แบงก์ชาติเตือน! เงินบาทดิจิทัลโดนแฮก เผยวิธีเช็กด่วน

สารบัญ

ในช่วงเวลาที่เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน ข่าวสารเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจและการเงินกลายเป็นที่สนใจของสาธารณชน โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับเงินบาทดิจิทัล อย่างไรก็ตาม กระแสข่าวที่อ้างว่า แบงก์ชาติเตือน! เงินบาทดิจิทัลโดนแฮก เผยวิธีเช็กด่วน ได้สร้างความสับสนและตื่นตระหนกในวงกว้าง บทความนี้จะทำการวิเคราะห์ข้อเท็จจริงเบื้องหลังข่าวลือดังกล่าว พร้อมนำเสนอแนวทางการตรวจสอบและป้องกันตนเองจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่เกี่ยวข้อง

สรุปประเด็นสำคัญ: เกี่ยวกับข่าวเงินบาทดิจิทัล

  • ข่าวเป็นเท็จ: ข้อมูลที่อ้างว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือแบงก์ชาติ ออกมาเตือนเรื่องเงินบาทดิจิทัลถูกแฮกนั้นไม่เป็นความจริง และได้รับการยืนยันจากศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมว่าเป็นข่าวปลอม
  • เป้าหมายของมิจฉาชีพ: กลุ่มมิจฉาชีพอาศัยกระแสความสนใจในโครงการเงินดิจิทัลของภาครัฐ เพื่อสร้างข่าวปลอมและแอปพลิเคชันหลอกลวง โดยมีเป้าหมายเพื่อขโมยข้อมูลส่วนบุคคลและทรัพย์สิน
  • ความเสี่ยงที่แท้จริง: ภัยคุกคามไม่ได้มาจากการแฮกระบบ CBDC โดยตรง แต่มาจากการหลอกลวงผู้ใช้ (Phishing) ให้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันปลอมหรือกรอกข้อมูลในเว็บไซต์ที่เป็นอันตราย
  • การป้องกันคือสิ่งสำคัญ: การตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแหล่งข่าวสาร ไม่คลิกลิงก์ที่ไม่น่าไว้วางใจ และไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวผ่านช่องทางที่ไม่เป็นทางการ คือวิธีป้องกันตนเองที่ดีที่สุด
  • ช่องทางทางการ: ประชาชนควรติดตามข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายและการลงทะเบียนโครงการต่างๆ ของรัฐผ่านช่องทางที่เป็นทางการของหน่วยงานที่รับผิดชอบเท่านั้น

ไขข้อเท็จจริง: ข่าว “แบงก์ชาติเตือน! เงินบาทดิจิทัลโดนแฮก เผยวิธีเช็กด่วน” จริงหรือมั่ว?

ประเด็นข่าวที่ระบุว่า แบงก์ชาติเตือน! เงินบาทดิจิทัลโดนแฮก เผยวิธีเช็กด่วน ได้ถูกเผยแพร่อย่างรวดเร็วบนโซเชียลมีเดีย สร้างความกังวลให้กับประชาชนจำนวนมากที่กำลังให้ความสนใจกับโครงการสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง (Central Bank Digital Currency – CBDC) และนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาทของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงที่ได้รับการยืนยันจากหน่วยงานภาครัฐกลับสวนทางกับกระแสข่าวดังกล่าวโดยสิ้นเชิง

การตรวจสอบจากศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม

ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงของข่าวลือนี้ และได้ออกประกาศชี้แจงอย่างเป็นทางการว่าข้อมูลดังกล่าวเป็น “ข่าวปลอม” โดยยืนยันว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไม่เคยมีการออกมาประกาศเตือนว่าแอปพลิเคชันของรัฐที่เกี่ยวข้องกับโครงการเงินดิจิทัลไม่มีความปลอดภัยหรือมีความเสี่ยงที่จะถูกแฮกตามที่กล่าวอ้าง การชี้แจงนี้เป็นการยืนยันว่าระบบเงินบาทดิจิทัลที่อยู่ระหว่างการพัฒนายังไม่มีการถูกโจมตีทางไซเบอร์ตามที่เป็นข่าว

ทำไมข่าวปลอมประเภทนี้จึงแพร่หลาย?

ข่าวปลอมที่เกี่ยวข้องกับการเงินและเทคโนโลยีมักถูกสร้างขึ้นเพื่อฉวยโอกาสจากความสนใจและความไม่เข้าใจของประชาชนในเรื่องที่ซับซ้อน กรณีของเงินบาทดิจิทัลก็เช่นกัน เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีใหม่และเกี่ยวข้องกับนโยบายที่ส่งผลกระทบต่อคนจำนวนมาก ทำให้มิจฉาชีพสามารถสร้างเรื่องราวที่น่าตื่นตระหนกเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์หลายประการ เช่น:

  • สร้างความสับสน: เพื่อลดความน่าเชื่อถือของโครงการภาครัฐ
  • หลอกลวงเพื่อขโมยข้อมูล (Phishing): ใช้เป็นเหยื่อล่อให้คนคลิกลิงก์หรือดาวน์โหลดแอปพลิเคชันปลอม
  • สร้างยอดการเข้าชม: สำหรับเว็บไซต์หรือเพจที่ต้องการสร้างรายได้จากโฆษณาผ่านหัวข้อข่าวที่ดึงดูดความสนใจ (Clickbait)

ดังนั้น การตระหนักว่าข่าวสารที่น่าตกใจมักมีแรงจูงใจแอบแฝงอยู่เบื้องหลัง จะช่วยให้ผู้รับข่าวสารมีความระมัดระวังและตรวจสอบข้อมูลก่อนเชื่อหรือส่งต่อได้ดียิ่งขึ้น

เจาะลึกกลโกงของมิจฉาชีพ ที่แอบอ้างโครงการรัฐ

เจาะลึกกลโกงของมิจฉาชีพ ที่แอบอ้างโครงการรัฐ

การทำความเข้าใจรูปแบบและกลยุทธ์ของมิจฉาชีพเป็นขั้นตอนสำคัญในการป้องกันตนเอง ภัยคุกคามทางไซเบอร์ในปัจจุบันไม่ได้อาศัยเพียงช่องโหว่ทางเทคนิค แต่ยังใช้หลักจิตวิทยาเพื่อหลอกลวงให้เหยื่อเปิดเผยข้อมูลด้วยตนเอง ซึ่งเป็นวิธีการที่เรียกว่า “วิศวกรรมสังคม” (Social Engineering)

การตื่นตระหนกคือเครื่องมือสำคัญของมิจฉาชีพ การตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบคือเกราะป้องกันที่ดีที่สุด

การสร้างสื่อปลอมเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ

มิจฉาชีพมักสร้างเว็บไซต์หรือเพจโซเชียลมีเดียที่ลอกเลียนแบบสำนักข่าวที่มีชื่อเสียงหรือหน่วยงานราชการอย่างแนบเนียน โดยใช้โลโก้ รูปแบบตัวอักษร และสไตล์การเขียนที่คล้ายคลึงกัน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับข่าวปลอมที่ตนเองสร้างขึ้น เมื่อเหยื่อเห็นข่าวจากแหล่งที่ดูเหมือนเป็นทางการ ก็มีแนวโน้มที่จะเชื่อโดยไม่ตรวจสอบเพิ่มเติม

การใช้ SMS และแอปพลิเคชันปลอม

อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่แพร่หลายคือการส่งข้อความสั้น (SMS) หรือข้อความผ่านแอปพลิเคชันแชท โดยอ้างว่ามาจากหน่วยงานรัฐหรือสถาบันการเงิน ข้อความเหล่านี้มักจะแจ้งเตือนเรื่องเร่งด่วน เช่น “บัญชีของท่านมีความเสี่ยง” หรือ “กรุณายืนยันสิทธิ์รับเงินดิจิทัลด่วน” พร้อมแนบลิงก์มาด้วย เมื่อเหยื่อคลิกลิงก์ดังกล่าว จะถูกนำไปยังเว็บไซต์ปลอมที่ออกแบบมาเพื่อขโมยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน หรือข้อมูลส่วนบุคคลอื่น ๆ หรืออาจเป็นการหลอกให้ติดตั้งแอปพลิเคชันที่มีมัลแวร์แฝงอยู่ ซึ่งสามารถควบคุมโทรศัพท์มือถือและดักจับข้อมูลทางการเงินได้

จิตวิทยาเบื้องหลังกลโกง: ความโลภและความกลัว

กลโกงเหล่านี้มักเล่นกับอารมณ์พื้นฐานของมนุษย์สองอย่างคือ “ความโลภ” และ “ความกลัว” การอ้างถึงสิทธิ์ในการรับเงิน 10,000 บาท เป็นการกระตุ้นความโลภหรือความต้องการได้รับผลประโยชน์ ในขณะที่การเตือนเรื่อง “บัญชีโดนแฮก” หรือ “แอปไม่ปลอดภัย” เป็นการสร้างความกลัวและความรู้สึกเร่งด่วน ทำให้เหยื่อขาดความรอบคอบและตัดสินใจทำตามคำแนะนำของมิจฉาชีพอย่างรวดเร็ว

กระบวนการหลอกลวงที่ซับซ้อน

ในบางกรณี กระบวนการหลอกลวงอาจซับซ้อนกว่านั้น หลังจากที่เหยื่อติดกับในเบื้องต้น อาจถูกชักชวนให้เข้าร่วมกลุ่มแชท ที่มี “หน้าม้า” จำนวนมากแฝงตัวอยู่ หน้าม้าเหล่านี้จะแสดงตนเป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์หรือผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ เช่น แพทย์ ตำรวจ หรือนักการเงิน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและกล่อมให้เหยื่อหลงเชื่อและลงทุนในแพลตฟอร์มหลอกลวงต่อไป

ตารางเปรียบเทียบข้อเท็จจริงและข่าวปลอมเกี่ยวกับเงินบาทดิจิทัล
ประเด็น ข้อมูลจากแหล่งข่าวปลอม ข้อเท็จจริงจากแหล่งทางการ
สถานะการแฮกระบบ อ้างว่าระบบเงินบาทดิจิทัลถูกแฮก และแบงก์ชาติออกมาเตือนภัย ไม่มีรายงานการแฮกระบบ CBDC ที่อยู่ระหว่างการทดสอบ และแบงก์ชาติไม่ได้ออกประกาศเตือนดังกล่าว
แอปพลิเคชันลงทะเบียน ชักชวนให้ดาวน์โหลดแอปฯ หรือลงทะเบียนผ่านลิงก์ที่ไม่เป็นทางการเพื่อรับสิทธิ์ การลงทะเบียนสำหรับโครงการของรัฐจะประกาศผ่านช่องทางทางการเท่านั้น และควรดาวน์โหลดแอปฯ จาก App Store หรือ Play Store ที่น่าเชื่อถือ
คำแนะนำจากแบงก์ชาติ สร้างคำแนะนำปลอม เช่น ให้รีบดำเนินการบางอย่างเพื่อความปลอดภัย แบงก์ชาติและหน่วยงานรัฐจะสื่อสารผ่านเว็บไซต์ทางการ, บัญชีโซเชียลมีเดียที่ยืนยันแล้ว และสื่อสารมวลชนหลัก

วิธีตรวจสอบและป้องกันตัวเองจากภัยคุกคามทางไซเบอร์

ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารไหลเวียนอย่างรวดเร็ว การสร้างเกราะป้องกันให้ตนเองเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ต่อไปนี้คือแนวทางปฏิบัติที่ทุกคนสามารถทำได้เพื่อลดความเสี่ยงจากการตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ

ตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูลเสมอ

ก่อนจะเชื่อหรือส่งต่อข่าวสารใด ๆ ควรตั้งคำถามและตรวจสอบแหล่งที่มาของข่าวนั้นก่อนเสมอ ข่าวสารจากหน่วยงานราชการควรมาจากเว็บไซต์ทางการที่มีโดเมนเนมที่ถูกต้อง (เช่น .go.th) หรือบัญชีโซเชียลมีเดียที่ได้รับการยืนยันตัวตน (มีเครื่องหมายถูกสีฟ้า) หากได้รับข่าวสารจากบุคคลที่ไม่รู้จักหรือเพจที่ไม่น่าเชื่อถือ ควรนำหัวข้อข่าวไปค้นหาในเครื่องมือค้นหาเพื่อดูว่ามีสำนักข่าวหลักรายงานตรงกันหรือไม่

หลักปฏิบัติในการดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน

  • ดาวน์โหลดจากแหล่งทางการเท่านั้น: ควรดาวน์โหลดแอปพลิเคชันจาก App Store (สำหรับ iOS) หรือ Google Play Store (สำหรับ Android) เท่านั้น หลีกเลี่ยงการติดตั้งแอปฯ ผ่านลิงก์ที่ส่งมาทาง SMS, อีเมล หรือเว็บไซต์ที่ไม่รู้จัก
  • อ่านรีวิวและตรวจสอบผู้พัฒนา: ก่อนติดตั้ง ควรอ่านรีวิวจากผู้ใช้งานคนอื่น ๆ และตรวจสอบชื่อผู้พัฒนาว่าเป็นบริษัทที่น่าเชื่อถือหรือไม่
  • พิจารณาการอนุญาต (Permissions): สังเกตว่าแอปพลิเคชันร้องขอการเข้าถึงข้อมูลส่วนใดในโทรศัพท์บ้าง หากแอปฯ ร้องขอการเข้าถึงที่ไม่สมเหตุสมผลกับฟังก์ชันการทำงาน เช่น แอปฯ เครื่องคิดเลขที่ขอเข้าถึงรายชื่อติดต่อ ก็ควรระวัง

ปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด

ข้อมูลส่วนบุคคล เช่น หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน, วันเดือนปีเกิด, รหัสผ่าน, หรือรหัส OTP (One-Time Password) เป็นสิ่งที่มีค่าอย่างยิ่ง อย่ากรอกข้อมูลเหล่านี้ลงในเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันที่ไม่มั่นใจในความปลอดภัย โปรดจำไว้ว่าหน่วยงานราชการและสถาบันการเงินที่น่าเชื่อถือจะไม่มีนโยบายขอข้อมูลรหัสผ่านหรือข้อมูลลับของลูกค้าผ่านทางโทรศัพท์, SMS หรืออีเมล

ช่องทางรับข้อมูลที่ถูกต้องและปลอดภัย

เพื่อรับข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับโครงการเงินบาทดิจิทัลและนโยบายอื่น ๆ ของธนาคารแห่งประเทศไทย ควรติดตามจากช่องทางดังต่อไปนี้:

  • เว็บไซต์ทางการของธนาคารแห่งประเทศไทย
  • บัญชีโซเชียลมีเดียที่เป็นทางการของ ธปท.
  • ช่อง YouTube ของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งมักมีวิดีโอให้ความรู้ในเรื่องการเงินและสินทรัพย์ดิจิทัล

ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับเงินบาทดิจิทัล (CBDC)

เพื่อลดความสับสนและป้องกันการตกเป็นเหยื่อของข่าวปลอม การมีความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับเงินบาทดิจิทัลหรือ CBDC จะช่วยให้สามารถประเมินความน่าเชื่อถือของข่าวสารได้ดีขึ้น

CBDC คืออะไร?

CBDC (Central Bank Digital Currency) คือ สกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางของประเทศ มีมูลค่าเทียบเท่ากับเงินสดหรือเงินฝากที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน กล่าวคือ 1 บาทดิจิทัล มีค่าเท่ากับ 1 บาทเสมอ ซึ่งแตกต่างจากคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) เช่น Bitcoin หรือ Ethereum ที่เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่ออกโดยภาคเอกชนและมีความผันผวนของราคาสูง CBDC ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นสื่อกลางในการชำระเงินที่ปลอดภัยและมีเสถียรภาพภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารกลาง

สถานะโครงการเงินบาทดิจิทัลในปัจจุบัน

ณ ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 8 กันยายน 2568) โครงการพัฒนาเงินบาทดิจิทัลสำหรับภาคประชาชน (Retail CBDC) ในประเทศไทยยังอยู่ในช่วงของการทดสอบและพัฒนาร่วมกับภาคเอกชนในวงจำกัด (Pilot Test) และยังไม่ได้เปิดให้ประชาชนทั่วไปใช้งานอย่างเป็นทางการ การที่โครงการยังไม่เปิดให้บริการสาธารณะเป็นอีกหนึ่งข้อบ่งชี้ว่าข่าวการ “แฮก” ที่ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้ในวงกว้างนั้นเป็นไปได้ยากและไม่น่าเชื่อถือ

บทสรุป: การรู้เท่าทันคือเกราะป้องกันที่ดีที่สุด

ข่าวสารที่ว่า แบงก์ชาติเตือน! เงินบาทดิจิทัลโดนแฮก เผยวิธีเช็กด่วน ได้รับการยืนยันแล้วว่าเป็นข่าวปลอมที่มิจฉาชีพสร้างขึ้นเพื่อหลอกลวงประชาชน ภัยคุกคามที่แท้จริงไม่ใช่การโจมตีระบบของธนาคารกลาง แต่เป็นการโจมตีผู้ใช้งานผ่านกลอุบายทางวิศวกรรมสังคม เพื่อขโมยข้อมูลและทรัพย์สิน การรับมือกับความท้าทายในโลกดิจิทัลนี้ต้องอาศัยความรู้เท่าทันและความระมัดระวังเป็นสำคัญ

การตรวจสอบแหล่งข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ การไม่หลงเชื่อคำเชิญชวนหรือคำเตือนที่ดูเร่งด่วนเกินจริง และการปกป้องข้อมูลส่วนตัวอย่างเข้มงวด คือแนวทางปฏิบัติที่จะช่วยให้ทุกคนสามารถทำธุรกรรมและใช้ชีวิตในโลกออนไลน์ได้อย่างปลอดภัย ขอแนะนำให้แบ่งปันความรู้นี้กับบุคคลรอบข้าง เพื่อช่วยกันสร้างสังคมดิจิทัลที่ปลอดภัยและตระหนักถึงภัยคุกคามรูปแบบใหม่ ๆ อยู่เสมอ