ลือสะพัด! รัฐจ่อเก็บ ‘ภาษีวอลเล็ต’ ทุกยอดโอน


ลือสะพัด! รัฐจ่อเก็บ ‘ภาษีวอลเล็ต’ ทุกยอดโอน

สารบัญ

ท่ามกลางการเติบโตอย่างรวดเร็วของสังคมไร้เงินสดในประเทศไทย ข่าวลือเกี่ยวกับการที่ภาครัฐอาจพิจารณาเก็บ ภาษีวอลเล็ต จากทุกยอดการโอนผ่านแอปพลิเคชันธนาคารและกระเป๋าเงินดิจิทัล ได้สร้างความกังวลและคำถามมากมายในหมู่ประชาชนและผู้ประกอบการ บทความนี้จะทำการวิเคราะห์และตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องและชัดเจน

สรุปประเด็นสำคัญเกี่ยวกับข่าวลือภาษีวอลเล็ต

  • สถานะข่าวลือ: ณ ปัจจุบัน ยังไม่มีการประกาศหรือการยืนยันอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานภาครัฐ เช่น กรมสรรพากร ว่าจะมีการเก็บภาษีจากทุกยอดการโอนผ่านวอลเล็ตหรือ mobile banking ข้อมูลที่ปรากฏยังคงมีสถานะเป็นเพียงข่าวลือที่ไม่มีแหล่งที่มาที่ชัดเจน
  • แนวคิดที่ใกล้เคียง: ข้อมูลที่เกี่ยวข้องมากที่สุดคือแนวคิดการศึกษาเพื่อขยายฐานภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในรูปแบบ “Micro VAT” ซึ่งมุ่งเป้าไปที่ผู้ประกอบการรายย่อยที่มีรายได้ต่ำกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี และเป็นการเก็บภาษีแบบเหมาจ่าย ไม่ใช่การเก็บจากทุกธุรกรรมการโอน
  • ความกังวลจากโครงการภาครัฐ: ความกังวลส่วนหนึ่งอาจเชื่อมโยงกับโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัล (Digital Wallet) ของภาครัฐ ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการและร้านค้าเกิดคำถามเกี่ยวกับภาระภาษีที่อาจตามมา แต่ยังไม่มีการกำหนดนโยบายภาษีใหม่ที่เฉพาะเจาะจงกับโครงการนี้
  • ความสำคัญของการติดตามข้อมูล: ในสถานการณ์ที่ข้อมูลยังไม่ชัดเจน การติดตามข่าวสารจากแหล่งข้อมูลที่เป็นทางการของภาครัฐโดยตรงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนและความเข้าใจผิดที่อาจเกิดขึ้น

การแพร่กระจายของข่าวลือเรื่อง ภาษีวอลเล็ต เกิดขึ้นในบริบทที่การทำธุรกรรมทางการเงินผ่านช่องทางดิจิทัลกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันสำหรับคนไทยจำนวนมาก ตั้งแต่การซื้อของในร้านสะดวกซื้อ การจ่ายค่าบริการ ไปจนถึงการโอนเงินระหว่างบุคคล ความสะดวกและรวดเร็วของ mobile banking และ e-Wallet ทำให้ปริมาณธุรกรรมเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ประเด็นดังกล่าวจึงส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนในวงกว้าง และจุดประกายให้เกิดการถกเถียงถึงความเหมาะสมและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหากมีการบังคับใช้จริง

ไขข้อเท็จจริง: สถานะปัจจุบันของข่าวลือภาษีวอลเล็ต

เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบัน จำเป็นต้องแยกแยะระหว่างข่าวลือกับข้อเท็จจริงที่ได้รับการยืนยันจากหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง การตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบด้านเป็นสิ่งสำคัญในการประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่เผยแพร่อยู่ในสังคม

ที่มาของความกังวลและภาพรวมธุรกรรมดิจิทัล

ความกังวลเกี่ยวกับภาษีออนไลน์และธุรกรรมดิจิทัลไม่ใช่เรื่องใหม่ ในอดีต กรมสรรพากรได้มีการบังคับใช้กฎหมายภาษี e-Payment ซึ่งกำหนดให้สถาบันการเงินต้องรายงานข้อมูลบัญชีที่มีการรับโอนเงินเกินเกณฑ์ที่กำหนด (รับโอน 3,000 ครั้งต่อปี หรือรับโอนต่างบัญชีรวมกัน 400 ครั้งและมียอดรวม 2 ล้านบาทต่อปี) เพื่อนำข้อมูลไปประกอบการพิจารณาด้านภาษี กฎหมายดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อตรวจสอบผู้ประกอบการหรือผู้ค้าออนไลน์ที่อาจอยู่นอกระบบภาษี

อย่างไรก็ตาม ข่าวลือเรื่อง “ภาษีวอลเล็ต” มีลักษณะที่แตกต่างออกไป โดยเป็นการสื่อสารว่าอาจมีการเก็บภาษีจาก “ทุกยอดการโอน” ไม่ว่าจะมีจำนวนเงินเท่าใด ซึ่งเป็นแนวคิดที่จะส่งผลกระทบในวงกว้างกว่ากฎหมายภาษี e-Payment ที่มีอยู่เดิมอย่างมาก ความกังวลนี้ถูกกระตุ้นจากการที่ภาครัฐมีแนวโน้มในการขยายฐานภาษีเพื่อเพิ่มรายได้ ประกอบกับปริมาณธุรกรรมดิจิทัลที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้เกิดการคาดการณ์ว่าภาครัฐอาจมองเห็นช่องทางในการจัดเก็บรายได้จากส่วนนี้

การตรวจสอบข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐ

จากการตรวจสอบข้อมูลอย่างเป็นทางการจากเว็บไซต์และช่องทางการสื่อสารของกรมสรรพากร กระทรวงการคลัง และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ณ ไตรมาสที่สามของปี 2568 ยังไม่ปรากฏประกาศ ระเบียบ หรือร่างกฎหมายใดๆ ที่ระบุถึงการจัดเก็บภาษีจากทุกยอดการโอนผ่านวอลเล็ตหรือ mobile banking ตามลักษณะของข่าวลือดังกล่าว

ณ ปัจจุบัน ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการจากกรมสรรพากรหรือหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการบังคับใช้ภาษีวอลเล็ตจากทุกยอดการโอนแต่อย่างใด ข้อมูลที่มีการเผยแพร่ยังคงเป็นเพียงการคาดการณ์และข่าวลือที่ไม่มีแหล่งอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ

โดยปกติแล้ว หากมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านภาษีที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง จะต้องมีกระบวนการทางกฎหมายที่ชัดเจน เริ่มตั้งแต่การศึกษาผลกระทบ การยกร่างกฎหมาย การทำประชาพิจารณ์ และการประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งกระบวนการเหล่านี้จะมีการสื่อสารต่อสาธารณะอย่างเป็นทางการและต่อเนื่อง ดังนั้น การที่ยังไม่มีข้อมูลใดๆ ปรากฏในช่องทางราชการ จึงเป็นข้อบ่งชี้ที่สำคัญว่านโยบายดังกล่าวยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง

ประเด็นที่เกี่ยวข้อง: Micro VAT แนวคิดที่แตกต่าง

ประเด็นที่เกี่ยวข้อง: Micro VAT แนวคิดที่แตกต่าง

แม้ข่าวลือเรื่องภาษีวอลเล็ตจะยังไม่เป็นความจริง แต่มีแนวคิดด้านภาษีหนึ่งที่ภาครัฐกำลังศึกษาอยู่และอาจเป็นต้นตอของความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน นั่นคือแนวคิดเรื่อง “Micro VAT” ซึ่งมีเป้าหมายและวิธีการจัดเก็บที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง

Micro VAT คืออะไร?

Micro VAT หรือ ภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับผู้ประกอบการรายย่อย เป็นแนวคิดที่มุ่งขยายฐานการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ให้ครอบคลุมกลุ่มผู้ประกอบการที่มีรายได้จากการขายสินค้าหรือให้บริการไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ซึ่งปัจจุบันเป็นกลุ่มที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องจดทะเบียน VAT แนวคิดนี้เสนอให้ผู้ประกอบการกลุ่มดังกล่าวเสียภาษีในอัตราที่ต่ำกว่าอัตราปกติ (ปัจจุบันคือ 7%) และอาจเป็นลักษณะการเหมาจ่าย เพื่อลดความยุ่งยากซับซ้อนในการจัดทำบัญชีและเอกสารทางภาษี

เป้าหมายและกลุ่มผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง

เป้าหมายหลักของ Micro VAT คือการนำผู้ประกอบการรายย่อย โดยเฉพาะกลุ่มผู้ค้าออนไลน์ หาบเร่แผงลอย หรือฟรีแลนซ์ เข้าสู่ระบบภาษีอย่างเป็นทางการมากขึ้น เพื่อสร้างความเป็นธรรมในการแข่งขันกับผู้ประกอบการรายใหญ่ที่อยู่ในระบบภาษีอยู่แล้ว และเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับภาครัฐในระยะยาว กลุ่มเป้าหมายจึงไม่ใช่ประชาชนทั่วไปที่ทำการโอนเงินเพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน แต่เป็น “ผู้ประกอบการ” ที่มีรายได้จากการค้าขายหรือให้บริการเป็นหลัก

ความแตกต่างระหว่าง Micro VAT และภาษีวอลเล็ตตามข่าวลือ

ความแตกต่างระหว่างสองแนวคิดนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการทำความเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบัน ข่าวลือเรื่อง “ภาษีวอลเล็ต” สื่อถึงการเก็บภาษีจาก “ทุกธุรกรรม” ของ “ทุกคน” ซึ่งเป็นภาระโดยตรงต่อผู้บริโภคและผู้ใช้งานทั่วไป ในขณะที่ “Micro VAT” เป็นแนวคิดที่มุ่งเป้าไปที่ “รายได้” ของ “ผู้ประกอบการรายย่อย” และเป็นการเก็บภาษีจากฐานรายได้รวม ไม่ใช่จากแต่ละธุรกรรมการโอนเงิน

ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างข่าวลือ ‘ภาษีวอลเล็ต’ และแนวคิด ‘Micro VAT’ ที่อยู่ระหว่างการศึกษา
ประเด็นเปรียบเทียบ ภาษีวอลเล็ต (ตามข่าวลือ) Micro VAT (แนวคิดที่อยู่ระหว่างการศึกษา)
กลุ่มเป้าหมาย ประชาชนและผู้ใช้งานทุกคนที่ทำธุรกรรมผ่านวอลเล็ต/Mobile Banking ผู้ประกอบการรายย่อยที่มีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี
ฐานในการคำนวณภาษี มูลค่าของทุกธุรกรรมการโอนเงินหรือชำระเงิน รายได้รวมจากการขายสินค้าหรือให้บริการ
ลักษณะการจัดเก็บ หักภาษี ณ ที่จ่ายทันทีในทุกครั้งที่มีการทำธุรกรรม อาจเป็นรูปแบบการเหมาจ่ายรายเดือนหรือรายปี
สถานะปัจจุบัน เป็นเพียงข่าวลือ ยังไม่มีการยืนยันจากภาครัฐ เป็นแนวคิดที่อยู่ระหว่างการศึกษา ยังไม่มีการบังคับใช้

วิเคราะห์ผลกระทบเชิงทฤษฎีหากมีการเก็บภาษีจริง

แม้ว่าจะเป็นเพียงข่าวลือ แต่การวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหากมีการเก็บภาษีจากทุกยอดโอนจริง จะช่วยให้เห็นภาพความสำคัญของประเด็นนี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น การวิเคราะห์นี้ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่ามีการบังคับใช้นโยบายตามข่าวลือ

ผลกระทบต่อผู้ใช้งานรายย่อยและครัวเรือน

ผลกระทบที่ชัดเจนที่สุดคือภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในชีวิตประจำวัน ทุกครั้งที่มีการโอนเงิน ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายค่าอาหาร ค่าเดินทาง หรือซื้อของอุปโภคบริโภค จะมีต้นทุนเพิ่มขึ้นจากภาษีดังกล่าว สิ่งนี้อาจส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง นอกจากนี้ยังอาจสร้างความยุ่งยากและเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้คนให้กลับไปพึ่งพาเงินสดมากขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงภาระภาษี ซึ่งสวนทางกับนโยบายสังคมไร้เงินสด (Cashless Society) ที่ภาครัฐพยายามส่งเสริม

ผลกระทบต่อผู้ประกอบการและธุรกิจขนาดเล็ก

สำหรับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะร้านค้าขนาดเล็กและผู้ค้าออนไลน์ การเก็บภาษีจากทุกยอดการรับเงินโอนจะหมายถึงต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้นโดยตรง ผู้ประกอบการอาจต้องเผชิญกับทางเลือกระหว่างการแบกรับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อกำไร หรือการผลักภาระไปยังผู้บริโภคด้วยการขึ้นราคาสินค้าและบริการ ซึ่งอาจส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนี้ยังเพิ่มความซับซ้อนในการจัดการบัญชีและการเงิน ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่ไม่มีทรัพยากรด้านบัญชีมากนัก

ผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจดิจิทัล

ในระดับมหภาค นโยบายดังกล่าวอาจชะลอการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ ความน่าสนใจในการใช้แพลตฟอร์มการชำระเงินดิจิทัลอาจลดลง ทั้งในฝั่งของผู้บริโภคและผู้ประกอบการ การทำธุรกรรมนอกระบบผ่านเงินสดอาจกลับมาเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้การติดตามข้อมูลทางเศรษฐกิจของภาครัฐทำได้ยากขึ้น และอาจส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสของระบบเศรษฐกิจโดยรวม นอกจากนี้ยังอาจส่งผลกระทบต่อผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม e-Wallet และ Mobile Banking ที่ต้องปรับเปลี่ยนระบบเพื่อรองรับการจัดเก็บภาษี ซึ่งเป็นต้นทุนที่สูงและมีความซับซ้อนทางเทคนิค

แนวทางการติดตามข้อมูลและการปฏิบัติตัว

ในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยข้อมูลที่ไม่ชัดเจน การมีแนวทางในการติดตามและตรวจสอบข้อเท็จจริงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันความตื่นตระหนกและเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างถูกต้อง

1. ติดตามจากแหล่งข่าวที่เป็นทางการ: แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือที่สุดคือกหน่วยงานภาครัฐที่รับผิดชอบโดยตรง เช่น เว็บไซต์ของกรมสรรพากร, กระทรวงการคลัง, หรือศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย ควรตรวจสอบประกาศหรือข่าวประชาสัมพันธ์จากช่องทางเหล่านี้เป็นหลัก

2. ตรวจสอบแหล่งที่มาของข่าว: ก่อนจะเชื่อหรือส่งต่อข้อมูลใดๆ ควรตรวจสอบแหล่งที่มาของข่าวก่อนเสมอ ข่าวลือมักถูกส่งต่อกันในโซเชียลมีเดียโดยไม่มีการอ้างอิงแหล่งข่าวที่ชัดเจนหรือเป็นทางการ

3. ทำความเข้าใจกฎหมายภาษีปัจจุบัน: การทำความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายภาษีที่เกี่ยวข้องกับการค้าขายออนไลน์และ e-Payment ที่มีอยู่แล้ว จะช่วยให้สามารถแยกแยะได้ว่าข้อมูลใหม่ที่ได้รับเป็นเรื่องจริงหรือเป็นเพียงการตีความที่คลาดเคลื่อนจากกฎหมายเดิม

4. วางแผนการเงินอย่างรอบคอบ: แม้นโยบายดังกล่าวยังไม่เกิดขึ้นจริง แต่การวางแผนทางการเงินและจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งที่ดีเสมอ โดยเฉพาะสำหรับผู้ประกอบการ การมีข้อมูลทางการเงินที่ชัดเจนจะช่วยให้พร้อมรับมือกับกฎระเบียบด้านภาษีต่างๆ ที่อาจมีขึ้นในอนาคตได้ดีกว่า

บทสรุป: ข่าวลือภาษีวอลเล็ตกับข้อเท็จจริงที่ควรทราบ

สรุปได้ว่า ข่าวลือเรื่องการที่ภาครัฐจะเก็บ ภาษีวอลเล็ต จากทุกยอดการโอนเงินผ่านช่องทางดิจิทัล ยังคงเป็นเพียงข่าวลือที่ไม่มีมูลความจริงและยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานใดๆ ณ วันที่ 8 กันยายน 2568 ข้อมูลที่มีความใกล้เคียงที่สุดคือแนวคิดการศึกษาเรื่อง Micro VAT ซึ่งมีวัตถุประสงค์และกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยมุ่งเน้นไปที่ผู้ประกอบการรายย่อย ไม่ใช่ประชาชนทั่วไป

แม้ว่าผลกระทบเชิงลบที่อาจเกิดขึ้นหากมีการเก็บภาษีตามข่าวลือจริงจะเป็นเรื่องที่น่ากังวล แต่ในปัจจุบันยังไม่มีเหตุให้ต้องตื่นตระหนก สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับประชาชนและผู้ประกอบการคือการติดตามข้อมูลข่าวสารจากแหล่งที่เป็นทางการอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง แม่นยำ และสามารถวางแผนปรับตัวได้อย่างเหมาะสมหากมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายในอนาคต การบริโภคข้อมูลอย่างมีวิจารณญาณคือเครื่องมือที่ดีที่สุดในการรับมือกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและนโยบายต่างๆ