เงินบาทดิจิทัลเริ่มใช้! เตรียมตัวก่อนเงินสดหมดค่า
- ภาพรวมของการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคเงินบาทดิจิทัล
- ความหมายและนิยามของเงินบาทดิจิทัล (CBDC)
- วัตถุประสงค์และเป้าหมายหลักของการนำมาใช้
- กลไกการทำงานและการใช้งานในชีวิตประจำวัน
- เปรียบเทียบเงินบาทดิจิทัล เงินสด และสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ
- อนาคตของเงินบาทดิจิทัล: ก้าวสู่ยุค Programmable Money ในปี 2025
- ความสัมพันธ์กับโลกคริปโตและ Stablecoin
- การเตรียมความพร้อมสู่สังคมไร้เงินสดเต็มรูปแบบ
- บทสรุป: อนาคตการเงินไทยในยุคดิจิทัล
การประกาศทดลองใช้เงินบาทดิจิทัลในวงกว้างโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งประวัติศาสตร์ของระบบการเงินไทย การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่เพียงการนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ แต่เป็นการวางรากฐานสำคัญสำหรับโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินแห่งอนาคต ที่จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชนและภาคธุรกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ภาพรวมของการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคเงินบาทดิจิทัล
- สถานะเทียบเท่าเงินสด: เงินบาทดิจิทัล หรือ CBDC (Central Bank Digital Currency) เป็นเงินที่ออกโดยธนาคารกลาง มีมูลค่าและสถานะทางกฎหมายเทียบเท่าธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ สามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย
- เป้าหมายสู่สังคมไร้เงินสด: วัตถุประสงค์หลักคือการลดการพึ่งพาเงินสด เพิ่มประสิทธิภาพและความเร็วในการทำธุรกรรม และลดต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเงินสดในระบบเศรษฐกิจ
- ใช้งานผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล: การเข้าถึงและใช้งานเงินบาทดิจิทัลจะทำผ่านแอปพลิเคชันกระเป๋าเงินดิจิทัล (Digital Wallet) หรือบัตรที่ได้รับอนุญาต ซึ่งรองรับทั้งผู้ที่มีและไม่มีสมาร์ทโฟน
- รากฐานของนวัตกรรมการเงิน: เงินบาทดิจิทัลถูกออกแบบมาเพื่อรองรับอนาคตทางการเงิน สามารถพัฒนาเป็น “Programmable Money” ที่ทำงานร่วมกับเทคโนโลยีบล็อกเชน, DeFi และ NFT ได้
- การเตรียมตัวเป็นสิ่งสำคัญ: ประชาชนและธุรกิจจำเป็นต้องเริ่มศึกษา ทำความเข้าใจ และปรับตัวให้เข้ากับระบบการชำระเงินรูปแบบใหม่ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้ได้อย่างเต็มศักยภาพ
เมื่อการมาถึงของ เงินบาทดิจิทัลเริ่มใช้! เตรียมตัวก่อนเงินสดหมดค่า กลายเป็นความจริงที่จับต้องได้ในปี 2025 นี้ คำถามสำคัญที่ตามมาคือ เงินบาทดิจิทัลคืออะไร มีความสำคัญอย่างไร และจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางการเงินของประเทศไทยไปในทิศทางใด สกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางนี้ (CBDC) เป็นเงินที่ถูกต้องตามกฎหมาย มีสถานะเทียบเท่าเงินสดทุกประการ แต่แตกต่างตรงที่ไม่มีรูปแบบทางกายภาพเป็นธนบัตรหรือเหรียญ แต่จะอยู่ในรูปแบบข้อมูลดิจิทัลที่จัดเก็บและโอนย้ายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ความเกี่ยวข้องของเงินบาทดิจิทัลต่อทุกคนจึงเป็นเรื่องใกล้ตัวอย่างยิ่ง เพราะมันคืออนาคตของการใช้จ่าย การออม และการลงทุน ที่จะทำให้สังคมไทยก้าวเข้าสู่ยุคสังคมไร้เงินสด (Cashless Society) อย่างเต็มรูปแบบ
การเปิดตัวเงินบาทดิจิทัลไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แต่เป็นผลมาจากการศึกษาและพัฒนามาอย่างต่อเนื่องของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่ทันสมัย ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสำหรับศตวรรษที่ 21 บุคคลที่ควรให้ความสนใจอย่างยิ่งคือประชาชนทั่วไป ผู้ประกอบการรายย่อย ไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ เพราะการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อพฤติกรรมการชำระเงิน การทำบัญชี และการดำเนินธุรกิจในทุกระดับ ความสำคัญของเรื่องนี้จึงอยู่ที่การเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และเปิดประตูสู่โอกาสทางนวัตกรรมการเงินใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน
ความหมายและนิยามของเงินบาทดิจิทัล (CBDC)
เพื่อให้เข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ จำเป็นต้องเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจนิยามและหลักการพื้นฐานของเงินบาทดิจิทัล ว่ามีความเหมือนหรือแตกต่างจากเงินรูปแบบอื่น ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบันอย่างไร
CBDC คืออะไร และเหตุใดจึงสำคัญ
CBDC ย่อมาจาก Central Bank Digital Currency หรือ สกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง ซึ่งหมายถึงเงินตราของประเทศในรูปแบบดิจิทัลที่ธนาคารกลางเป็นผู้ออกและรับประกันมูลค่าโดยตรง แตกต่างจากสกุลเงินดิจิทัลประเภทอื่น ๆ เช่น คริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) อย่างบิตคอยน์ที่ไม่มีผู้ออกหรือควบคุมจากส่วนกลาง และแตกต่างจากเงินในบัญชีธนาคารพาณิชย์ (Commercial Bank Money) ซึ่งเป็นเพียงบันทึกทางบัญชีและเป็นภาระหนี้ของธนาคารพาณิชย์นั้นๆ
ความสำคัญของ CBDC คือการที่มันเป็น “เงินของธนาคารกลาง” ที่ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้โดยตรง ซึ่งโดยปกติแล้ว เงินของธนาคารกลางจะถูกจำกัดการใช้งานอยู่เฉพาะในกลุ่มสถาบันการเงินเท่านั้น การที่ประชาชนสามารถถือเงินบาทดิจิทัลได้โดยตรง จึงเป็นการเพิ่มทางเลือกในการถือสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุดในระบบการเงิน (เทียบเท่าการถือธนบัตร) แต่มาในรูปแบบที่สะดวกและทันสมัยกว่า
สถานะทางกฎหมายและความแตกต่างจากเงินสด
ในทางกฎหมาย เงินบาทดิจิทัลมีสถานะเป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย (Legal Tender) เช่นเดียวกับธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ที่หมุนเวียนอยู่ในปัจจุบันทุกประการ หมายความว่า ทุกร้านค้าและผู้ให้บริการจะต้องยอมรับการชำระเงินด้วยเงินบาทดิจิทัล เสมือนกับการรับเงินสด
อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดคือรูปแบบทางกายภาพ เงินสดเป็นสินทรัพย์ที่จับต้องได้ (Tangible Asset) ในขณะที่เงินบาทดิจิทัลเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตน (Intangible Asset) อยู่ในรูปแบบของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ การไม่มีตัวตนนี้เองที่นำมาซึ่งข้อดีหลายประการ เช่น ความสะดวกในการพกพา การโอนย้ายที่รวดเร็ว และต้นทุนการจัดการที่ต่ำกว่า แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างความท้าทายใหม่ ๆ ในด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์และความเป็นส่วนตัวของข้อมูล
วัตถุประสงค์และเป้าหมายหลักของการนำมาใช้
การที่ธนาคารแห่งประเทศไทยตัดสินใจผลักดันโครงการเงินบาทดิจิทัลนั้น มีเบื้องหลังคือวัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์หลายประการที่มุ่งเป้าไปที่การยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของประเทศให้พร้อมสำหรับอนาคต
การลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการชำระเงิน
การจัดการเงินสดในระบบเศรษฐกิจมีต้นทุนที่สูงมาก ตั้งแต่กระบวนการผลิตธนบัตรและเหรียญ การขนส่ง การจัดเก็บ การนับ และการทำลายเมื่อชำรุด การเปลี่ยนผ่านไปสู่เงินบาทดิจิทัลจะช่วยลดต้นทุนเหล่านี้ได้อย่างมหาศาล นอกจากนี้ การชำระเงินผ่านระบบดิจิทัลยังมีความรวดเร็วและสามารถทำได้ตลอด 24 ชั่วโมง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจโดยรวม ทำให้ภาคธุรกิจสามารถบริหารจัดการสภาพคล่องได้ดีขึ้น
การขยายการเข้าถึงบริการทางการเงิน (Financial Inclusion)
หนึ่งในเป้าหมายสำคัญของเงินบาทดิจิทัลคือการส่งเสริมให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างทั่วถึง แม้ในปัจจุบันประเทศไทยจะมีอัตราการเข้าถึงบริการธนาคารที่สูง แต่ก็ยังมีประชากรบางส่วนที่ยังอยู่นอกระบบ โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล หรือกลุ่มผู้ที่ไม่มีเอกสารเพียงพอในการเปิดบัญชีธนาคาร การออกแบบระบบเงินบาทดิจิทัลที่สามารถใช้งานผ่านบัตร (Card-based) ควบคู่ไปกับแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน จะช่วยให้กลุ่มคนเหล่านี้สามารถเข้าถึงระบบการชำระเงินที่ปลอดภัยและเป็นทางการได้ง่ายขึ้น
การลดความเสี่ยงเชิงระบบในภาคการเงิน
ในยุคที่บริการทางการเงินดิจิทัลส่วนใหญ่ถูกขับเคลื่อนโดยภาคเอกชน การมีโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่ออกโดยธนาคารกลางเป็นอีกทางเลือกหนึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาผู้ให้บริการรายใดรายหนึ่งมากเกินไป หากผู้ให้บริการเอกชนรายใหญ่ประสบปัญหาทางเทคนิคหรือทางการเงิน อาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อระบบการชำระเงินของประเทศได้ เงินบาทดิจิทัลจึงเปรียบเสมือน “ทางหลวง” หลักของระบบการเงินที่รัฐเป็นผู้ดูแล เพื่อสร้างความมั่นคงและเสถียรภาพให้กับระบบเศรษฐกิจดิจิทัลในระยะยาว
กลไกการทำงานและการใช้งานในชีวิตประจำวัน
การใช้งานเงินบาทดิจิทัลถูกออกแบบมาให้ง่ายและสะดวกสำหรับประชาชนทั่วไป โดยมีกลไกที่ไม่ซับซ้อนและสามารถปรับใช้ได้กับวิถีชีวิตประจำวัน
วิธีการแลกเปลี่ยนและจัดเก็บเงินบาทดิจิทัล
การนำเงินบาทดิจิทัลเข้าสู่ระบบจะเริ่มต้นจากการที่ผู้ใช้ “แลก” เงินสดหรือเงินฝากในบัญชีธนาคารของตนเองให้กลายเป็นเงินบาทดิจิทัลในอัตรา 1:1 ผ่านตัวกลางที่ได้รับอนุญาต เช่น ธนาคารพาณิชย์ หรือผู้ให้บริการทางการเงินอื่น ๆ ที่เข้าร่วมโครงการ เมื่อแลกเปลี่ยนแล้ว เงินบาทดิจิทัลจะถูกโอนเข้ามาเก็บไว้ใน “กระเป๋าเงินดิจิทัล” (Digital Wallet) ของผู้ใช้ ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ กระบวนการนี้คล้ายกับการเติมเงินเข้า e-Wallet ที่คุ้นเคยกันดีในปัจจุบัน แต่มีความแตกต่างที่สำคัญคือ เงินที่อยู่ในกระเป๋าเงินบาทดิจิทัลนั้นเป็นเงินของธนาคารกลางโดยตรง ไม่ใช่เงินฝากไว้กับบริษัทเอกชน
ช่องทางการชำระเงิน: สมาร์ทโฟนและบัตรดิจิทัล
การใช้งานเงินบาทดิจิทัลเพื่อชำระค่าสินค้าและบริการสามารถทำได้สองรูปแบบหลัก:
- ผ่านสมาร์ทโฟน: ผู้ใช้สามารถเปิดแอปพลิเคชัน Digital Wallet แล้วทำการสแกน QR Code หรือใช้วิธีการอื่น ๆ (เช่น NFC) เพื่อชำระเงินที่ร้านค้า ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกับการใช้ Mobile Banking หรือแอปพลิเคชัน e-Wallet ในปัจจุบัน
- ผ่านบัตร: สำหรับผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟนหรือไม่สะดวกในการใช้งานแอปพลิเคชัน จะมีบัตรที่เชื่อมต่อกับบัญชีเงินบาทดิจิทัล ซึ่งสามารถใช้แตะเพื่อจ่าย (Tap-to-Pay) ที่เครื่องรับชำระเงินได้ รูปแบบนี้ช่วยให้มั่นใจได้ว่าเทคโนโลยีใหม่นี้จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และทุกคนสามารถเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไร้เงินสดได้
เปรียบเทียบเงินบาทดิจิทัล เงินสด และสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ
คุณสมบัติ | เงินบาทดิจิทัล (CBDC) | เงินสด (ธนบัตร/เหรียญ) | คริปโทเคอร์เรนซี (เช่น Bitcoin) |
---|---|---|---|
ผู้ออกและรับประกัน | ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) | ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) | ไม่มีหน่วยงานกลาง (Decentralized) |
รูปแบบ | ดิจิทัล (ไม่มีกายภาพ) | กายภาพ (จับต้องได้) | ดิจิทัล (ไม่มีกายภาพ) |
สถานะทางกฎหมาย | ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย | ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย | ไม่ถือเป็นเงิน (ขึ้นอยู่กับกฎหมายแต่ละประเทศ) |
เสถียรภาพของมูลค่า | คงที่ (1 บาทดิจิทัล = 1 บาท) | คงที่ (มูลค่าตามหน้าธนบัตร/เหรียญ) | มีความผันผวนสูง |
เทคโนโลยีพื้นฐาน | ระบบที่ควบคุมโดยธนาคารกลาง | ไม่มีเทคโนโลยีเกี่ยวข้องโดยตรง | บล็อกเชน (Blockchain) |
การใช้งานหลัก | การชำระเงินในชีวิตประจำวัน, นวัตกรรมการเงิน | การชำระเงินในชีวิตประจำวัน | การลงทุน/เก็งกำไร, การโอนเงินข้ามพรมแดน |
อนาคตของเงินบาทดิจิทัล: ก้าวสู่ยุค Programmable Money ในปี 2025
การมาถึงของเงินบาทดิจิทัลไม่ได้หยุดอยู่แค่การสร้างเงินในรูปแบบใหม่ แต่เป็นการเปิดศักยภาพไปสู่ “Programmable Money” หรือเงินที่สามารถตั้งโปรแกรมได้ ซึ่งเป็นแนวคิดที่จะปฏิวัติวิธีการทำธุรกรรมทางการเงินไปอย่างสิ้นเชิง
เงินที่ตั้งโปรแกรมได้ (Programmable Money) คืออะไร?
Programmable Money คือเงินดิจิทัลที่สามารถฝังตรรกะหรือเงื่อนไขการทำงานอัตโนมัติลงไปได้ผ่านสิ่งที่เรียกว่า “สัญญาอัจฉริยะ” (Smart Contract) ทำให้เงินสามารถถูกโอนหรือใช้งานได้เองเมื่อเงื่อนไขที่กำหนดไว้ล่วงหน้าบรรลุผลสำเร็จ โดยไม่จำเป็นต้องมีตัวกลางเข้ามาแทรกแซง
ตัวอย่างเช่น: รัฐบาลสามารถโอนเงินช่วยเหลือเยียวยาในรูปแบบเงินบาทดิจิทัลที่ตั้งโปรแกรมให้ใช้ได้เฉพาะกับร้านค้าที่ขายสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น และมีวันหมดอายุ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ตรงจุดและรวดเร็ว หรือในภาคธุรกิจ สามารถสร้างสัญญาที่จ่ายเงินให้ซัพพลายเออร์โดยอัตโนมัติทันทีที่ระบบยืนยันว่าสินค้าได้ถูกจัดส่งเรียบร้อยแล้ว
การเชื่อมโยงกับ DeFi และ NFT
ศักยภาพของ Programmable Money จะยิ่งเด่นชัดขึ้นเมื่อทำงานร่วมกับเทคโนโลยีอื่น ๆ ในโลกดิจิทัล เงินบาทดิจิทัลสามารถเป็นสื่อกลางที่มั่นคงและน่าเชื่อถือในการทำธุรกรรมบนแพลตฟอร์มการเงินแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Finance: DeFi) ซึ่งเปิดโอกาสให้บริการทางการเงินรูปแบบใหม่ ๆ เช่น การกู้ยืม หรือการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์โดยไม่ต้องผ่านธนาคาร นอกจากนี้ ยังสามารถใช้ในการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่สามารถทำซ้ำได้ (Non-Fungible Tokens: NFT) ได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ การพัฒนา Crypto Wallet ในไทย เช่น Rubie Wallet ก็เป็นหนึ่งในสัญญาณที่ชี้ให้เห็นถึงความพร้อมของระบบนิเวศในการรองรับนวัตกรรมเหล่านี้
ความสัมพันธ์กับโลกคริปโตและ Stablecoin
แม้ว่าเงินบาทดิจิทัล (CBDC) จะแตกต่างจากคริปโทเคอร์เรนซีโดยสิ้นเชิง แต่การเกิดขึ้นของมันกลับสร้างสะพานเชื่อมระหว่างโลกการเงินดั้งเดิมและโลกสินทรัพย์ดิจิทัลให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านแนวคิดของ Stablecoin
กรณีศึกษา: Stablecoin ที่ผูกกับเงินบาท (THBX)
Stablecoin คือ สกุลเงินดิจิทัลประเภทหนึ่งที่ถูกออกแบบมาให้มีมูลค่าคงที่ โดยมักจะผูก (peg) ไว้กับสินทรัพย์อ้างอิง เช่น เงินตราของประเทศ (Fiat Currency) อย่างดอลลาร์สหรัฐหรือเงินบาท ในประเทศไทย มีการพัฒนา Stablecoin ที่ผูกกับเงินบาทในอัตรา 1:1 เช่น THBX ซึ่งหมายความว่า 1 THBX จะมีมูลค่าเท่ากับ 1 บาทเสมอ
การมีอยู่ของ Stablecoin ที่น่าเชื่อถือและได้รับการยอมรับ มีบทบาทสำคัญในการเป็น “On-ramp” และ “Off-ramp” หรือประตูเข้า-ออกจากโลกคริปโต นักลงทุนสามารถแลกเงินบาทเป็น THBX เพื่อนำไปใช้ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลอื่น ๆ ได้อย่างสะดวกและมีต้นทุนต่ำกว่า และเมื่อต้องการทำกำไรก็สามารถแลกกลับมาเป็นเงินบาทได้ง่ายเช่นกัน
การยอมรับบนแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล
การที่ Stablecoin ซึ่งอ้างอิงเงินบาทได้รับการยอมรับและลิสต์ให้ซื้อขายบนแพลตฟอร์มชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ เช่น Bitkub, Binance TH และ Upbit สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในค่าเงินบาทและศักยภาพของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย สิ่งนี้เป็นตัวบ่งชี้ว่าระบบการเงินดิจิทัลกำลังขยายตัวและผสานเข้ากับระบบการเงินโลกมากขึ้น ซึ่งการมาถึงของเงินบาทดิจิทัลจากธนาคารกลางโดยตรง จะยิ่งเสริมสร้างความแข็งแกร่งและความน่าเชื่อถือให้กับระบบนิเวศนี้ต่อไป
การเตรียมความพร้อมสู่สังคมไร้เงินสดเต็มรูปแบบ
เมื่อการเปลี่ยนแปลงมาถึง การเตรียมตัวให้พร้อมจึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ การปรับตัวเข้าสู่ยุคเงินบาทดิจิทัลสามารถทำได้ผ่านขั้นตอนง่าย ๆ ที่จะช่วยให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างราบรื่น
ขั้นตอนที่ 1: การเปิดกระเป๋าเงินดิจิทัล (Digital Wallet)
ขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุดคือการมีเครื่องมือสำหรับรับ-จ่ายเงินบาทดิจิทัล ซึ่งก็คือ Digital Wallet ผู้ใช้ควรติดตามประกาศจากธนาคารแห่งประเทศไทยและสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อเลือกสมัครใช้งานกระเป๋าเงินดิจิทัลจากผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาตและมีความน่าเชื่อถือ การมี Wallet ที่พร้อมใช้งานเปรียบเสมือนการมีบัญชีธนาคารสำหรับโลกดิจิทัล