กระเป๋าตังค์สั่น! ‘บาทดิจิทัล’ จ่อใช้จริงทั่วไทย
การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในโลกการเงินของไทยกำลังจะเกิดขึ้น เมื่อโครงการเงินบาทดิจิทัล หรือ Central Bank Digital Currency (CBDC) ที่พัฒนาโดยธนาคารแห่งประเทศไทย กำลังเข้าใกล้การใช้งานจริงในวงกว้างมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตทางการเงินของทุกคน
ภาพรวมของเงินบาทดิจิทัล
ประเด็นสำคัญที่ควรทราบเกี่ยวกับเงินบาทดิจิทัลและการนำมาใช้ในประเทศไทย มีดังนี้:
- นิยามและสถานะ: เงินบาทดิจิทัลคือเงินบาทในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ออกโดยธนาคารกลางโดยตรง มีสถานะเป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายเช่นเดียวกับธนบัตรและเหรียญกษาปณ์
- ความแตกต่างจากเงินในปัจจุบัน: แม้จะใช้จ่ายผ่านช่องทางดิจิทัลเหมือนกัน แต่บาทดิจิทัลมีความแตกต่างจากเงินในบัญชีธนาคารพาณิชย์ หรือเงินใน e-Wallet ในแง่ของผู้ออกและความเสี่ยง
- การเชื่อมต่อกับโลกคริปโต: มีการพัฒนาในรูปแบบ Stablecoin ที่ผูกกับเงินบาทจริงในอัตรา 1:1 เพื่อเพิ่มเสถียรภาพและอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมบนแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัล
- บทบาทในนโยบายรัฐ: เงินบาทดิจิทัลถูกนำมาพิจารณาเป็นเครื่องมือหลักในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น โครงการแจกเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต
- ความท้าทายและข้อกังวล: โครงการยังคงเผชิญกับข้อคิดเห็นจากหลายภาคส่วน ทั้งในด้านประสิทธิภาพของการกระตุ้นเศรษฐกิจ ภาระทางการคลัง และผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบการเงินในระยะยาว
โครงการที่อาจทำให้หลายคน กระเป๋าตังค์สั่น! ‘บาทดิจิทัล’ จ่อใช้จริงทั่วไทย กำลังเป็นที่จับตามองอย่างใกล้ชิด โครงการนี้คือการพัฒนาเงินสกุลดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือที่เรียกว่า CBDC เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการชำระเงินสำหรับภาคประชาชน คาดว่าจะเริ่มมีการใช้งานอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นภายในปี 2568 ความเคลื่อนไหวนี้ไม่เพียงแต่จะเปลี่ยนโฉมหน้าการทำธุรกรรมทางการเงินของประเทศ แต่ยังเชื่อมโยงโดยตรงกับนโยบายเศรษฐกิจสำคัญของภาครัฐ ซึ่งสร้างทั้งความคาดหวังและคำถามมากมายในสังคม
ทำความรู้จัก ‘บาทดิจิทัล’: นวัตกรรมการเงินแห่งอนาคต
การพัฒนาเงินบาทดิจิทัลเกิดขึ้นท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัลทั่วโลก โดยธนาคารกลางหลายประเทศต่างศึกษาและพัฒนา CBDC ของตนเอง เพื่อตอบสนองต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคที่พึ่งพาเงินสดน้อยลง และหันมาทำธุรกรรมผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น สำหรับประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ริเริ่มโครงการนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยให้กับระบบการชำระเงิน ตลอดจนวางรากฐานโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินสำหรับอนาคต การนำร่องโครงการในช่วงปี 2568 ถือเป็นก้าวสำคัญที่ประชาชนทุกคนควรให้ความสนใจ เนื่องจากจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงวิธีการใช้จ่าย การออม และการลงทุนในระยะยาว
เจาะลึก CBDC: ‘เงินบาทดิจิทัล’ คืออะไร?
เพื่อทำความเข้าใจถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น จำเป็นต้องทราบถึงนิยามและลักษณะเฉพาะของเงินบาทดิจิทัล ว่ามีความเหมือนหรือแตกต่างจากเงินดิจิทัลที่คุ้นเคยกันอยู่ในปัจจุบันอย่างไร
คำนิยามและหลักการทำงานพื้นฐาน
เงินบาทดิจิทัล (Digital Baht) หรือ Retail CBDC คือ เงินสกุลบาทในรูปแบบดิจิทัลที่ออกและรับรองโดยธนาคารแห่งประเทศไทยโดยตรง ซึ่งหมายความว่าเงินดิจิทัลนี้มีสถานะเทียบเท่ากับธนบัตรและเหรียญที่ใช้กันในปัจจุบัน สามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย หลักการสำคัญคือ การสร้างตัวกลางการชำระเงินดิจิทัลที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุด เนื่องจากมีธนาคารกลางเป็นผู้ดูแลและค้ำประกันมูลค่าโดยตรง ต่างจากเงินฝากในธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นภาระผูกพันของธนาคารนั้นๆ หรือเงินใน e-Wallet ที่เป็นภาระผูกพันของผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร
ความแตกต่างจากเงินในแอปพลิเคชันธนาคารและ e-Wallet
แม้ว่าการใช้งานผ่านแอปพลิเคชันหรือการสแกน QR Code อาจดูไม่แตกต่างจากปัจจุบัน แต่เบื้องหลังโครงสร้างของเงินบาทดิจิทัลนั้นมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญกับเงินอิเล็กทรอนิกส์ประเภทอื่น ๆ ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย
เงินบาทดิจิทัลคือหนี้สินของธนาคารกลาง ในขณะที่เงินฝากในธนาคารพาณิชย์คือหนี้สินของธนาคารพาณิชย์นั้นๆ ซึ่งสะท้อนถึงระดับความเสี่ยงที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
คุณสมบัติ | เงินบาทดิจิทัล (CBDC) | เงินฝากในธนาคาร (ผ่าน Mobile Banking) | เงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) |
---|---|---|---|
ผู้ออกและรับประกัน | ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธนาคารกลาง) | ธนาคารพาณิชย์ | ผู้ให้บริการที่ไม่ใช่ธนาคาร (Non-bank) |
สถานะทางกฎหมาย | เงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย (Legal Tender) | เป็นภาระผูกพันของธนาคารพาณิชย์ | เป็นภาระผูกพันของผู้ให้บริการ |
ระดับความเสี่ยง | ไม่มีความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk Free) | มีความเสี่ยงของธนาคารพาณิชย์ (ได้รับการคุ้มครองเงินฝาก) | มีความเสี่ยงของผู้ให้บริการ |
เทคโนโลยีพื้นฐาน | อาจใช้เทคโนโลยี Distributed Ledger (DLT) หรือระบบรวมศูนย์ | ระบบฐานข้อมูลแบบรวมศูนย์ของธนาคาร | ระบบฐานข้อมูลแบบรวมศูนย์ของผู้ให้บริการ |
วัตถุประสงค์หลัก | เป็นโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินสาธารณะ | ให้บริการทางการเงินครบวงจร | อำนวยความสะดวกในการชำระเงินรายย่อย |
บทบาทของ ‘บาทดิจิทัล’ ในระบบเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย
การมาถึงของเงินบาทดิจิทัลไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเพิ่มช่องทางการชำระเงิน แต่ยังมีศักยภาพในการเชื่อมต่อและต่อยอดนวัตกรรมทางการเงินในมิติอื่น ๆ โดยเฉพาะในภาคประชาชนและการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล
การประยุกต์ใช้ในภาคประชาชน (Retail CBDC)
เป้าหมายหลักของการพัฒนา Retail CBDC คือการให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางได้อย่างสะดวกและปลอดภัย ที่ผ่านมามีการทดสอบการใช้งานในวงจำกัดผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล (Digital Wallet) เช่น แอปพลิเคชัน Rubie Wallet ซึ่งผู้เข้าร่วมโครงการสามารถใช้จ่ายผ่านการสแกน QR Code ตามร้านค้ากว่า 100 แห่งในกรุงเทพมหานคร ผลการทดสอบพบว่าสามารถทำธุรกรรมได้อย่างรวดเร็วและมีเสถียรภาพ การใช้งานในลักษณะนี้จะช่วยลดต้นทุนการจัดการเงินสดและเพิ่มประสิทธิภาพในระบบเศรษฐกิจโดยรวม นอกจากนี้ ยังสามารถตั้งโปรแกรมเงื่อนไขการใช้จ่าย (Programmability) ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่น่าสนใจสำหรับการนำไปใช้ในนโยบายภาครัฐที่ต้องการกำหนดเป้าหมายการใช้จ่ายอย่างเฉพาะเจาะจง
การเชื่อมต่อโลกคริปโตเคอร์เรนซีผ่าน Stablecoin
อีกหนึ่งมิติที่น่าสนใจคือการพัฒนาเงินบาทดิจิทัลในรูปแบบของ Stablecoin ที่มีชื่อว่า “THBX” ซึ่งมีการผูกมูลค่ากับเงินบาทจริงในอัตราส่วน 1:1 การมี Stablecoin ที่ได้รับการสนับสนุนจากโครงสร้างพื้นฐานของธนาคารกลางช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและลดความผันผวนของมูลค่า ซึ่งเป็นปัญหาหลักของคริปโตเคอร์เรนซีสกุลอื่น ๆ ในปี 2568 แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลขนาดใหญ่ในไทย เช่น Bitkub, Binance TH และ Upbit ได้เริ่มรองรับการซื้อขายด้วยสกุลเงินบาทดิจิทัลนี้แล้ว ส่งผลให้เกิดความนิยมในการใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างกว้างขวางมากขึ้น เนื่องจากช่วยลดขั้นตอนและค่าธรรมเนียมในการแปลงเงินบาทเป็นสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ ก่อนทำการซื้อขาย
‘บาทดิจิทัล’ กับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ
หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้โครงการเงินบาทดิจิทัลเป็นที่สนใจในวงกว้าง คือการถูกนำมาเชื่อมโยงกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเรือธงของรัฐบาล ซึ่งมีทั้งความคาดหวังและข้อกังวลจากหลายฝ่าย
ภาพรวมโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท
รัฐบาลได้ริเริ่มโครงการแจกเงิน 10,000 บาท ผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลเพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่ออัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วและทั่วถึง โครงสร้างพื้นฐานของเงินบาทดิจิทัลถูกมองว่าเป็นเครื่องมือที่เหมาะสมสำหรับโครงการนี้ เนื่องจากคุณสมบัติด้าน Programmability ที่สามารถกำหนดเงื่อนไขการใช้จ่าย เช่น พื้นที่และระยะเวลาการใช้งาน เพื่อให้เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจฐานรากตามเป้าหมาย โดยนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดกิจกรรม Kick Off เพื่อเริ่มโครงการสำหรับประชาชนบางกลุ่มแล้ว และคาดหวังว่าโครงการนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เศรษฐกิจไทยในปี 2568 ขยายตัวได้มากกว่า 3%
มุมมองและความท้าทาย: เสียงสะท้อนจากผู้เชี่ยวชาญ
อย่างไรก็ตาม โครงการดังกล่าวได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากนักเศรษฐศาสตร์และสถาบันวิจัยหลายแห่ง โดยมีข้อกังวลว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการแจกเงินในลักษณะนี้อาจมีประสิทธิภาพที่จำกัดและไม่ยั่งยืนในระยะยาว หลายฝ่ายมองว่าเม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่ใช้ในโครงการควรถูกนำไปใช้ในการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนระยะยาว เช่น การพัฒนาทักษะแรงงาน หรือการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น มากกว่าการกระตุ้นการบริโภคในระยะสั้น นอกจากนี้ ยังมีความกังวลเกี่ยวกับภาระทางการคลังที่จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จึงมีข้อเสนอแนะให้รัฐบาลชะลอการดำเนินโครงการในระยะถัดไป เพื่อทบทวนผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างรอบด้าน และพิจารณาแนวทางการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนกว่า
ความเสี่ยงและอนาคตของเงินบาทดิจิทัล
แม้ว่าเงินบาทดิจิทัลจะมีศักยภาพในการยกระดับระบบการเงินของประเทศ แต่การนำมาใช้งานจริงก็ยังคงมีความเสี่ยงและความท้าทายที่ต้องบริหารจัดการอย่างรอบคอบ
ประเด็นด้านความปลอดภัยและเสถียรภาพทางการเงิน
ความปลอดภัยทางไซเบอร์ถือเป็นความท้าทายอันดับแรก ระบบที่รองรับเงินบาทดิจิทัลจะต้องมีความมั่นคงแข็งแรงเพื่อป้องกันการโจรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์และการปลอมแปลงข้อมูล นอกจากนี้ ประเด็นความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผู้ใช้งานก็เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาอย่างรัดกุม ในด้านเสถียรภาพทางการเงิน มีข้อกังวลว่าหากประชาชนหันมาถือครองเงินบาทดิจิทัล (ซึ่งไม่มีความเสี่ยง) เป็นจำนวนมาก และลดการฝากเงินไว้กับธนาคารพาณิชย์ อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์และกระทบต่อเสถียรภาพของระบบการเงินโดยรวมได้ ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงต้องออกแบบกลไกและกำหนดเพดานการถือครองที่เหมาะสมเพื่อป้องกันความเสี่ยงดังกล่าว
แนวโน้มและก้าวต่อไปของโครงการ
ปัจจุบัน โครงการเงินบาทดิจิทัลยังอยู่ในช่วงของการทดสอบและเตรียมความพร้อมเพื่อขยายการใช้งานจริงในปี 2568 ควบคู่ไปกับการประเมินผลโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะยังคงต้องปรับปรุงกลไกการทำงานและกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อให้การนำเงินบาทดิจิทัลมาใช้เกิดประโยชน์สูงสุดและมีผลข้างเคียงน้อยที่สุด อนาคตของเงินบาทดิจิทัลจึงขึ้นอยู่กับการสร้างสมดุลระหว่างการส่งเสริมนวัตกรรมทางการเงิน การรักษาเสถียรภาพของระบบ และการตอบสนองต่อนโยบายเศรษฐกิจของประเทศ
บทสรุป: เตรียมพร้อมสู่ยุคใหม่ของเศรษฐกิจดิจิทัล
การมาถึงของ ‘บาทดิจิทัล’ ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญสำหรับภูมิทัศน์ทางการเงินของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานในชีวิตประจำวัน การเชื่อมต่อกับโลกของสินทรัพย์ดิจิทัล หรือการเป็นเครื่องมือในนโยบายของภาครัฐ โครงการนี้เปิดประตูสู่โอกาสใหม่ ๆ ในการเพิ่มประสิทธิภาพและความโปร่งใสของระบบเศรษฐกิจ แต่ในขณะเดียวกันก็มาพร้อมกับความท้าทายด้านความปลอดภัย เสถียรภาพ และประสิทธิภาพของนโยบายที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ช่วงปี 2568 จะเป็นช่วงเวลาสำคัญในการประเมินผลกระทบที่แท้จริงของการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ในวงกว้าง ดังนั้น การติดตามข้อมูลข่าวสารและทำความเข้าใจในหลักการของเงินบาทดิจิทัลจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคน เพื่อเตรียมความพร้อมและปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการเงินที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้