ลาก่อนเงินสด! รัฐสั่งเริ่มใช้ ‘เงินบาทดิจิทัล’ ทั่วประเทศ
- ภาพรวมของการเปลี่ยนผ่านสู่เงินบาทดิจิทัล
- ทำความเข้าใจ ‘เงินบาทดิจิทัล’: จุดเปลี่ยนสำคัญของเศรษฐกิจไทย
- เจาะลึกที่มาและเส้นทางการพัฒนาเงินบาทดิจิทัล (CBDC)
- ลาก่อนเงินสด! รัฐสั่งเริ่มใช้ ‘เงินบาทดิจิทัล’ ทั่วประเทศ: สิ่งที่ต้องรู้ในปี 2025
- ผลกระทบของเงินบาทดิจิทัลต่อระบบเศรษฐกิจและสังคม
- เปรียบเทียบการทำธุรกรรม: เงินสด vs. เงินบาทดิจิทัล
- การเตรียมความพร้อม: ประชาชนและผู้ประกอบการต้องปรับตัวอย่างไร
- บทสรุป: อนาคตการเงินไทยในยุคดิจิทัลเต็มรูปแบบ
ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการเงินอย่างเต็มรูปแบบ เมื่อภาครัฐประกาศแผนการใช้งาน “เงินบาทดิจิทัล” หรือ Central Bank Digital Currency (CBDC) ทั่วประเทศอย่างเป็นทางการในปี 2025 การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและการดำเนินธุรกิจของคนไทยทุกคน ตั้งแต่การจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวันไปจนถึงโครงสร้างเศรษฐกิจมหภาค
ภาพรวมของการเปลี่ยนผ่านสู่เงินบาทดิจิทัล
- การบังคับใช้ทั่วประเทศปี 2025: รัฐบาลไทยกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนในการผลักดันให้เงินบาทดิจิทัลเป็นสกุลเงินหลักที่ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายควบคู่ไปกับเงินสด เพื่อสร้างสังคมไร้เงินสดอย่างสมบูรณ์
- เทคโนโลยีเบื้องหลัง: เงินบาทดิจิทัลพัฒนาขึ้นบนเทคโนโลยี Distributed Ledger Technology (DLT) ซึ่งเป็นรากฐานเดียวกับคริปโทเคอร์เรนซี เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัย โปร่งใส และประสิทธิภาพของการทำธุรกรรม
- ผลกระทบในวงกว้าง: การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในแวดวงการเงิน แต่จะส่งผลโดยตรงต่อประชาชนทั่วไป ร้านค้า ผู้ประกอบการ และสถาบันการเงินทุกแห่งในประเทศ
- เป้าหมายทางเศรษฐกิจ: นโยบายนี้มีเป้าหมายเพื่อลดต้นทุนการบริหารจัดการเงินสด เพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกรรม และเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ
ลาก่อนเงินสด! รัฐสั่งเริ่มใช้ ‘เงินบาทดิจิทัล’ ทั่วประเทศ ถือเป็นประกาศสำคัญที่สะท้อนทิศทางอนาคตของระบบการเงินไทย เงินบาทดิจิทัลคือเงินบาทในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยมีมูลค่าเทียบเท่าเงินสด 1:1 และสามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของประเทศให้ทันสมัย รองรับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล และเพิ่มประสิทธิภาพในระบบการชำระเงินโดยรวม การทำความเข้าใจถึงหลักการทำงาน ผลกระทบ และการเตรียมความพร้อมจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคนในสังคมไทย เพื่อให้สามารถปรับตัวและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่นี้ได้อย่างเต็มศักยภาพ
ทำความเข้าใจ ‘เงินบาทดิจิทัล’: จุดเปลี่ยนสำคัญของเศรษฐกิจไทย
เงินบาทดิจิทัล หรือ Retail CBDC ไม่ใช่เงินคริปโทเคอร์เรนซีทั่วไปหรือเงินใน e-Wallet ที่เอกชนเป็นผู้ออก แต่เป็นเงินที่ออกโดยธนาคารกลางโดยตรง ซึ่งหมายความว่าเป็นเงินที่มั่นคงและปลอดภัยสูงสุดเทียบเท่าธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน การเกิดขึ้นของเงินบาทดิจิทัลจึงเป็นมากกว่าแค่ทางเลือกในการชำระเงิน แต่เป็นวิวัฒนาการของเงินตราที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าภูมิทัศน์ทางการเงินของไทยไปอย่างสิ้นเชิง
ทำไมการเปลี่ยนแปลงนี้จึงเกิดขึ้น
การผลักดันให้เกิดการใช้เงินบาทดิจิทัลมีเหตุผลสำคัญหลายประการ ประการแรกคือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในระบบการชำระเงิน การบริหารจัดการเงินสด เช่น การพิมพ์ธนบัตร การขนส่ง และการทำลาย มีต้นทุนมหาศาลในแต่ละปี การเปลี่ยนไปใช้รูปแบบดิจิทัลจะช่วยลดต้นทุนเหล่านี้ได้อย่างมีนัยสำคัญ ประการที่สอง เพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว โครงสร้างพื้นฐานทางการเงินแบบดิจิทัลจะช่วยให้การทำธุรกรรมออนไลน์ การค้าขายอีคอมเมิร์ซ และนวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ (FinTech) เกิดขึ้นได้อย่างราบรื่นและปลอดภัย และประการสุดท้าย เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและลดปัญหาเศรษฐกิจนอกระบบ การทำธุรกรรมผ่านระบบดิจิทัลสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ ซึ่งช่วยให้ภาครัฐสามารถติดตามเส้นทางการเงินและบริหารจัดการนโยบายการคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ใครคือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในระบบนิเวศใหม่นี้
ระบบนิเวศของเงินบาทดิจิทัลประกอบด้วยผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหลัก 4 กลุ่ม ซึ่งทำงานเชื่อมโยงกันเพื่อให้ระบบสามารถดำเนินไปได้อย่างสมบูรณ์:
- ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.): ในฐานะผู้ออกและกำกับดูแลเงินบาทดิจิทัล มีหน้าที่รับผิดชอบในการรักษาเสถียรภาพของระบบและกำหนดนโยบายทั้งหมด
- สถาบันการเงินและผู้ให้บริการทางการเงิน (Non-bank): ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการกระจายเงินบาทดิจิทัลไปยังประชาชนและภาคธุรกิจ ผ่านแอปพลิเคชันกระเป๋าเงินดิจิทัล (e-Wallet) และบริการอื่นๆ
- ประชาชนทั่วไป: เป็นผู้ใช้งานปลายทาง ที่จะใช้เงินบาทดิจิทัลในการจับจ่ายใช้สอย โอนเงิน และทำธุรกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน
- ร้านค้าและภาคธุรกิจ: เป็นผู้รับชำระเงินด้วยเงินบาทดิจิทัล ซึ่งจำเป็นต้องมีระบบรองรับการชำระเงินผ่าน QR Code หรือช่องทางดิจิทัลอื่นๆ
การทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วนคือกุญแจสำคัญที่จะทำให้การเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมไร้เงินสดประสบความสำเร็จ
เจาะลึกที่มาและเส้นทางการพัฒนาเงินบาทดิจิทัล (CBDC)
การประกาศใช้เงินบาทดิจิทัลทั่วประเทศในปี 2025 ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่เป็นผลมาจากการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่องของธนาคารแห่งประเทศไทยมาเป็นเวลาหลายปี เพื่อให้มั่นใจว่าเทคโนโลยีที่นำมาใช้มีความพร้อม ปลอดภัย และตอบโจทย์ความต้องการของประเทศได้อย่างแท้จริง
โครงการอินทนนท์: จุดเริ่มต้นของสกุลเงินดิจิทัลโดยธนาคารกลาง
เส้นทางของเงินบาทดิจิทัลเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในปี 2019 ผ่าน “โครงการอินทนนท์” ซึ่งเป็นการร่วมมือระหว่าง ธปท. สถาบันการเงินชั้นนำ และบริษัทเทคโนโลยี เพื่อศึกษาและทดสอบการนำเทคโนโลยีการประมวลผลแบบกระจายศูนย์ หรือ Distributed Ledger Technology (DLT) มาประยุกต์ใช้กับระบบการชำระเงินของประเทศ ในระยะแรก โครงการนี้มุ่งเน้นการทดสอบการโอนเงินระหว่างสถาบันการเงิน (Wholesale CBDC) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงในการชำระดุลระหว่างธนาคาร ซึ่งผลการทดสอบประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี และได้สร้างองค์ความรู้พื้นฐานที่สำคัญสำหรับการพัฒนาในขั้นต่อไป
สู่การทดสอบรายย่อย (Retail CBDC): เมื่อเงินดิจิทัลใกล้ตัวประชาชน
หลังจากประสบความสำเร็จในการทดสอบระดับสถาบันการเงิน ธปท. ได้ขยายขอบเขตการพัฒนาไปสู่เงินบาทดิจิทัลสำหรับภาคประชาชน (Retail CBDC) ในปี 2022 โดยได้มีการทดสอบใช้งานในวงจำกัด (Pilot Test) ร่วมกับประชาชน ร้านค้า และผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (Non-bank) การทดสอบนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินประสิทธิภาพและความเหมาะสมของเทคโนโลยีในบริบทการใช้งานจริง รวมถึงศึกษาพฤติกรรมและความคิดเห็นของผู้ใช้งาน เพื่อนำข้อมูลมาปรับปรุงและพัฒนาระบบให้พร้อมสำหรับการใช้งานในวงกว้าง ซึ่งการทดสอบในระยะนี้ได้ครอบคลุมกิจกรรม 3 ด้านหลัก ได้แก่ การชำระค่าสินค้าและบริการ, การโอนเงิน และการเติม-ถอนเงินดิจิทัล
ลาก่อนเงินสด! รัฐสั่งเริ่มใช้ ‘เงินบาทดิจิทัล’ ทั่วประเทศ: สิ่งที่ต้องรู้ในปี 2025
การเปลี่ยนผ่านสู่การใช้เงินบาทดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบในปี 2025 จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำธุรกรรมทางการเงินในชีวิตประจำวันของคนไทยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยภาครัฐมุ่งเน้นการสร้างระบบที่ใช้งานง่าย สะดวก และเข้าถึงได้สำหรับทุกคน
การใช้งานจริงผ่าน e-Wallet และ QR Code
รูปแบบการใช้งานเงินบาทดิจิทัลสำหรับประชาชนทั่วไปจะมีความใกล้เคียงกับการใช้บริการ Mobile Banking หรือ e-Wallet ที่คุ้นเคยกันดีในปัจจุบัน ผู้ใช้จะสามารถเข้าถึงเงินบาทดิจิทัลผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน ซึ่งสามารถใช้ในการชำระค่าสินค้าและบริการตามร้านค้าต่างๆ ผ่านการสแกน QR Code ที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ ความสะดวกและรวดเร็วนี้จะทำให้การพกพาเงินสดกลายเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป นอกจากนี้ การโอนเงินระหว่างบุคคลก็จะสามารถทำได้ทันทีโดยไม่มีค่าธรรมเนียมหรือมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำมาก ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนและผู้ประกอบการรายย่อย
กรณีศึกษา: Stablecoin THBX กับการชำระเงินในโลกความจริง
แม้ว่าเงินบาทดิจิทัลที่ออกโดย ธปท. จะเป็นสกุลเงินหลัก แต่ในระบบนิเวศการเงินดิจิทัลก็เริ่มมีนวัตกรรมจากภาคเอกชนเกิดขึ้นควบคู่กันไป ตัวอย่างที่น่าสนใจคือ Stablecoin ที่ผูกมูลค่ากับเงินบาทในอัตรา 1:1 เช่น THBX ซึ่งเริ่มได้รับความนิยมบนแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนำอย่าง Bitkub, Binance TH และ Upbit ความพิเศษของ Stablecoin ลักษณะนี้คือการนำมาใช้ชำระค่าสินค้าและบริการในโลกแห่งความเป็นจริงได้ โดยมีร้านค้ากว่าร้อยแห่งเริ่มนำร่องรับชำระเงินภายใต้ระบบนี้แล้ว กรณีศึกษานี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยีบล็อกเชนในการสร้างสะพานเชื่อมระหว่างโลกการเงินแบบดั้งเดิมและโลกของสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งเป็นทิศทางที่สอดคล้องกับการมาถึงของเงินบาทดิจิทัล
ผลกระทบของเงินบาทดิจิทัลต่อระบบเศรษฐกิจและสังคม
การนำเงินบาทดิจิทัลมาใช้เป็นโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินใหม่ของประเทศ ย่อมส่งผลกระทบในวงกว้างทั้งในมิติทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งมีทั้งโอกาสและความท้าทายที่ทุกภาคส่วนต้องให้ความสำคัญ
การขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลและความโปร่งใส
เป้าหมายหลักประการหนึ่งของนโยบายนี้คือการสนับสนุนเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 53,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2568 การมีระบบชำระเงินดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพและต้นทุนต่ำจะช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซและบริการดิจิทัลต่างๆ เติบโตได้อย่างก้าวกระโดด นอกจากนี้ ความสามารถในการตรวจสอบธุรกรรมได้ทุกขั้นตอนยังช่วยเพิ่มความโปร่งใสในระบบเศรษฐกิจ ลดปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันและปัญหาเงินนอกระบบ ซึ่งจะส่งผลดีต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว
การเปลี่ยนผ่านสู่เงินบาทดิจิทัลไม่เพียงแต่เป็นการยกระดับเทคโนโลยีทางการเงิน แต่ยังเป็นการวางรากฐานที่สำคัญเพื่อปลดล็อกศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในยุคดิจิทัล
มุมมองจากนโยบายภาครัฐและพรรคการเมือง
โครงสร้างพื้นฐานของเงินบาทดิจิทัลยังเปิดโอกาสให้ภาครัฐสามารถดำเนินนโยบายทางการคลังได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ข้อเสนอของพรรคการเมืองบางพรรค เช่น พรรคเพื่อไทย ที่เคยเสนอนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทให้แก่ประชาชนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก หากมีระบบเงินบาทดิจิทัลรองรับ การส่งมอบเงินช่วยเหลือหรือเงินกระตุ้นเศรษฐกิจจะสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว เข้าถึงประชาชนเป้าหมายได้โดยตรง และสามารถกำหนดเงื่อนไขการใช้จ่ายเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อเศรษฐกิจในพื้นที่ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ยากในระบบที่ยังพึ่งพาเงินสดหรือการโอนเงินแบบดั้งเดิม
ความท้าทายและความเสี่ยงที่ต้องจับตา
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ก็มาพร้อมกับความท้าทายที่ต้องบริหารจัดการอย่างรอบคอบ ประเด็นสำคัญคือ ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล (Digital Divide) ซึ่งประชาชนบางกลุ่ม โดยเฉพาะผู้สูงอายุหรือผู้ที่อาศัยในพื้นที่ห่างไกล อาจไม่สามารถเข้าถึงสมาร์ทโฟนหรืออินเทอร์เน็ตได้ ทำให้เสียโอกาสในการเข้าถึงบริการทางการเงินรูปแบบใหม่ นอกจากนี้ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญสูงสุด การสร้างระบบที่แข็งแกร่งเพื่อป้องกันการแฮกข้อมูลและการฉ้อโกงออนไลน์จึงเป็นสิ่งจำเป็น รวมถึง ประเด็นความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (Data Privacy) ซึ่งภาครัฐต้องสร้างความสมดุลระหว่างการตรวจสอบธุรกรรมเพื่อความโปร่งใสและการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้งาน
เปรียบเทียบการทำธุรกรรม: เงินสด vs. เงินบาทดิจิทัล
เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้นของการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น การเปรียบเทียบคุณสมบัติระหว่างการใช้เงินสดแบบดั้งเดิมและเงินบาทดิจิทัลในมิติต่างๆ จะช่วยให้เข้าใจถึงข้อดีและข้อจำกัดของแต่ละรูปแบบได้ดียิ่งขึ้น
คุณสมบัติ | เงินสด | เงินบาทดิจิทัล |
---|---|---|
ความเร็วในการทำธุรกรรม | รวดเร็วสำหรับการชำระเงินต่อหน้า | รวดเร็วทันที ทั้งการชำระเงินต่อหน้าและทางไกล |
ต้นทุนการจัดการ | สูง (การพิมพ์, ขนส่ง, รักษาความปลอดภัย) | ต่ำ (บริหารจัดการผ่านระบบดิจิทัล) |
ความโปร่งใส | ต่ำ (ไม่สามารถตรวจสอบเส้นทางได้) | สูง (สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ทุกธุรกรรม) |
ความปลอดภัย | เสี่ยงต่อการสูญหาย, ถูกขโมย, และการปลอมแปลง | มีความปลอดภัยสูงด้วยเทคโนโลยี DLT และการเข้ารหัส แต่มีความเสี่ยงทางไซเบอร์ |
การเข้าถึง | เข้าถึงได้ทุกคน ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ | จำเป็นต้องมีสมาร์ทโฟนและการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต |
การต่อยอดนวัตกรรม | จำกัด ไม่สามารถต่อยอดได้ | สูง สามารถเชื่อมต่อกับบริการทางการเงินและนวัตกรรมใหม่ๆ ได้ง่าย |
การเตรียมความพร้อม: ประชาชนและผู้ประกอบการต้องปรับตัวอย่างไร
เมื่อการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กำลังจะมาถึง การเตรียมความพร้อมและปรับตัวล่วงหน้าจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกภาคส่วน เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากระบบการเงินใหม่ได้อย่างราบรื่นและปลอดภัย
สำหรับประชาชนทั่วไป
ประชาชนทั่วไปควรเริ่มศึกษาและทำความคุ้นเคยกับการทำธุรกรรมผ่านช่องทางดิจิทัล เช่น การใช้แอปพลิเคชัน Mobile Banking และ e-Wallet รวมถึงการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยทางไซเบอร์ เช่น การตั้งรหัสผ่านที่รัดกุม การไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว และการสังเกตกลโกงออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ การเตรียมความพร้อมด้านความรู้จะช่วยให้สามารถใช้งานเงินบาทดิจิทัลได้อย่างมั่นใจและลดความเสี่ยงจากการถูกหลอกลวง
สำหรับร้านค้าและธุรกิจ
ผู้ประกอบการและร้านค้าควรเริ่มเตรียมความพร้อมของระบบรับชำระเงินดิจิทัล โดยเฉพาะการรับชำระผ่าน QR Code ซึ่งจะเป็นช่องทางหลักในการทำธุรกรรม นอกจากนี้ ควรมีการปรับปรุงระบบบัญชีและการจัดการทางการเงินให้รองรับการทำธุรกรรมแบบดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อให้สามารถบริหารจัดการกระแสเงินสดได้อย่างมีประสิทธิภาพและใช้ประโยชน์จากข้อมูลการซื้อขายในการวิเคราะห์และวางแผนธุรกิจต่อไปในอนาคต
บทสรุป: อนาคตการเงินไทยในยุคดิจิทัลเต็มรูปแบบ
การประกาศแผนเริ่มใช้ ‘เงินบาทดิจิทัล’ ทั่วประเทศในปี 2025 ถือเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่และชัดเจนที่สุดในการนำประเทศไทยเข้าสู่สังคมไร้เงินสดอย่างเต็มตัว การเดินทางที่เริ่มต้นจากโครงการอินทนนท์ได้พัฒนามาสู่โครงสร้างพื้นฐานทางการเงินแห่งอนาคตที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและรูปแบบการทำธุรกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แม้ว่าเงินบาทดิจิทัลจะมอบประโยชน์มหาศาลทั้งในด้านประสิทธิภาพ ความโปร่งใส และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล แต่ก็ยังมีความท้าทายในด้านความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลและความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่ต้องได้รับการจัดการอย่างรัดกุม ดังนั้น การปรับตัวและเตรียมความพร้อมของทุกภาคส่วนจึงเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้การเปลี่ยนผ่านครั้งประวัติศาสตร์นี้เป็นไปอย่างราบรื่นและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ การติดตามข้อมูลข่าวสารและเรียนรู้ที่จะใช้เทคโนโลยีใหม่อย่างชาญฉลาด คือกุญแจสำคัญในการก้าวสู่ยุคใหม่ของการเงินดิจิทัลอย่างมั่นคงและยั่งยืน