เคาะแล้ว! เงินบาทดิจิทัล เริ่มใช้ทั่วไทย


เคาะแล้ว! เงินบาทดิจิทัล เริ่มใช้ทั่วไทย

สารบัญ

บทความนี้จะนำเสนอภาพรวมทั้งหมดของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ ตั้งแต่แนวคิดพื้นฐานไปจนถึงผลกระทบในวงกว้าง เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับอนาคตทางการเงินของประเทศไทย

ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ

  • เงินบาทดิจิทัล (Retail CBDC) คือสกุลเงินดิจิทัลที่ออกและรับรองโดยธนาคารแห่งประเทศไทย มีมูลค่าเทียบเท่าเงินบาทปกติในอัตรา 1:1
  • เป้าหมายหลักคือการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของประเทศให้ทันสมัย เพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงินอย่างทั่วถึง
  • ประชาชนสามารถใช้งานเงินบาทดิจิทัลผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟน ซึ่งพัฒนาโดยธนาคารพาณิชย์และผู้ให้บริการทางการเงินที่ได้รับอนุญาต
  • เงินบาทดิจิทัลมีความแตกต่างจากคริปโตเคอร์เรนซีของภาคเอกชน เนื่องจากมีธนาคารกลางเป็นผู้ดูแลเสถียรภาพ ทำให้มีความน่าเชื่อถือและปลอดภัยสูง

การประกาศเคาะแล้ว! เงินบาทดิจิทัล เริ่มใช้ทั่วไทย อย่างเป็นทางการ ถือเป็นหมุดหมายสำคัญแห่งการเปลี่ยนผ่านระบบนิเวศทางการเงินของประเทศเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ เงินบาทดิจิทัล หรือที่รู้จักในชื่อสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง (Central Bank Digital Currency – CBDC) เป็นนวัตกรรมที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้พัฒนาขึ้นเพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของเงินที่ประชาชนสามารถใช้จ่ายได้ในชีวิตประจำวัน ควบคู่ไปกับเงินสดและเงินฝากในบัญชีธนาคาร การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่เพียงส่งผลต่อความสะดวกสบายในการทำธุรกรรม แต่ยังเป็นการวางรากฐานสำหรับนโยบายการเงินและเศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคต

การมาถึงของเงินบาทดิจิทัลเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทในทุกมิติของชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการเงินที่พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ประชาชนมีความคุ้นเคยกับการทำธุรกรรมผ่านช่องทางออนไลน์และมือถือมากขึ้น ดังนั้น การมีเงินในรูปแบบดิจิทัลที่ออกโดยตรงจากธนาคารกลางจึงช่วยตอบสนองความต้องการเหล่านี้ พร้อมทั้งสร้างความเชื่อมั่นและเสถียรภาพให้กับระบบการเงินโดยรวม ซึ่งเป็นสิ่งที่สกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยภาคเอกชนอาจไม่สามารถให้ได้ การนำเงินบาทดิจิทัลมาใช้งานจึงเป็นก้าวที่จำเป็นสำหรับประเทศไทยในการรักษาความสามารถในการแข่งขันและเตรียมความพร้อมสำหรับเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงไป

ภาพรวมของเงินบาทดิจิทัล

เงินบาทดิจิทัลคือรูปแบบใหม่ของเงินที่ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ เป็นเงินที่อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทยโดยตรง ทำให้มีสถานะเป็นหนี้สินของธนาคารกลางเช่นเดียวกับธนบัตรที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน สิ่งนี้ทำให้เงินบาทดิจิทัลมีความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือสูงสุด แตกต่างจากเงินฝากในธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นหนี้สินของธนาคารนั้นๆ หรือคริปโตเคอร์เรนซีที่ไม่มีหน่วยงานกลางรับรองมูลค่า

นิยามและความสำคัญของ CBDC

CBDC (Central Bank Digital Currency) คือสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางของประเทศนั้นๆ โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการชำระเงินที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยสำหรับประชาชนและภาคธุรกิจ CBDC แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่

  • Wholesale CBDC: ออกแบบมาเพื่อใช้ระหว่างสถาบันการเงินขนาดใหญ่ สำหรับการทำธุรกรรมระหว่างธนาคาร (Interbank) ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงในการชำระดุล
  • Retail CBDC: ออกแบบมาเพื่อการใช้งานในระดับรายย่อย หรือสำหรับประชาชนทั่วไป (General Purpose) ซึ่งเงินบาทดิจิทัลของไทยจัดอยู่ในประเภทนี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของเงินสดในการใช้จ่ายประจำวัน

ความสำคัญของการพัฒนา Retail CBDC ในประเทศไทยนั้นมีหลายมิติ ทั้งในด้านการตอบสนองต่อภูมิทัศน์ทางการเงินที่เปลี่ยนแปลงไป, การส่งเสริมการแข่งขันและนวัตกรรมในภาคบริการทางการเงิน, การเพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงินของประชาชนในพื้นที่ห่างไกล, และการเป็นเครื่องมือสำหรับภาครัฐในการดำเนินนโยบายต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและตรงจุดมากขึ้น เช่น การจ่ายเงินช่วยเหลือหรือเงินอุดหนุนโดยตรงถึงประชาชน

หลักการทำงานเบื้องหลัง: เทคโนโลยีบล็อกเชน

เงินบาทดิจิทัลถูกพัฒนาขึ้นบนพื้นฐานของเทคโนโลยีกระจายศูนย์ (Distributed Ledger Technology – DLT) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “บล็อกเชน” ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกันกับที่ใช้ในคริปโตเคอร์เรนซี อย่างไรก็ตาม การประยุกต์ใช้บล็อกเชนสำหรับ CBDC นั้นมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ

ในระบบของเงินบาทดิจิทัล บล็อกเชนที่ใช้จะเป็นแบบได้รับอนุญาต (Permissioned Blockchain) ซึ่งหมายความว่ามีเพียงหน่วยงานที่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยเท่านั้นที่สามารถเข้าร่วมเครือข่ายและตรวจสอบธุรกรรมได้ ซึ่งแตกต่างจากบล็อกเชนสาธารณะ (Public Blockchain) ของคริปโตเคอร์เรนซีอย่างบิตคอยน์ที่ใครก็สามารถเข้าร่วมได้ การออกแบบในลักษณะนี้ช่วยให้ ธปท. สามารถกำกับดูแลระบบได้อย่างเต็มที่ รักษาเสถียรภาพ และป้องกันการใช้งานในทางที่ผิดกฎหมายได้

เมื่อมีการทำธุรกรรมเกิดขึ้น ข้อมูลจะถูกบันทึกและเชื่อมโยงกันเป็น “บล็อก” ต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ ทำให้การปลอมแปลงหรือแก้ไขข้อมูลย้อนหลังทำได้ยากมาก เทคโนโลยีนี้จึงช่วยสร้างความโปร่งใสและตรวจสอบได้ให้กับการทำธุรกรรมทางการเงิน

การเดินทางของเงินบาทดิจิทัล: จากโครงการสู่การใช้งานจริง

การเปิดตัวใช้งานเงินบาทดิจิทัลทั่วประเทศไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แต่เป็นผลลัพธ์ของกระบวนการวิจัย พัฒนา และทดสอบอย่างรอบคอบและเป็นขั้นตอนมานานหลายปีโดยธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อให้มั่นใจว่าระบบมีความพร้อม ปลอดภัย และสามารถตอบสนองต่อความต้องการของทุกภาคส่วนได้อย่างแท้จริง

ไทม์ไลน์การพัฒนาและทดสอบ

เส้นทางการพัฒนาเงินบาทดิจิทัลสามารถแบ่งออกเป็นระยะต่างๆ ที่สำคัญดังนี้:

  1. ระยะเริ่มต้น (Conceptual Research): ธปท. เริ่มศึกษาแนวคิดและศักยภาพของ CBDC ตั้งแต่ช่วงปี 2560-2562 เพื่อทำความเข้าใจถึงผลกระทบในมิติต่างๆ ทั้งด้านเทคโนโลยี กฎหมาย และนโยบายการเงิน
  2. โครงการอินทนนท์ (Wholesale CBDC Testing): ในช่วงปลายปี 2561 ถึง 2564 ธปท. ได้ร่วมมือกับสถาบันการเงิน 8 แห่ง เพื่อทดสอบการใช้งาน Wholesale CBDC สำหรับการโอนเงินระหว่างธนาคาร ซึ่งโครงการนี้ประสบความสำเร็จอย่างดีและได้ขยายความร่วมมือไปยังธนาคารกลางของฮ่องกงในการทดสอบการโอนเงินข้ามประเทศ
  3. การพัฒนา Retail CBDC (Phase 1): จากความสำเร็จของโครงการอินทนนท์ ธปท. ได้เริ่มพัฒนา Retail CBDC อย่างจริงจัง โดยในช่วงปลายปี 2565 ได้มีการทดสอบระบบในสภาพแวดล้อมปิดร่วมกับธนาคารพาณิชย์และผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-bank) เพื่อประเมินประสิทธิภาพของเทคโนโลยีและรูปแบบการใช้งาน
  4. โครงการทดสอบในวงจำกัด (Pilot Test): ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 ธปท. ได้เริ่มโครงการ Pilot Test ในภาคประชาชน โดยเปิดให้กลุ่มผู้ใช้งานและร้านค้าที่ได้รับคัดเลือกจำนวนหนึ่งได้ทดลองใช้งานเงินบาทดิจิทัลในสถานการณ์จริง เพื่อทดสอบการใช้งานใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ การชำระเงิน (Paying), การเติมเงิน (Topping up) และการโอนเงิน (Transferring) การทดสอบในระยะนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการเก็บข้อมูลและข้อเสนอแนะเพื่อนำมาปรับปรุงระบบก่อนการใช้งานในวงกว้าง

การเปิดตัวอย่างเป็นทางการและการใช้งานในปัจจุบัน

หลังจากการทดสอบในทุกระยะเสร็จสิ้นและได้ทำการปรับปรุงแก้ไขระบบจนมีความเสถียรและปลอดภัยตามมาตรฐานสูงสุด ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงได้ประกาศเปิดใช้งานเงินบาทดิจิทัลสำหรับประชาชนทั่วไปอย่างเป็นทางการทั่วประเทศ ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ของระบบการเงินไทย

ในปัจจุบัน ประชาชนสามารถเข้าถึงเงินบาทดิจิทัลได้ผ่านแอปพลิเคชันของผู้ให้บริการทางการเงินที่เข้าร่วมโครงการ การใช้งานครอบคลุมกิจกรรมทางการเงินในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่การใช้จ่ายในร้านค้าสะดวกซื้อ ตลาดสด ไปจนถึงห้างสรรพสินค้า รวมถึงการโอนเงินให้แก่บุคคลอื่น ซึ่งทำได้อย่างรวดเร็วและไม่มีค่าธรรมเนียม

ผลกระทบและประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจไทย

การนำเงินบาทดิจิทัลมาใช้ในวงกว้างได้สร้างผลกระทบเชิงบวกในหลากหลายมิติ ตั้งแต่ระดับบุคคลไปจนถึงระดับมหภาคของประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ

ประโยชน์ต่อภาคประชาชน

ความสะดวก รวดเร็ว และลดต้นทุน

ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดสำหรับประชาชนคือความสะดวกสบายในการทำธุรกรรมทางการเงิน การใช้จ่ายผ่านเงินบาทดิจิทัลสามารถทำได้อย่างรวดเร็วเทียบเท่ากับการสแกน QR Code ในปัจจุบัน แต่มีความแตกต่างที่สำคัญคือ เงินจะถูกโอนย้ายจากกระเป๋าเงินดิจิทัลหนึ่งไปยังอีกกระเป๋าเงินหนึ่งได้โดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องผ่านตัวกลางหลายทอด ทำให้กระบวนการเสร็จสิ้นในทันที นอกจากนี้ ยังช่วยลดต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเงินสด เช่น ค่าธรรมเนียมการถอนเงิน หรือความเสี่ยงจากการพกพาเงินสดจำนวนมาก

การเข้าถึงบริการทางการเงิน (Financial Inclusion)

เงินบาทดิจิทัลมีศักยภาพในการเป็นเครื่องมือสำคัญเพื่อส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงินสำหรับกลุ่มประชากรที่ยังไม่สามารถเข้าถึงบริการของธนาคารพาณิชย์ได้อย่างเต็มที่ (Unbanked/Underbanked) เพียงแค่มีสมาร์ตโฟนและสามารถยืนยันตัวตนได้ ก็จะสามารถเปิดกระเป๋าเงินดิจิทัลและเริ่มทำธุรกรรมได้ทันที ซึ่งจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำและเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในระบบเศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างเท่าเทียม

ประโยชน์ต่อภาคธุรกิจและเศรษฐกิจมหภาค

เพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการดำเนินงาน

สำหรับภาคธุรกิจ การรับชำระเงินด้วยเงินบาทดิจิทัลช่วยลดต้นทุนในการบริหารจัดการเงินสดได้อย่างมหาศาล ทั้งค่าใช้จ่ายในการขนส่ง การนับ และการเก็บรักษาเงินสด นอกจากนี้ กระบวนการชำระเงินที่รวดเร็วขึ้นยังช่วยปรับปรุงสภาพคล่องของธุรกิจให้ดีขึ้น เนื่องจากได้รับเงินค่าสินค้าและบริการในทันที นอกจากนี้ ข้อมูลการทำธุรกรรมแบบดิจิทัลยังสามารถนำไปต่อยอดในการวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าเพื่อพัฒนากลยุทธ์ทางธุรกิจต่อไปได้

กระตุ้นการหมุนเวียนของเศรษฐกิจ

ในระดับมหภาค การทำธุรกรรมที่รวดเร็วและมีต้นทุนต่ำลงจะส่งผลให้อัตราการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจ (Velocity of Money) สูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจเติบโตได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยยังสามารถเห็นภาพรวมของกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ชัดเจนและรวดเร็วยิ่งขึ้นจากข้อมูลธุรกรรม ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการกำหนดและดำเนินนโยบายการเงินให้ตอบสนองต่อสภาวะเศรษฐกิจได้อย่างทันท่วงที

วิธีการเข้าถึงและใช้งานเงินบาทดิจิทัล

วิธีการเข้าถึงและใช้งานเงินบาทดิจิทัล

การเริ่มต้นใช้งานเงินบาทดิจิทัลถูกออกแบบมาให้ง่ายและสะดวกสำหรับประชาชนทุกคน โดยอาศัยโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่ประเทศไทยมีอยู่แล้ว เช่น ระบบการยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-KYC) และเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ครอบคลุม

ขั้นตอนการแลกเปลี่ยนและใช้งานผ่านแอปพลิเคชัน

ผู้ที่สนใจใช้งานสามารถเริ่มต้นได้ง่ายๆ ผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟน โดยมีขั้นตอนหลักดังนี้:

  1. ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน: เลือกดาวน์โหลดแอปพลิเคชันของผู้ให้บริการทางการเงินที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งอาจเป็นแอปของธนาคารพาณิชย์หรือผู้ให้บริการทางการเงินอื่นๆ ที่ได้รับอนุญาตจาก ธปท.
  2. ลงทะเบียนและยืนยันตัวตน: ทำการลงทะเบียนเพื่อเปิด “กระเป๋าเงินบาทดิจิทัล” (Digital Baht Wallet) ผ่านกระบวนการ e-KYC ซึ่งอาจเป็นการใช้บัตรประชาชน หรือเชื่อมต่อกับข้อมูลจากแอปพลิเคชันธนาคารเดิมที่มีอยู่
  3. แลกเปลี่ยนหรือเติมเงิน: เมื่อเปิดกระเป๋าเงินสำเร็จ สามารถนำเงินบาทปกติมาแลกเป็นเงินบาทดิจิทัลได้ในอัตรา 1:1 โดยสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การโอนเงินจากบัญชีธนาคาร, การนำเงินสดไปแลกที่จุดให้บริการ หรือการรับโอนเงินบาทดิจิทัลจากผู้อื่น
  4. ใช้งาน: สามารถนำเงินบาทดิจิทัลไปใช้จ่ายได้ทันที ณ ร้านค้าที่รองรับ โดยใช้วิธีการที่คุ้นเคย เช่น การสแกน QR Code หรือการชำระเงินแบบไร้สัมผัส (Contactless) รวมถึงการโอนเงินให้บุคคลอื่นผ่านหมายเลขโทรศัพท์หรือเลขประจำตัวกระเป๋าเงิน

ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว

ธนาคารแห่งประเทศไทยให้ความสำคัญสูงสุดกับเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน ระบบเงินบาทดิจิทัลถูกสร้างขึ้นด้วยมาตรฐานความปลอดภัยทางไซเบอร์ระดับสากล มีการเข้ารหัสข้อมูลที่ซับซ้อนเพื่อป้องกันการแฮกและการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต

ในด้านความเป็นส่วนตัว ธปท. ได้ออกแบบระบบให้มีความสมดุลระหว่างการรักษาข้อมูลส่วนบุคคลและการป้องกันอาชญากรรมทางการเงิน โดยข้อมูลธุรกรรมรายย่อยจะถูกจัดการโดยผู้ให้บริการทางการเงินภายใต้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ในขณะที่ ธปท. จะสามารถเข้าถึงได้เฉพาะข้อมูลในภาพรวมที่ไม่ระบุตัวตนเพื่อใช้ในการวิเคราะห์เชิงนโยบายเท่านั้น

เปรียบเทียบเงินบาทดิจิทัลกับระบบการเงินอื่น

เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้น การเปรียบเทียบคุณลักษณะของเงินบาทดิจิทัลกับเงินในรูปแบบอื่นๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน จะช่วยให้เห็นถึงจุดเด่นและความแตกต่างที่สำคัญ

ตารางเปรียบเทียบคุณลักษณะระหว่างเงินบาทดิจิทัล เงินบาทแบบดั้งเดิม และคริปโตเคอร์เรนซี
คุณลักษณะ เงินบาทดิจิทัล (Retail CBDC) เงินบาทแบบดั้งเดิม (เงินสด/เงินฝาก) คริปโตเคอร์เรนซี (เช่น Bitcoin)
ผู้ออกและรับรอง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ธปท. (สำหรับเงินสด) และธนาคารพาณิชย์ (สำหรับเงินฝาก) ไม่มีหน่วยงานกลาง (กระจายศูนย์)
เสถียรภาพของมูลค่า มีเสถียรภาพสูง (ตรึงมูลค่า 1:1 กับเงินบาท) มีเสถียรภาพสูง มีความผันผวนสูงมาก
เทคโนโลยีพื้นฐาน เทคโนโลยี DLT/Blockchain แบบได้รับอนุญาต ระบบกายภาพ (สำหรับเงินสด) และระบบคอมพิวเตอร์แบบรวมศูนย์ของธนาคาร เทคโนโลยี Blockchain แบบสาธารณะ
วัตถุประสงค์หลัก เป็นสื่อกลางในการชำระเงิน เป็นสื่อกลางในการชำระเงินและรักษามูลค่า ส่วนใหญ่ใช้เพื่อการลงทุน/เก็งกำไร
ความปลอดภัย สูงมาก (รับประกันโดยธนาคารกลาง) สูง (เงินสดมีความเสี่ยงจากการสูญหาย/ถูกขโมย, เงินฝากได้รับการคุ้มครอง) ขึ้นอยู่กับผู้ใช้งานและการรักษา Private Key
ความเป็นส่วนตัว มีการระบุตัวตน (ตามระดับ) เพื่อป้องกันการฟอกเงิน สูงมาก (สำหรับเงินสด) ต่ำกว่า (สำหรับเงินฝากที่ตรวจสอบได้) นามแฝง (Pseudonymous) แต่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้

นโยบายภาครัฐและบทบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย

การผลักดันเงินบาทดิจิทัลให้เกิดขึ้นจริงไม่ได้เป็นเพียงโครงการด้านเทคโนโลยี แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ชาติในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งภาครัฐและธนาคารแห่งประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในการวางนโยบายและกำกับดูแล

โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านเงินดิจิทัล

หนึ่งในโครงการที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเงินบาทดิจิทัลในการเป็นเครื่องมือเชิงนโยบายคือ โครงการแจกเงินดิจิทัลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โครงสร้างพื้นฐานของเงินบาทดิจิทัลช่วยให้ภาครัฐสามารถส่งมอบเงินช่วยเหลือไปยังกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และโปร่งใส โดยเงินจะถูกส่งตรงเข้าสู่กระเป๋าเงินดิจิทัลของประชาชนที่มีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ ซึ่งช่วยลดขั้นตอน ลดการรั่วไหล และทำให้ม