เงินบำนาญดิจิทัล: อนาคตหรือกับดักคนวัยเกษียณ?
การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลได้ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน รวมถึงระบบสวัสดิการภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริหารจัดการเงินบำนาญสำหรับผู้สูงอายุ การเกิดขึ้นของแนวคิด “เงินบำนาญดิจิทัล” จึงกลายเป็นหัวข้อที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง ทั้งในฐานะนวัตกรรมที่อาจสร้างความสะดวกสบายและประสิทธิภาพ และในฐานะความท้าทายใหม่ที่อาจสร้างอุปสรรคให้กับผู้สูงวัยบางกลุ่ม
ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ
- ระบบเงินบำนาญดิจิทัลถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มความสะดวกและลดขั้นตอนในการยื่นขอรับบำเหน็จบำนาญสำหรับข้าราชการและลูกจ้างประจำที่เกษียณอายุ
- ภาครัฐมีโครงการช่วยเหลือทางการเงินผ่านระบบดิจิทัลสำหรับผู้สูงอายุกลุ่มเปราะบาง เพื่อเสริมสภาพคล่องและกระตุ้นเศรษฐกิจ
- แม้จะมีข้อดีด้านความทันสมัย แต่ระบบดิจิทัลอาจกลายเป็นอุปสรรคสำหรับผู้สูงอายุที่ขาดทักษะทางเทคโนโลยีหรือการเข้าถึงอุปกรณ์
- ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยไซเบอร์เป็นอีกหนึ่งความท้าทายสำคัญที่ผู้ใช้งานระบบการเงินดิจิทัลต้องตระหนักและป้องกัน
- การวางแผนการเงินเพื่อการเกษียณที่ครอบคลุม เช่น การทำประกันบำนาญ ยังคงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว ควบคู่ไปกับการใช้ประโยชน์จากระบบสวัสดิการดิจิทัล
แนวคิดเรื่อง เงินบำนาญดิจิทัล: อนาคตหรือกับดักคนวัยเกษียณ? กำลังเป็นที่ถกเถียงในสังคมไทยที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ โดยพื้นฐานแล้ว เงินบำนาญดิจิทัลหมายถึงกระบวนการบริหารจัดการและจ่ายผลประโยชน์ทดแทนรายได้หลังเกษียณผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟน ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อลดความซับซ้อนของระบบราชการ เพิ่มความรวดเร็ว และสร้างความโปร่งใสในการดำเนินงาน การเปลี่ยนแปลงนี้มีความเกี่ยวข้องโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตและความมั่นคงทางการเงินของผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นประชากรกลุ่มใหญ่ที่มีความต้องการพึ่งพิงสวัสดิการจากภาครัฐ
ทำความเข้าใจระบบเงินบำนาญดิจิทัล
การปรับเปลี่ยนระบบบำนาญให้เป็นรูปแบบดิจิทัลไม่ได้เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี แต่เป็นการปรับโครงสร้างการให้บริการภาครัฐครั้งสำคัญ เพื่อตอบสนองต่อบริบททางสังคมและเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป การทำความเข้าใจถึงที่มา เป้าหมาย และกลไกการทำงานของระบบนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคนที่กำลังจะก้าวเข้าสู่วัยเกษียณ
ที่มาและความสำคัญในยุคสังคมสูงวัย
ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายของสังคมสูงวัย (Aging Society) ซึ่งจำนวนประชากรผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่อัตราการเกิดลดลง ปรากฏการณ์นี้ส่งผลให้ภาระค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการและสุขภาพของผู้สูงอายุเพิ่มสูงขึ้น ภาครัฐจึงจำเป็นต้องหาวิธีบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด การนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาประยุกต์ใช้กับระบบบำนาญจึงเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญ
ในอดีต กระบวนการขอรับบำเหน็จบำนาญเต็มไปด้วยขั้นตอนที่ยุ่งยากและใช้เวลานาน ผู้เกษียณอายุต้องเดินทางไปติดต่อหน่วยงานราชการ จัดเตรียมเอกสารจำนวนมาก และรอคอยการอนุมัติเป็นเวลานาน ระบบดิจิทัลจึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ โดยมุ่งหวังที่จะสร้างระบบที่เข้าถึงง่าย รวดเร็ว และลดภาระของผู้สูงอายุ ทำให้การเปลี่ยนผ่านจากวัยทำงานสู่วัยเกษียณเป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งขึ้น
ใครคือกลุ่มเป้าหมายหลัก?
กลุ่มเป้าหมายหลักของระบบเงินบำนาญดิจิทัลในระยะแรกคือ ข้าราชการและลูกจ้างประจำของหน่วยงานภาครัฐ ที่กำลังจะเกษียณอายุหรือเกษียณอายุไปแล้ว แต่ยังไม่ได้ยื่นเรื่องขอรับสิทธิ์ประโยชน์ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีฐานข้อมูลอยู่ในระบบราชการอยู่แล้ว ทำให้การเชื่อมโยงข้อมูลและการตรวจสอบสิทธิ์ทำได้ง่ายและเป็นระบบ
นอกเหนือจากระบบบำนาญสำหรับข้าราชการแล้ว ภาครัฐยังได้ริเริ่มโครงการช่วยเหลือทางการเงินในรูปแบบดิจิทัลที่มุ่งเป้าไปยังกลุ่มผู้สูงอายุที่มีความเปราะบางทางเศรษฐกิจ เช่น โครงการแจกเงินดิจิทัลจำนวน 10,000 บาท ให้แก่ข้าราชการเกษียณอายุที่มีรายได้น้อยตามเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพและกระตุ้นการใช้จ่ายในระดับฐานราก โครงการลักษณะนี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อกระจายความช่วยเหลือไปยังกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุดและรวดเร็ว
จุดเริ่มต้นของระบบใหม่
การผลักดันระบบเงินบำนาญดิจิทัลให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในประเทศไทย เริ่มต้นขึ้นเมื่อกรมบัญชีกลางประกาศให้ข้าราชการและลูกจ้างประจำที่เกษียณอายุสามารถยื่นขอรับบำเหน็จบำนาญผ่านช่องทางออนไลน์ได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 เป็นต้นไป โดยมีสองช่องทางหลักในการให้บริการ ได้แก่:
- เว็บไซต์ระบบยื่นขอรับบำเหน็จบำนาญ (e-Filing): เป็นแพลตฟอร์มบนเว็บไซต์ที่ผู้มีสิทธิ์สามารถกรอกข้อมูลและแนบเอกสารที่เกี่ยวข้องได้ด้วยตนเองผ่านคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์พกพา
- แอปพลิเคชัน “Digital Pension”: แอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟนที่ถูกออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้งานสามารถทำธุรกรรมและติดตามสถานะการยื่นเรื่องได้ทุกที่ทุกเวลา
การเปิดตัวระบบใหม่นี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของภาครัฐในการปฏิรูประบบราชการให้ทันสมัยและตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนในยุคดิจิทัล
เงินบำนาญดิจิทัล: อนาคตหรือกับดักคนวัยเกษียณ?
การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างย่อมมีสองด้านเสมอ เช่นเดียวกับระบบเงินบำนาญดิจิทัลที่แม้จะนำเสนอภาพอนาคตที่สดใสและสะดวกสบาย แต่ในอีกมุมหนึ่งก็อาจมีกับดักและความท้าทายซ่อนอยู่ ซึ่งผู้สูงอายุและสังคมจำเป็นต้องทำความเข้าใจและเตรียมพร้อมรับมือ
แม้เทคโนโลยีจะถูกสร้างขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกแก่มนุษย์ แต่หากปราศจากความเข้าใจและการเข้าถึงที่เท่าเทียม เทคโนโลยีนั้นก็อาจกลายเป็นกำแพงที่กีดกันผู้คนออกจากสิทธิ์ที่พึงมีพึงได้
ข้อดี: อนาคตแห่งความสะดวกสบาย
ศักยภาพของเงินบำนาญดิจิทัลในการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุนั้นมีอยู่หลายมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการลดภาระและเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงบริการ
ลดขั้นตอนและประหยัดเวลา
ข้อดีที่ชัดเจนที่สุดคือการปฏิวัติกระบวนการทำงานแบบเดิมที่ต้องใช้เอกสารกระดาษจำนวนมาก ผู้เกษียณอายุไม่จำเป็นต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปยังสำนักงานของรัฐเพื่อยื่นเอกสารด้วยตนเองอีกต่อไป ทุกขั้นตอนตั้งแต่การกรอกแบบฟอร์ม การแนบเอกสารประกอบ ไปจนถึงการติดตามสถานะ สามารถทำได้ผ่านปลายนิ้ว ซึ่งช่วยประหยัดทั้งเวลาและพลังงาน โดยเฉพาะสำหรับผู้สูงอายุที่มีปัญหาสุขภาพหรือการเคลื่อนไหว
เพิ่มความโปร่งใสและตรวจสอบได้
ระบบดิจิทัลช่วยให้การจัดเก็บข้อมูลเป็นระเบียบและปลอดภัยมากขึ้น การยื่นเรื่องผ่านระบบออนไลน์จะมีการบันทึกข้อมูลและขั้นตอนต่างๆ ไว้อย่างชัดเจน ทำให้ผู้ยื่นสามารถติดตามความคืบหน้าได้ตลอดเวลา และลดความเสี่ยงที่เอกสารจะสูญหายหรือตกหล่น นอกจากนี้ยังช่วยให้หน่วยงานภาครัฐสามารถตรวจสอบและอนุมัติคำขอได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น สร้างความเชื่อมั่นและความโปร่งใสให้กับกระบวนการทั้งหมด
การช่วยเหลือที่ตรงจุด: กรณีเงินดิจิทัล 10,000 บาท
อีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงถึงศักยภาพของระบบการเงินดิจิทัลคือ โครงการช่วยเหลือเฉพาะกลุ่ม เช่น การโอนเงินดิจิทัล 10,000 บาท ให้กับข้าราชการเกษียณที่มีรายได้น้อย ซึ่งมีกำหนดการโอนในช่วงเทศกาลตรุษจีนปี 2568 (ประมาณเดือนมกราคม) การใช้ช่องทางดิจิทัลช่วยให้รัฐบาลสามารถส่งมอบความช่วยเหลือทางการเงินได้อย่างรวดเร็วและตรงไปยังบัญชีของผู้รับโดยตรง โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการที่ซับซ้อน ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้กับผู้สูงอายุกลุ่มเปราะบางเท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกในการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับชุมชนอีกด้วย
ข้อควรระวัง: กับดักที่ซ่อนอยู่
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบจำเป็นต้องคำนึงถึงความท้าทายและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้สูงอายุซึ่งอาจมีความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี
ความท้าทายด้านทักษะดิจิทัล (Digital Literacy Gap)
ปัญหาช่องว่างทางทักษะดิจิทัลเป็นอุปสรรคสำคัญที่สุด ผู้สูงอายุจำนวนมากอาจไม่คุ้นเคยกับการใช้สมาร์ตโฟน คอมพิวเตอร์ หรืออินเทอร์เน็ต ความซับซ้อนของแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์อาจทำให้พวกเขารู้สึกท้อแท้และไม่สามารถทำธุรกรรมได้ด้วยตนเอง หากไม่มีระบบสนับสนุนที่ดีพอ เช่น การให้คำแนะนำที่เข้าใจง่าย หรือมีเจ้าหน้าที่คอยช่วยเหลือ ระบบที่ถูกออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกอาจกลายเป็นสิ่งที่กีดกันพวกเขาออกจากการเข้าถึงสิทธิ์ที่ควรจะได้รับ
ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยไซเบอร์
เมื่อธุรกรรมทางการเงินย้ายมาอยู่บนโลกออนไลน์ ความเสี่ยงจากอาชญากรรมไซเบอร์ก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ผู้สูงอายุอาจตกเป็นเป้าหมายของมิจฉาชีพที่มาในรูปแบบต่างๆ เช่น การหลอกลวงเพื่อขอข้อมูลส่วนตัว (Phishing) การส่งลิงก์ปลอมเพื่อติดตั้งมัลแวร์ หรือการสร้างแอปพลิเคชันปลอมเพื่อขโมยข้อมูลทางการเงิน การขาดความรู้ความเข้าใจในการป้องกันตนเองบนโลกออนไลน์อาจนำไปสู่ความเสียหายทางการเงินที่รุนแรงได้
ปัญหาการเข้าถึงอุปกรณ์และอินเทอร์เน็ต
แม้ว่าสมาร์ตโฟนจะแพร่หลายอย่างมากในปัจจุบัน แต่ก็ยังมีผู้สูงอายุบางส่วน โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลหรือมีฐานะยากจน ที่อาจไม่มีอุปกรณ์ที่จำเป็นหรือไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่เสถียรพอที่จะใช้งานระบบออนไลน์ได้อย่างราบรื่น ปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐานนี้จึงเป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่ต้องได้รับการแก้ไข เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนสามารถเข้าถึงบริการดิจิทัลของภาครัฐได้อย่างเท่าเทียมกัน
เปรียบเทียบระบบบำนาญแบบดั้งเดิมและแบบดิจิทัล
เพื่อให้เห็นภาพความแตกต่างอย่างชัดเจน การเปรียบเทียบระหว่างระบบการยื่นขอบำนาญแบบดั้งเดิมกับระบบดิจิทัลในมิติต่างๆ จะช่วยให้เข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงและผลกระทบที่เกิดขึ้นได้ดียิ่งขึ้น
คุณสมบัติ | ระบบบำนาญแบบดั้งเดิม | ระบบบำนาญแบบดิจิทัล |
---|---|---|
ขั้นตอนการยื่นเรื่อง | ต้องเดินทางไปยื่นเอกสารที่หน่วยงานราชการด้วยตนเอง | ยื่นเรื่องผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันได้จากทุกที่ |
เอกสารประกอบ | ใช้เอกสารฉบับจริง (กระดาษ) และสำเนาจำนวนมาก | ใช้ไฟล์เอกสารดิจิทัล (สแกนหรือถ่ายภาพ) |
ระยะเวลาดำเนินการ | ใช้เวลานานในการตรวจสอบและอนุมัติ อาจใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือเป็นเดือน | ลดระยะเวลาในการตรวจสอบข้อมูล ทำให้กระบวนการรวดเร็วยิ่งขึ้น |
การติดตามสถานะ | ต้องติดต่อสอบถามกับเจ้าหน้าที่โดยตรง ซึ่งอาจไม่สะดวก | สามารถตรวจสอบสถานะได้แบบเรียลไทม์ผ่านระบบออนไลน์ |
ความโปร่งใส | กระบวนการตรวจสอบภายในอาจไม่สามารถมองเห็นได้จากภายนอก | มีการบันทึกข้อมูลทุกขั้นตอน ทำให้ตรวจสอบย้อนหลังได้ง่าย |
การเข้าถึง | เป็นอุปสรรคต่อผู้สูงอายุที่เดินทางลำบากหรืออยู่ห่างไกล | สะดวกสำหรับผู้ที่เข้าถึงเทคโนโลยี แต่เป็นอุปสรรคสำหรับผู้ที่ขาดทักษะ |
การเตรียมความพร้อมสู่การเกษียณในยุคดิจิทัล
การมาถึงของเงินบำนาญดิจิทัลเป็นสัญญาณเตือนว่า การวางแผนเกษียณในปัจจุบันไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องการเงินเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องครอบคลุมถึงการเตรียมความพร้อมด้านทักษะดิจิทัล เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตในวัยเกษียณได้อย่างราบรื่นและมั่นคง
ความสำคัญของการวางแผนการเงินนอกเหนือจากบำนาญ
สิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักคือ เงินบำนาญจากภาครัฐเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความมั่นคงทางการเงินในวัยเกษียณเท่านั้น การพึ่งพิงสวัสดิการเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายที่อาจเพิ่มขึ้นในอนาคต เช่น ค่ารักษาพยาบาล หรือค่าครองชีพที่สูงขึ้น ดังนั้น การวางแผนการเงินส่วนบุคคลจึงยังคงมีความสำคัญสูงสุด
เครื่องมือทางการเงินอื่นๆ ที่ควรพิจารณาควบคู่กันไป ได้แก่:
- การประกันบำนาญ: เป็นการออมเงินระยะยาวกับบริษัทประกัน เพื่อสร้างรายได้ที่แน่นอนหลังเกษียณ เป็นการกระจายความเสี่ยงและสร้างหลักประกันเพิ่มเติม
- การลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF): เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการออมเพื่อเกษียณที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก และยังสามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้
- การวางแผนการออมและการลงทุนอื่นๆ: เช่น การลงทุนในหุ้น หรืออสังหาริมทรัพย์ ตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เพื่อสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว
การมีแผนการเงินที่หลากหลายจะช่วยสร้างเกราะป้องกันความเสี่ยงทางการเงิน และทำให้ชีวิตหลังเกษียณมีความมั่นคงและอิสระมากยิ่งขึ้น
การพัฒนาทักษะดิจิทัลสำหรับผู้สูงวัย
เพื่อไม่ให้เทคโนโลยีกลายเป็นกับดัก การส่งเสริมทักษะดิจิทัล (Digital Literacy) ในกลุ่มผู้สูงวัยจึงเป็นภารกิจเร่งด่วน การเรียนรู้ทักษะพื้นฐาน เช่น การใช้สมาร์ตโฟน การเข้าถึงอินเทอร์เน็ต การรับส่งอีเมล และการทำธุรกรรมออนไลน์อย่างปลอดภัย จะช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถพึ่งพาตนเองและใช้ประโยชน์จากบริการดิจิทัลต่างๆ ได้อย่างเต็มศักยภาพ ทั้งภาครัฐและเอกชนสามารถเข้ามามีบทบาทในการจัดอบรมหรือสร้างสื่อการเรียนรู้ที่เข้าใจง่ายสำหรับผู้สูงอายุ
บทบาทของภาครัฐและครอบครัวในการสนับสนุน
การเปลี่ยนผ่านนี้จะประสบความสำเร็จได้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ภาครัฐมีหน้าที่ในการออกแบบระบบที่ใช้งานง่าย (User-Friendly) จัดหาช่องทางการช่วยเหลือที่หลากหลาย เช่น Call Center หรือจุดบริการให้คำปรึกษา และสื่อสารข้อมูลอย่างทั่วถึง ขณะเดียวกัน สถาบันครอบครัวก็มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง บุตรหลานควรสละเวลาในการสอนและให้คำแนะนำแก่สมาชิกสูงวัยในครอบครัว ช่วยสร้างความคุ้นเคยและความมั่นใจในการใช้เทคโนโลยี ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยให้พวกเขาสามารถเข้าถึงสวัสดิการได้ แต่ยังเป็นการกระชับความสัมพันธ์ในครอบครัวอีกด้วย
บทสรุป: การก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
เงินบำนาญดิจิทัลคือภาพสะท้อนของการพัฒนาระบบสวัสดิการที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในยุคสมัยที่เทคโนโลยีขับเคลื่อนโลก แนวคิดนี้มีศักยภาพมหาศาลในการสร้างอนาคตที่สะดวกสบายและมีประสิทธิภาพสำหรับผู้เกษียณอายุ ช่วยลดขั้นตอนที่ยุ่งยากและเพิ่มความโปร่งใสในการบริหารจัดการของภาครัฐ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ก็มาพร้อมกับความท้าทายที่ต้องได้รับการจัดการอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นช่องว่างทางทักษะดิจิทัล ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยไซเบอร์ หรือปัญหาการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐาน
ท้ายที่สุดแล้ว เงินบำนาญดิจิทัลจะเป็น “อนาคต” หรือ “กับดัก” ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับว่าสังคมสามารถเตรียมความพร้อมและให้การสนับสนุนผู้สูงอายุได้ดีเพียงใด การสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเรียนรู้ การออกแบบบริการที่คำนึงถึงผู้ใช้งานทุกกลุ่ม และการส่งเสริมความรู้ทางการเงินที่ครอบคลุม คือปัจจัยชี้ขาดที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ ดังนั้น การทำความเข้าใจและเตรียมความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีจึงเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางการเงินที่ยั่งยืนสำหรับชีวิตในวัยเกษียณของคนไทยทุกคน