บาทดิจิทัลเขย่าประเทศ! เตรียมตัวรับเงินใหม่

สารบัญ

ธนาคารแห่งประเทศไทยกำลังผลักดันโครงการสกุลเงินดิจิทัลสำหรับภาคประชาชน หรือที่รู้จักกันในชื่อ “บาทดิจิทัล” ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของประเทศ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและการทำธุรกรรมของคนไทยในวงกว้าง สร้างโอกาสและนวัตกรรมใหม่ ๆ พร้อมนำพาระบบเศรษฐกิจเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ

ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ

  • เงินบาทดิจิทัล (Retail CBDC) คือ สกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีมูลค่าเทียบเท่าเงินบาทปกติแบบ 1:1 และใช้เป็นสื่อกลางในการชำระเงินในชีวิตประจำวัน
  • ลักษณะคล้ายเงินสด: บาทดิจิทัลถูกออกแบบมาเพื่อการใช้จ่าย ไม่ใช่เพื่อการออม จึงไม่มีการจ่ายดอกเบี้ย ทำให้มีสถานะใกล้เคียงกับธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ในรูปแบบดิจิทัล
  • ความปลอดภัยและเสถียรภาพสูง: เนื่องจากออกโดยธนาคารกลาง จึงมีความน่าเชื่อถือและปลอดภัยสูงสุด ต่างจากสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทอื่น ๆ ที่มีความผันผวนสูง
  • ไม่สร้างภาระค่าธรรมเนียม: การใช้งานบาทดิจิทัลมีเป้าหมายเพื่อลดต้นทุนการทำธุรกรรมทางการเงินสำหรับประชาชนและภาคธุรกิจ โดยจะไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม
  • ส่งเสริมนวัตกรรมทางการเงิน: โครงสร้างพื้นฐานของบาทดิจิทัลจะเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนและนักพัฒนาสามารถสร้างสรรค์บริการทางการเงินใหม่ ๆ บนแพลตฟอร์มนี้ได้อย่างอิสระ

บาทดิจิทัลเขย่าประเทศ! เตรียมตัวรับเงินใหม่ คือปรากฏการณ์ที่สะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของระบบการเงินไทย เมื่อธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เริ่มโครงการทดลองใช้สกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางสำหรับภาคประชาชน (Retail Central Bank Digital Currency หรือ Retail CBDC) อย่างจริงจัง เงินบาทดิจิทัลนี้ไม่ใช่คริปโตเคอร์เรนซีหรือเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) ที่คุ้นเคยกัน แต่เป็นเงินบาทในรูปแบบดิจิทัลที่ออกโดยตรงโดย ธปท. ซึ่งมีสถานะเทียบเท่ากับธนบัตรและเหรียญที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันทุกประการ การพัฒนานี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และลดต้นทุนในระบบการชำระเงิน พร้อมทั้งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่จะรองรับนวัตกรรมทางการเงินแห่งอนาคต และผลักดันประเทศไทยไปสู่การเป็นสังคมไร้เงินสดอย่างสมบูรณ์

การมาถึงของเงินบาทดิจิทัล: อนาคตการเงินของคนไทย

การพัฒนาเงินบาทดิจิทัลไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไร้เหตุผล แต่เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์ทางการเงินทั่วโลกที่เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ธนาคารกลางหลายประเทศต่างเร่งศึกษาและพัฒนา CBDC ของตนเอง เพื่อให้ระบบการเงินของประเทศก้าวทันโลกและสามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนและภาคธุรกิจในยุคดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับประเทศไทย โครงการนี้ถือเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญที่จะยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินให้มีความทันสมัยและพร้อมรับมือกับความท้าทายใหม่ ๆ ในอนาคต

ทำไมเงินบาทดิจิทัลจึงมีความสำคัญในยุคดิจิทัล

ในยุคที่การทำธุรกรรมออนไลน์กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน การมีสื่อกลางในการชำระเงินดิจิทัลที่ปลอดภัยและมีเสถียรภาพซึ่งออกโดยธนาคารกลางจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เงินบาทดิจิทัลจะเข้ามาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการชำระเงิน นอกเหนือจากเงินสด บัตรเครดิต หรือ e-Wallet โดยมีจุดเด่นคือความเป็นเงินของภาครัฐ (Public Money) ที่มีความน่าเชื่อถือสูงสุด ช่วยลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาระบบชำระเงินของภาคเอกชนเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ ยังช่วยลดต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเงินสด ทั้งการพิมพ์ การขนส่ง และการเก็บรักษา ซึ่งเป็นต้นทุนมหาศาลของระบบเศรษฐกิจโดยรวม ที่สำคัญที่สุด บาทดิจิทัลจะเป็นรากฐานที่เปิดให้เกิดการแข่งขันและสร้างสรรค์นวัตกรรมบริการทางการเงินใหม่ ๆ ที่สามารถเข้าถึงประชาชนได้ทุกกลุ่ม

ใครคือผู้ที่เกี่ยวข้องและจะได้รับผลกระทบ

การนำเงินบาทดิจิทัลมาใช้จะส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนในระบบเศรษฐกิจ:

  • ประชาชนทั่วไป: จะมีทางเลือกในการชำระเงินที่สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และอาจไม่มีค่าธรรมเนียม สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่ยังไม่สามารถเข้าถึงบริการธนาคารได้อย่างเต็มที่
  • ร้านค้าและภาคธุรกิจ: จะได้รับประโยชน์จากต้นทุนการรับชำระเงินที่ลดลง ไม่ต้องกังวลเรื่องการจัดการเงินสด และสามารถต่อยอดไปสู่การสร้างโปรแกรมส่งเสริมการขายหรือบริการใหม่ ๆ ที่เชื่อมต่อกับระบบชำระเงินดิจิทัลได้โดยตรง
  • สถาบันการเงินและผู้ให้บริการทางการเงิน: จะมีบทบาทเป็นตัวกลางในการกระจายเงินบาทดิจิทัลและให้บริการแก่ลูกค้า ซึ่งเป็นโอกาสในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินดิจิทัลใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
  • นักพัฒนาและบริษัทเทคโนโลยี: จะสามารถเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่เปิดกว้าง เพื่อนำไปพัฒนานวัตกรรม แอปพลิเคชัน หรือบริการทางการเงินรูปแบบใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน

เจาะลึก ‘บาทดิจิทัล’ (Retail CBDC) คืออะไร

เจาะลึก 'บาทดิจิทัล' (Retail CBDC) คืออะไร

เพื่อให้เข้าใจแนวคิดของเงินบาทดิจิทัลอย่างถ่องแท้ จำเป็นต้องทำความเข้าใจถึงคำจำกัดความและคุณลักษณะพื้นฐานที่ทำให้เงินดิจิทัลประเภทนี้แตกต่างจากเงินในรูปแบบอื่น ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน Retail CBDC ไม่ใช่เพียงการนำเงินบาทมาอยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ แต่เป็นวิวัฒนาการของเงินตราที่ออกโดยรัฐ เพื่อให้สอดคล้องกับพลวัตของโลกยุคใหม่

นิยามและคุณลักษณะสำคัญของเงินบาทดิจิทัล

เงินบาทดิจิทัล หรือ Retail CBDC คือ สกุลเงินบาทในรูปแบบดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย มีสถานะเป็นหนี้สินของ ธปท. และสามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายเช่นเดียวกับธนบัตร มีคุณลักษณะสำคัญหลายประการ:

  • มีมูลค่าคงที่: 1 บาทดิจิทัล มีมูลค่าเท่ากับ 1 บาทเสมอ ไม่มีความผันผวนของมูลค่าเหมือนสินทรัพย์ดิจิทัลอื่น ๆ
  • ไม่ให้ดอกเบี้ย: เพื่อคงบทบาทของเงินบาทดิจิทัลให้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน (Medium of Exchange) ไม่ใช่สินทรัพย์เพื่อการออม (Store of Value) ซึ่งอาจกระทบต่อเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน
  • ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย: มีการผสมผสานเทคโนโลยีทั้งแบบรวมศูนย์ (Centralized) และแบบกระจายศูนย์ (Distributed Ledger Technology – DLT) เพื่อให้ระบบมีความปลอดภัย ยืดหยุ่น และมีประสิทธิภาพสูง
  • เข้าถึงได้ในวงกว้าง: ออกแบบมาเพื่อให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงและใช้งานได้ ทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อให้สามารถใช้งานได้ในทุกสถานการณ์

บาทดิจิทัลจะมีลักษณะใกล้เคียงกับเงินสดธรรมดา คือไม่มีดอกเบี้ย ผู้ใช้จึงไม่มองว่าเป็นทางเลือกสำหรับการฝากเงิน แต่จะใช้เพื่อจับจ่ายใช้สอยจริง ๆ ซึ่งแตกต่างจากระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ปัจจุบันที่มักจำกัดเฉพาะเครือข่ายบางแห่ง

กลไกการทำงาน: จาก ธปท. สู่มือประชาชน

ธปท. จะไม่กระจายเงินบาทดิจิทัลให้กับประชาชนโดยตรง แต่จะใช้รูปแบบการกระจายผ่านตัวกลาง (Two-tier Model) ซึ่งเป็นรูปแบบที่ธนาคารกลางส่วนใหญ่ทั่วโลกเลือกใช้ โดยมีขั้นตอนดังนี้:

  1. ธนาคารแห่งประเทศไทย (ผู้ออก): ธปท. จะเป็นผู้ผลิตและออกเงินบาทดิจิทัลเข้าสู่ระบบ และกำกับดูแลเสถียรภาพของระบบโดยรวม
  2. สถาบันการเงินและผู้ให้บริการทางการเงิน (ตัวกลาง): ธนาคารพาณิชย์ หรือผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (Non-bank) ที่ได้รับอนุญาต จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการกระจายเงินบาทดิจิทัลไปสู่ประชาชนและภาคธุรกิจ พวกเขาจะรับผิดชอบการเปิดบัญชีหรือวอลเล็ตสำหรับบาทดิจิทัล การทำความรู้จักลูกค้า (KYC) และการให้บริการธุรกรรมต่าง ๆ เช่น การเติมเงิน การโอน และการชำระเงิน
  3. ประชาชนและร้านค้า (ผู้ใช้งาน): สามารถรับและใช้จ่ายเงินบาทดิจิทัลผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนหรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่พัฒนาโดยตัวกลาง

รูปแบบนี้จะช่วยรักษาบทบาทสำคัญของสถาบันการเงินในระบบเศรษฐกิจ ใช้ประโยชน์จากโครงข่ายสาขาและเทคโนโลยีที่สถาบันการเงินมีอยู่แล้ว ทำให้การนำเงินบาทดิจิทัลมาใช้งานจริงเป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็ว

เปรียบเทียบความแตกต่าง: บาทดิจิทัล, เงินอิเล็กทรอนิกส์, และคริปโตเคอร์เรนซี

เพื่อสร้างความเข้าใจที่ชัดเจน การเปรียบเทียบคุณสมบัติของเงินบาทดิจิทัลกับเงินรูปแบบดิจิทัลอื่น ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบันจะช่วยให้เห็นภาพความแตกต่างและบทบาทที่แตกต่างกันของแต่ละประเภท

ตารางเปรียบเทียบคุณสมบัติระหว่างเงินบาทดิจิทัล (CBDC), เงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money), และคริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency)
คุณสมบัติ บาทดิจิทัล (Retail CBDC) เงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) คริปโตเคอร์เรนซี (เช่น Bitcoin)
ผู้ออก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ภาคเอกชนที่ได้รับใบอนุญาต (เช่น ผู้ให้บริการ Wallet) ระบบกระจายศูนย์ (Decentralized) ไม่มีผู้ออกกลาง
สถานะทางกฎหมาย เงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย (Legal Tender) สิทธิเรียกร้องต่อผู้ให้บริการ (Claim on Issuer) ไม่ใช่เงินตราตามกฎหมาย (ส่วนใหญ่) เป็นสินทรัพย์ดิจิทัล
ความเสี่ยง ต่ำที่สุด (ความเสี่ยงระดับประเทศ) ความเสี่ยงจากการดำเนินงานของผู้ให้บริการ สูงมาก (ความผันผวนของราคา, ความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ)
วัตถุประสงค์หลัก การชำระเงิน การชำระเงิน (มักอยู่ในระบบปิดของผู้ให้บริการ) การลงทุน/เก็งกำไร, การชำระเงิน (จำกัด)
เสถียรภาพของมูลค่า คงที่ (1 บาทดิจิทัล = 1 บาท) คงที่ (ผูกกับเงินบาท) ผันผวนสูงมาก

ประโยชน์และความท้าทายของการใช้เงินบาทดิจิทัล

การนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ย่อมมาพร้อมกับโอกาสและข้อควรพิจารณาเสมอ สำหรับเงินบาทดิจิทัลก็เช่นกัน การทำความเข้าใจทั้งสองด้านจะช่วยให้ทุกภาคส่วนสามารถเตรียมตัวและปรับตัวได้อย่างเหมาะสม

ข้อดีสำหรับประชาชนและร้านค้า

ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือการสร้างระบบการชำระเงินที่มีประสิทธิภาพและต้นทุนต่ำ ประชาชนและร้านค้าจะสามารถทำธุรกรรมระหว่างกันได้โดยตรงมากขึ้น โดยอาจไม่มีค่าธรรมเนียมหรือมีในอัตราที่ต่ำมาก ซึ่งจะช่วยลดภาระต้นทุนให้กับทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย นอกจากนี้ ความปลอดภัยที่ได้รับการรับรองโดยธนาคารกลางยังสร้างความมั่นใจให้กับการทำธุรกรรมดิจิทัลมากกว่าเดิม และช่วยให้การเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมไร้เงินสดเป็นไปอย่างทั่วถึงและยั่งยืน

โอกาสใหม่สำหรับภาคธุรกิจและนักพัฒนา

หนึ่งในเป้าหมายที่สำคัญที่สุดของโครงการบาทดิจิทัล คือการสร้าง “แพลตฟอร์มเปิด” สำหรับนวัตกรรมทางการเงิน ซึ่งหมายความว่าภาคเอกชนและนักพัฒนาสามารถเชื่อมต่อและสร้างบริการใหม่ ๆ บนโครงสร้างพื้นฐานของบาทดิจิทัลได้ สิ่งนี้จะนำไปสู่สิ่งที่เรียกว่า “Programmable Money” หรือเงินที่สามารถตั้งเงื่อนไขการใช้งานได้ ตัวอย่างเช่น การจ่ายเงินช่วยเหลือจากภาครัฐที่สามารถกำหนดให้ใช้จ่ายได้เฉพาะสินค้าที่จำเป็น หรือการทำธุรกรรมทางธุรกิจที่เงินจะถูกโอนโดยอัตโนมัติเมื่อครบเงื่อนไขตามสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) โอกาสเหล่านี้จะเปิดประตูสู่โมเดลธุรกิจและบริการทางการเงินที่ไม่เคยเกิดขึ้นได้มาก่อน

ความเสี่ยงที่ต้องจับตาและมาตรการป้องกัน

แม้จะมีประโยชน์มากมาย แต่การมีเงินบาทดิจิทัลก็มาพร้อมกับความท้าทายเช่นกัน ความเสี่ยงหลักที่ธนาคารกลางทั่วโลกกังวลคือ ปรากฏการณ์การแห่ถอนเงินฝากจากธนาคารพาณิชย์ไปถือครองในรูปของ CBDC (Disintermediation) โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดวิกฤตความเชื่อมั่น ซึ่งอาจกระทบต่อเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินได้ เพื่อป้องกันปัญหานี้ ธปท. จึงมีแนวทางในการกำหนดเงื่อนไขและข้อจำกัดที่เหมาะสม เช่น การจำกัดปริมาณการถือครองหรือการแลกเปลี่ยนบาทดิจิทัลต่อคนต่อวัน นอกจากนี้ ยังมีความท้าทายด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์และการป้องกันการนำไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมาย เช่น การฟอกเงิน ซึ่ง ธปท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องวางมาตรการกำกับดูแลที่รัดกุมต่อไป

บาทดิจิทัลในบริบทเศรษฐกิจโลกและตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล

การพัฒนาเงินบาทดิจิทัลของไทยสอดคล้องกับทิศทางของโลก ปัจจุบันธนาคารกลางกว่า 90% ทั่วโลกกำลังศึกษาหรือทดลอง CBDC การมีโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่ทันสมัยจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และอาจนำไปสู่การเชื่อมโยงระบบการชำระเงินระหว่างประเทศที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต ลดขั้นตอนและค่าใช้จ่ายในการโอนเงินข้ามพรมแดน ขณะเดียวกัน ในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีอยู่แล้ว ก็เริ่มมีการพัฒนา Stablecoin ที่ผูกกับค่าเงินบาทโดยภาคเอกชน ซึ่งเป็นการปูทางให้ผู้คนคุ้นเคยกับการใช้เงินบาทในรูปแบบโทเคนดิจิทัลมากขึ้น

Stablecoin ที่อิงกับเงินบาท: กรณีศึกษา THBX

นอกเหนือจาก Retail CBDC ที่พัฒนาโดย ธปท. ภาคเอกชนก็ได้พัฒนา Stablecoin ที่ตรึงมูลค่ากับเงินบาทในอัตรา 1:1 เช่นกัน ตัวอย่างที่น่าสนใจคือ THBX ซึ่งเป็น Stablecoin ที่ได้รับความนิยมในตลาดคริปโตเคอร์เรนซีในไทย โดยรองรับการซื้อขายบนแพลตฟอร์มขนาดใหญ่หลายแห่ง สิ่งที่น่าสนใจคือการขยายการใช้งานของ THBX ไปสู่โลกแห่งความเป็นจริง โดยเริ่มมีการทดลองใช้ชำระค่าสินค้าและบริการผ่าน QR Code ในร้านค้ากว่า 100 แห่งในกรุงเทพฯ แล้ว ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการและความพร้อมของตลาดในการยอมรับเงินบาทในรูปแบบดิจิทัล และเป็นกรณีศึกษาที่ช่วยให้ ธปท. สามารถเรียนรู้พฤติกรรมผู้บริโภคเพื่อนำไปปรับใช้กับการออกแบบเงินบาทดิจิทัลในอนาคตได้

บทสรุป: การเตรียมความพร้อมสู่สังคมไร้เงินสดเต็มรูปแบบ

การเกิดขึ้นของ บาทดิจิทัล ถือเป็นวิวัฒนาการครั้งประวัติศาสตร์ของระบบการเงินไทย เป็นการวางรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับเศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคต แม้ว่าโครงการจะยังอยู่ในช่วงของการทดลองและพัฒนาในวงจำกัด (Pilot Test) เพื่อประเมินผลกระทบและความพร้อมในทุกมิติ แต่ทิศทางที่ชัดเจนคือ ประเทศไทยกำลังมุ่งหน้าสู่การมีเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางให้ประชาชนได้ใช้งานในอนาคตอันใกล้ โดยคาดว่าจะเริ่มเห็นการใช้งานในวงกว้างขึ้นตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป

การเปลี่ยนผ่านนี้จะนำมาซึ่งประโยชน์นานัปการ ทั้งในด้านประสิทธิภาพ ความโปร่งใส การลดต้นทุน และการเปิดประตูสู่นวัตกรรมทางการเงินที่ไม่สิ้นสุด การเตรียมความพร้อมและปรับตัวของทุกภาคส่วน ทั้งประชาชน ภาคธุรกิจ และผู้กำกับดูแล จึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้อย่างเต็มศักยภาพ การติดตามข้อมูลข่าวสารจากธนาคารแห่งประเทศไทยอย่างใกล้ชิดจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถปรับตัวและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีทางการเงินใหม่นี้ได้อย่างสมบูรณ์ในวันที่เงินบาทดิจิทัลกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของทุกคน