เงินสดจะหายไป? รัฐสั่งใช้ ‘เงินบาทดิจิทัล’ ทั่วไทย
การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมไร้เงินสดเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก และประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่มิติใหม่ของการเงินด้วยนโยบายผลักดันการใช้เงินบาทดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจนำมาซึ่งคำถามสำคัญว่า เงินสดจะหายไป? รัฐสั่งใช้ ‘เงินบาทดิจิทัล’ ทั่วไทย จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและการใช้จ่ายของประชาชนอย่างไร บทความนี้จะเจาะลึกถึงแนวคิด หลักการทำงาน และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการนำสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางมาใช้ในวงกว้าง
สาระสำคัญของเงินบาทดิจิทัล
- สถานะเทียบเท่าเงินสด: เงินบาทดิจิทัลเป็นเงินที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย มีมูลค่าคงที่ 1:1 กับเงินบาทในรูปแบบธนบัตรและเหรียญ
- ความสะดวกและปลอดภัย: การทำธุรกรรมผ่านเงินบาทดิจิทัลมีความรวดเร็ว ปลอดภัย และลดความเสี่ยงจากการจัดการเงินสด เช่น การปลอมแปลง หรือการสูญหาย
- การเข้าถึงบริการทางการเงิน: โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงินดิจิทัลให้ครอบคลุมประชากรทุกกลุ่ม รวมถึงผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟนหรือเข้าไม่ถึงอินเทอร์เน็ต
- อนาคตของเงินสด: แม้บทบาทของเงินสดจะลดลง แต่จะไม่หายไปในทันที เนื่องจากเงินบาทดิจิทัลยังคงต้องใช้เงินบาทจริงในการแลกเปลี่ยนเพื่อเริ่มต้นใช้งาน
- นโยบายภาครัฐ: รัฐบาลและ ธปท. มีแผนชัดเจนในการผลักดันให้เงินบาทดิจิทัลเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินใหม่ของประเทศ เพื่อรองรับเศรษฐกิจดิจิทัลที่กำลังเติบโต
ภาพรวมและทิศทางการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล
แนวคิดเรื่องสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง (Central Bank Digital Currency หรือ CBDC) ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นสิ่งที่ธนาคารกลางทั่วโลกกำลังศึกษาและพัฒนาอย่างจริงจัง เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีทางการเงินและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันมาทำธุรกรรมผ่านช่องทางดิจิทัลมากขึ้น สำหรับประเทศไทย การพัฒนาเงินบาทดิจิทัลถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของประเทศให้ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และโปร่งใสมากขึ้น
นโยบายของรัฐบาลที่มุ่งส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลในทุกมิติ ตั้งแต่ระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) ไปจนถึงการใช้ข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ล้วนเป็นปัจจัยสนับสนุนให้โครงการเงินบาทดิจิทัลมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยมีธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นหน่วยงานหลักในการศึกษา ทดสอบ และวางรากฐานการใช้งานให้มีความมั่นคงปลอดภัยสูงสุด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและภาคธุรกิจ ก่อนที่จะมีการขยายผลการใช้งานไปทั่วประเทศในอนาคต
เจาะลึก: ‘เงินบาทดิจิทัล’ คืออะไร
เพื่อทำความเข้าใจถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น จำเป็นต้องเข้าใจถึงแก่นแท้ของเงินบาทดิจิทัลว่ามีลักษณะเฉพาะและหลักการทำงานอย่างไร แตกต่างจากสินทรัพย์ดิจิทัลหรือเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่คุ้นเคยกันอย่างไรบ้าง
นิยามและสถานะทางกฎหมาย
เงินบาทดิจิทัล คือ เงินบาทในรูปแบบดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งมีสถานะเป็นเงินที่ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย (Legal Tender) เช่นเดียวกับธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน จุดเด่นที่สำคัญที่สุดคือ เงินบาทดิจิทัลจะมีสินทรัพย์ของภาครัฐหนุนหลังในอัตราส่วน 1:1 เสมอ หมายความว่า เงินบาทดิจิทัล 1 บาท มีมูลค่าเท่ากับเงินสด 1 บาทเสมอ ไม่มีความผันผวนของมูลค่าเหมือนสกุลเงินดิจิทัลประเภทคริปโทเคอร์เรนซี
เงินบาทดิจิทัลไม่ใช่คริปโทเคอร์เรนซี แต่เป็นเงินบาทที่ออกโดยธนาคารกลางในรูปแบบโทเคนดิจิทัล มีมูลค่าคงที่และสามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ทำให้มีความน่าเชื่อถือและปลอดภัยสูงสุด
การมีสถานะเป็นเงินที่ออกโดยธนาคารกลางทำให้เงินบาทดิจิทัลเป็นหนี้สินของธนาคารกลางโดยตรง ซึ่งแตกต่างจากเงินฝากในธนาคารพาณิชย์ที่เป็นหนี้สินของธนาคารพาณิชย์นั้นๆ คุณสมบัตินี้ทำให้เงินบาทดิจิทัลมีความเสี่ยงด้านเครดิตต่ำที่สุดในระบบการเงิน
ความแตกต่างจากเงินสดและเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money)
แม้ว่าการใช้งานอาจดูคล้ายคลึงกัน แต่เงินบาทดิจิทัลมีความแตกต่างที่สำคัญจากเงินสดและเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) ที่ใช้กันผ่านแอปพลิเคชันกระเป๋าเงินดิจิทัล (Digital Wallet) ในปัจจุบัน การทำความเข้าใจความแตกต่างเหล่านี้จะช่วยให้เห็นภาพการเปลี่ยนแปลงของระบบการเงินในอนาคตได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
คุณสมบัติ | เงินบาทดิจิทัล (CBDC) | เงินสด (ธนบัตร/เหรียญ) | เงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) |
---|---|---|---|
ผู้ออก | ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) | ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) | สถาบันการเงินหรือผู้ให้บริการที่ไม่ใช่ธนาคาร |
รูปแบบ | ดิจิทัล (โทเคน) | กายภาพ (กระดาษ/โลหะ) | ดิจิทัล (บันทึกในระบบ) |
สถานะทางกฎหมาย | ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย | ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย | มูลค่าที่ใช้ชำระค่าสินค้า/บริการที่ตกลงกัน |
การค้ำประกัน | สินทรัพย์ของภาครัฐ (หนี้สินของ ธปท.) | สินทรัพย์ของภาครัฐ (หนี้สินของ ธปท.) | เงินฝากในธนาคารพาณิชย์ (หนี้สินของผู้ออก) |
ความเสี่ยง | ความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ/ไซเบอร์ | การสูญหาย, การถูกขโมย, การปลอมแปลง | ความเสี่ยงด้านเครดิตของผู้ออก/ปฏิบัติการ |
การโอนมูลค่า | P2P โดยตรง (Peer-to-Peer) | P2P โดยตรง (Peer-to-Peer) | ผ่านตัวกลางที่เป็นผู้ให้บริการ |
กลไกการแลกเปลี่ยนและวิธีจัดเก็บ
การนำเงินบาทดิจิทัลเข้ามาในระบบจะเริ่มต้นจากการที่ผู้ใช้บริการนำเงินสดหรือเงินในบัญชีเงินฝากไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินบาทดิจิทัลกับตัวกลางที่ได้รับอนุญาต เช่น ธนาคารพาณิชย์ หรือผู้ให้บริการทางการเงินที่ ธปท. กำกับดูแล เมื่อแลกเปลี่ยนแล้ว เงินบาทดิจิทัลจะถูกโอนเข้ามาเก็บไว้ใน “กระเป๋าเงินดิจิทัล” (Digital Wallet) ของผู้ใช้ ซึ่งอาจอยู่ในสองรูปแบบหลัก:
- แอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน: สำหรับผู้ใช้งานส่วนใหญ่ กระเป๋าเงินดิจิทัลจะเป็นแอปพลิเคชันที่สามารถติดตั้งบนสมาร์ทโฟนได้ ทำให้สามารถตรวจสอบยอดเงิน โอนเงิน และชำระค่าสินค้าและบริการได้อย่างสะดวกสบาย คล้ายกับการใช้แอปพลิเคชันธนาคารหรือ e-Wallet ในปัจจุบัน
- อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ (การ์ด): เพื่อให้การเข้าถึงเป็นไปอย่างทั่วถึง สำหรับกลุ่มประชากรที่ไม่มีสมาร์ทโฟนหรือไม่สะดวกในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต จะมีตัวเลือกในการจัดเก็บเงินบาทดิจิทัลในรูปแบบของการ์ดอัจฉริยะ (Smart Card) หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่สามารถใช้แตะเพื่อจ่ายเงิน ณ จุดชำระเงินได้โดยไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา
กลไกนี้ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความยืดหยุ่นและรองรับความต้องการของคนทุกกลุ่มในสังคม เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านไปสู่การเงินดิจิทัลเป็นไปอย่างราบรื่นและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
แนวทางการใช้งานเงินบาทดิจิทัลในชีวิตประจำวัน
การนำเงินบาทดิจิทัลมาใช้งานจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อวิธีการใช้จ่ายและการทำธุรกรรมในชีวิตประจำวันของทุกคน ตั้งแต่การซื้อของในตลาดไปจนถึงการจ่ายบิลต่างๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างประสบการณ์ที่สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยกว่าเดิม
ขั้นตอนการใช้งานสำหรับภาคประชาชน
กระบวนการเริ่มต้นใช้งานสำหรับประชาชนทั่วไปคาดว่าจะมีความเรียบง่ายและไม่ซับซ้อน โดยอาจแบ่งเป็นขั้นตอนหลักๆ ดังนี้:
- การเปิดกระเป๋าเงินดิจิทัล: ผู้ใช้จะต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชันหรือรับการ์ดจากผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาต และทำการยืนยันตัวตนตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดเพื่อความปลอดภัย
- การเติมเงิน: สามารถนำเงินสดหรือเงินจากบัญชีธนาคารไปแลกเป็นเงินบาทดิจิทัลผ่านช่องทางของผู้ให้บริการ เช่น เคาน์เตอร์ธนาคาร ตู้เอทีเอ็ม หรือผ่านแอปพลิเคชัน Mobile Banking
- การใช้จ่าย: เมื่อมีเงินบาทดิจิทัลในกระเป๋าแล้ว สามารถนำไปใช้จ่ายชำระค่าสินค้าและบริการกับร้านค้าที่รองรับ โดยอาจเป็นการสแกน QR Code หรือการใช้อุปกรณ์แตะเพื่อจ่าย ซึ่งคาดว่าจะมีความรวดเร็วและไม่มีค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมรายย่อย
- การโอนเงิน: สามารถโอนเงินบาทดิจิทัลระหว่างบุคคลได้อย่างรวดเร็วและโดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องผ่านตัวกลางหลายชั้น ซึ่งช่วยลดระยะเวลาและต้นทุนในการทำธุรกรรม
การประยุกต์ใช้ในภาคธุรกิจและบริการ
สำหรับภาคธุรกิจ เงินบาทดิจิทัลจะเปิดโอกาสใหม่ๆ และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าขนาดเล็กหรือบริษัทขนาดใหญ่ก็จะได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงนี้:
- ลดต้นทุนการจัดการเงินสด: ร้านค้าและธุรกิจต่างๆ จะลดภาระและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเงินสด เช่น ค่าธรรมเนียมการฝาก-ถอนเงิน ความเสี่ยงจากการเก็บเงินสดไว้ที่ร้าน และค่าใช้จ่ายในการขนส่งเงิน
- การรับชำระเงินที่รวดเร็ว: การชำระเงินด้วยเงินบาทดิจิทัลจะเสร็จสิ้นได้ในทันที ทำให้ธุรกิจได้รับเงินเร็วขึ้น ช่วยเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน
- ข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์: ข้อมูลการทำธุรกรรมแบบดิจิทัลสามารถนำไปใช้วิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคเพื่อวางแผนการตลาดและพัฒนาสินค้าหรือบริการให้ตอบโจทย์ได้ดียิ่งขึ้น
- นวัตกรรมทางการเงิน: เงินบาทดิจิทัลจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมและบริการทางการเงินใหม่ๆ เช่น การทำสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) ที่สามารถตั้งโปรแกรมเงื่อนไขการชำระเงินอัตโนมัติได้
เทคโนโลยีเพื่อการเข้าถึงอย่างทั่วถึง
หนึ่งในเป้าหมายที่สำคัญที่สุดของโครงการเงินบาทดิจิทัลคือ “การเข้าถึงบริการทางการเงินอย่างทั่วถึง” (Financial Inclusion) เพื่อให้แน่ใจว่าการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีนี้จะไม่ทิ้งกลุ่มคนเปราะบางไว้เบื้องหลัง แนวคิดการใช้ “การ์ด” หรืออุปกรณ์ฮาร์ดแวร์จึงถูกนำมาพิจารณาอย่างจริงจังสำหรับผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟน ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลที่สัญญาณอินเทอร์เน็ตไม่เสถียร การ์ดเหล่านี้จะทำหน้าที่เสมือนกระเป๋าเงินสดดิจิทัลที่สามารถใช้จ่ายในวงเงินที่จำกัดได้แบบออฟไลน์ และทำการปรับยอดเมื่อเชื่อมต่อกับระบบในภายหลัง ซึ่งจะช่วยลดช่องว่างทางดิจิทัลและทำให้ทุกคนสามารถได้รับประโยชน์จากระบบการเงินใหม่นี้ได้
นโยบายรัฐบาลกับการขับเคลื่อน ‘เงินบาทดิจิทัล’ ทั่วไทย
การผลักดันให้เกิดการใช้งาน เงินบาทดิจิทัลทั่วไทย เป็นวาระสำคัญที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญ โดยมีเป้าหมายเพื่อวางรากฐานทางเศรษฐกิจดิจิทัลที่แข็งแกร่งและยั่งยืนสำหรับอนาคต
บทบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีบทบาทเป็นผู้นำในการศึกษา วิจัย และพัฒนาเงินบาทดิจิทัลอย่างรอบคอบ โดยได้มีการดำเนินการทดสอบในวงจำกัด (Pilot Test) กับภาคส่วนต่างๆ ทั้งสถาบันการเงินและผู้ใช้งานรายย่อย เพื่อประเมินประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และผลกระทบในมิติต่างๆ ก่อนที่จะนำมาใช้งานจริงในวงกว้าง นอกจากนี้ ธปท. ยังได้ศึกษาและทดลองสกุลเงินดิจิทัลในรูปแบบอื่นๆ เช่น Stablecoin ที่อ้างอิงกับเงินบาท เพื่อทำความเข้าใจพลวัตของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลและเตรียมความพร้อมในการกำกับดูแลอย่างเหมาะสม ประสบการณ์และความรู้ที่ได้จากการทดสอบเหล่านี้จะถูกนำมาใช้ในการออกแบบเงินบาทดิจิทัลให้ตอบโจทย์บริบทของประเทศไทยได้ดีที่สุด
เป้าหมายการขยายผลสู่การใช้งานในวงกว้าง
แผนการขยายการใช้เงินบาทดิจิทัลทั่วประเทศมีเป้าหมายหลักเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการชำระเงินโดยรวม ลดต้นทุนในระบบเศรษฐกิจ และส่งเสริมการแข่งขันและนวัตกรรมในภาคบริการทางการเงิน นอกจากนี้ ยังมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความโปร่งใสและลดปัญหาเศรษฐกิจนอกระบบ เนื่องจากธุรกรรมดิจิทัลสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ง่ายกว่าเงินสด ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของภาครัฐในระยะยาว และยังช่วยสนับสนุนการเข้าถึงบริการทางการเงินของประชาชนในวงกว้างอีกด้วย
ความเชื่อมโยงกับโครงการดิจิทัลอื่นๆ
โครงการเงินบาทดิจิทัลไม่ได้ดำเนินไปอย่างโดดเดี่ยว แต่มีความเชื่อมโยงและเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การพัฒนาดิจิทัลของประเทศในภาพรวม โดยจะทำงานร่วมกับโครงการอื่นๆ เช่น
- ระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment): เงินบาทดิจิทัลจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการชำระเงินที่ต่อยอดจากความสำเร็จของระบบพร้อมเพย์และ QR Payment ที่มีอยู่
- กระเป๋าเงินดิจิทัลภาครัฐ: โครงสร้างพื้นฐานของเงินบาทดิจิทัลสามารถนำมาใช้ในการส่งผ่านนโยบายความช่วยเหลือจากภาครัฐไปยังประชาชนได้อย่างรวดเร็ว ตรงกลุ่มเป้าหมาย และมีประสิทธิภาพ เช่น การบรรเทาค่าครองชีพ หรือการสนับสนุนเศรษฐกิจฐานราก
- การส่งเสริมเศรษฐกิจข้อมูล (Data Economy): การเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกรรมดิจิทัลจะสร้างข้อมูลที่มีค่ามหาศาล ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการวิเคราะห์และพัฒนานโยบายที่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนและภาคธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น
วิเคราะห์ผลกระทบ: เงินสดจะหายไปจริงหรือ?
คำถามสำคัญที่หลายคนสงสัยคือ การมาถึงของเงินบาทดิจิทัลจะทำให้เงินสดที่จับต้องได้หายไปจากระบบเศรษฐกิจหรือไม่ และอนาคตของการเงินไทยจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร
อนาคตและบทบาทของเงินสด
คำตอบที่ชัดเจนจากแนวทางของ ธปท. คือ เงินสดจะยังไม่หายไปในทันที แต่บทบาทจะค่อยๆ ลดความสำคัญลง การนำเงินบาทดิจิทัลมาใช้เป็นการ “เปลี่ยนรูปแบบ” ของเงินจากกายภาพเป็นดิจิทัล ไม่ใช่การยกเลิกเงินบาทที่มีอยู่เดิม ประชาชนจะยังมีทางเลือกในการใช้เงินสดได้ตามความต้องการ โดยเฉพาะในกลุ่มที่ยังคุ้นเคยหรือมีความจำเป็นต้องใช้เงินสดในการทำธุรกรรม
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มในระยะยาวคือการใช้งานเงินสดจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยของการชำระเงินแบบดิจิทัลจะจูงใจให้ทั้งผู้บริโภคและร้านค้าหันมาใช้เงินบาทดิจิทัลมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของการชำระเงินในที่สุด
ประโยชน์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทย
การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบการเงินดิจิทัลเต็มรูปแบบด้วยเงินบาทดิจิทัลคาดว่าจะสร้างประโยชน์ต่อเศรษฐกิจในหลายมิติ:
- เพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน: ลดต้นทุนที่มองไม่เห็นในการจัดการเงินสดทั่วประเทศ เช่น การพิมพ์ธนบัตร การขนส่ง และการบริหารจัดการ
- กระตุ้นนวัตกรรม: เป็นพื้นฐานให้เกิดบริการทางการเงินรูปแบบใหม่ๆ ที่สร้างสรรค์และตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายมากขึ้น
- เพิ่มความโปร่งใส: ช่วยให้ภาครัฐมีข้อมูลในการติดตามภาวะเศรษฐกิจและดำเนินนโยบายการคลังและการเงินได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
- ยกระดับความสามารถในการแข่งขัน: ทำให้โครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของไทยทัดเทียมนานาชาติ พร้อมรองรับการค้าและการลงทุนในยุคดิจิทัล
ความท้าทายในการเปลี่ยนผ่าน
แม้จะมีประโยชน์มากมาย แต่การเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่นี้ย่อมมาพร้อมกับความท้าทายที่ต้องบริหารจัดการอย่างรอบคอบ เช่น การสร้างความรู้ความเข้าใจและความเชื่อมั่นให้กับประชาชน, การพัฒนาทักษะทางดิจิทัล (Digital Literacy) ให้กับคนทุกกลุ่ม, การรับมือกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์, และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งเป็นโจทย์ที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด
บทสรุป: ก้าวต่อไปของการเงินไทยในยุคดิจิทัล
นโยบายสั่งใช้ ‘เงินบาทดิจิทัล’ ทั่วไทย ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งประวัติศาสตร์ของระบบการเงินของประเทศ เป็นการเคลื่อนไหวเชิงรุกเพื่อปรับตัวให้เข้ากับภูมิทัศน์การเงินโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แม้ว่าเงินสดจะยังคงมีบทบาทต่อไปในระยะแรก แต่ทิศทางที่ชัดเจนคือการมุ่งหน้าสู่สังคมไร