วคราว แต่เป็นภาพสะท้อนของการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานในทัศนคติของคนทำงานทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย Quiet Quitting คือเสียงเรียกร้องแบบเงียบๆ ให้องค์กรหันมาใส่ใจในคุณภาพชีวิตของพนักงานมากขึ้น ในขณะที่ Career Cushioning คือกลยุทธ์การเอาตัวรอดที่ชาญฉลาดของพนักงานที่ต้องการสร้างความมั่นคงด้วยตนเอง

การทำความเข้าใจแนวคิดทั้งสองนี้จะช่วยให้ทั้งพนักงานและองค์กรสามารถนำทางผ่านความท้าทายของโลกการทำงานยุคใหม่ได้ดียิ่งขึ้น การสร้างสมดุลระหว่างการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและการดูแลชีวิตส่วนตัว ควบคู่ไปกับการวางแผนอาชีพเชิงรุก คือแนวทางที่จะนำไปสู่ความสำเร็จและความยั่งยืนในระยะยาวสำหรับทุกฝ่าย