Easy E-Receipt ปี 69 ลดหย่อนภาษีได้เท่าไหร่? สรุปเงื่อนไข

สารบัญ

มาตรการ Easy E-Receipt ปี 69 ลดหย่อนภาษีได้เท่าไหร่? สรุปเงื่อนไข เป็นหัวข้อที่ผู้เสียภาษีบุคคลธรรมดาให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นนโยบายของภาครัฐที่มุ่งหวังกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ พร้อมกับส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบภาษีดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ โครงการนี้เปิดโอกาสให้ผู้มีเงินได้สามารถนำค่าใช้จ่ายจากการซื้อสินค้าและบริการที่กำหนดมาหักลดหย่อนภาษีได้ตามเงื่อนไข

ประเด็นสำคัญที่ต้องทราบ

  • โครงการ Easy E-Receipt สำหรับปีภาษี 2569 เปิดให้ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 50,000 บาท
  • สิทธิลดหย่อนแบ่งออกเป็น 2 ส่วน: ส่วนแรกสำหรับค่าสินค้าและบริการทั่วไปไม่เกิน 30,000 บาท และส่วนที่สองสำหรับสินค้า OTOP และวิสาหกิจชุมชนไม่เกิน 20,000 บาท
  • ต้องใช้หลักฐานเป็นใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) หรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) ที่ออกผ่านระบบของกรมสรรพากรเท่านั้น
  • ระยะเวลาการใช้สิทธิคาดว่าจะอยู่ในช่วงต้นปี 2569 โดยอ้างอิงตามกรอบเวลาของปีก่อนหน้า คือระหว่างวันที่ 16 มกราคม ถึง 28 กุมภาพันธ์
  • ผู้เสียภาษีทุกคนมีโอกาสได้รับเงินคืนภาษีเพิ่มขึ้นตามฐานภาษีของตนเอง หากใช้สิทธิประโยชน์อย่างเต็มที่

ภาพรวมของมาตรการ Easy E-Receipt ปี 2569

มาตรการ Easy E-Receipt คือนโยบายของรัฐบาลที่ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจผ่านการบริโภคภายในประเทศ โดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่บุคคลธรรมดาที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ โครงการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดภาระภาษีให้กับประชาชน แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้ผู้ประกอบการและผู้บริโภคหันมาใช้ระบบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาระบบเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ

สำหรับปีภาษี 2569 (ซึ่งจะยื่นแบบในช่วงต้นปี 2570) มาตรการนี้ยังคงหลักการสำคัญเดิม คือการให้สิทธินำค่าใช้จ่ายจากการซื้อสินค้าหรือบริการมาหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 50,000 บาท ผู้ที่สามารถใช้สิทธินี้ได้คือผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาทุกคน โดยไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนล่วงหน้า เพียงแค่เก็บหลักฐานการใช้จ่ายที่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนดไว้ให้ครบถ้วนในช่วงระยะเวลาของโครงการเท่านั้น ซึ่งคาดว่าจะจัดขึ้นในช่วงต้นปี 2569 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงเวลาดังกล่าว

เจาะลึกเงื่อนไขการลดหย่อนภาษีสูงสุด 50,000 บาท

วงเงินลดหย่อนสูงสุด 50,000 บาทในโครงการ Easy E-Receipt ปี 2569 ไม่ใช่ก้อนเดียวทั้งหมด แต่มีการแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก เพื่อให้ครอบคลุมการใช้จ่ายที่หลากหลายและสนับสนุนเศรษฐกิจฐานรากไปพร้อมกัน ผู้เสียภาษีจำเป็นต้องทำความเข้าใจโครงสร้างของวงเงินทั้งสองส่วนนี้ เพื่อวางแผนการใช้จ่ายและใช้สิทธิประโยชน์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

ส่วนที่ 1: ค่าซื้อสินค้าและบริการทั่วไป วงเงินไม่เกิน 30,000 บาท

วงเงินส่วนแรกนี้ถือเป็นส่วนหลักของโครงการ ครอบคลุมการซื้อสินค้าและบริการในชีวิตประจำวันจากผู้ประกอบการที่สามารถออกหลักฐานในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ โดยมีเงื่อนไขดังนี้:

  • จากผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT): การซื้อสินค้าหรือบริการจากร้านค้าเหล่านี้ จะต้องได้รับ ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์แบบเต็มรูป (e-Tax Invoice) ที่ออกผ่านระบบของกรมสรรพากรเท่านั้น ซึ่งโดยทั่วไปจะเป็นร้านค้าขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ห้างสรรพสินค้า หรือร้านสะดวกซื้อที่เข้าร่วมโครงการ
  • จากผู้ประกอบการที่ไม่ได้จดทะเบียน VAT: สำหรับการซื้อสินค้าหรือบริการจากผู้ประกอบการรายย่อยที่ไม่ใช่ผู้จดทะเบียน VAT เช่น ร้านค้าทั่วไปบางแห่ง จะต้องได้รับ ใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) เป็นหลักฐาน

วงเงินส่วนนี้มุ่งเน้นการกระตุ้นการใช้จ่ายในภาคธุรกิจทั่วไป และส่งเสริมให้ร้านค้าจำนวนมากเข้าสู่ระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์

ส่วนที่ 2: ค่าซื้อสินค้าที่สนับสนุนชุมชน วงเงินไม่เกิน 20,000 บาท

วงเงินส่วนที่สองนี้ถูกออกแบบมาเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนสินค้าจากผู้ประกอบการในระดับชุมชนโดยเฉพาะ เพื่อกระจายรายได้สู่เศรษฐกิจฐานราก ประกอบด้วยค่าใช้จ่ายจากแหล่งต่อไปนี้:

  • ค่าซื้อสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP): สินค้าจะต้องเป็นสินค้า OTOP ที่ลงทะเบียนกับกรมการพัฒนาชุมชนอย่างถูกต้อง
  • ค่าซื้อสินค้าหรือบริการจากวิสาหกิจชุมชน: ต้องเป็นวิสาหกิจชุมชนที่จดทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร
  • ค่าซื้อสินค้าหรือบริการจากวิสาหกิจเพื่อสังคม: ต้องเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมที่จดทะเบียนกับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม

สิ่งสำคัญคือ วงเงิน 20,000 บาทนี้ เป็นวงเงินเพิ่มเติมจากส่วนแรก แต่ต้องใช้จ่ายกับสินค้าและบริการในกลุ่มที่ระบุไว้เท่านั้น และต้องได้รับหลักฐานเป็น e-Receipt เช่นกัน

สรุปเปรียบเทียบวงเงินลดหย่อนภาษีในโครงการ Easy E-Receipt ปี 2569
ประเภทการลดหย่อน วงเงินสูงสุด ประเภทสินค้า/บริการ หลักฐานที่ต้องใช้
ส่วนที่ 1 30,000 บาท สินค้าและบริการทั่วไป e-Tax Invoice หรือ e-Receipt
ส่วนที่ 2 20,000 บาท สินค้า OTOP, วิสาหกิจชุมชน, วิสาหกิจเพื่อสังคม e-Receipt

คุณสมบัติของผู้มีสิทธิใช้มาตรการลดหย่อนภาษี

คุณสมบัติของผู้มีสิทธิใช้มาตรการลดหย่อนภาษี

ผู้ที่มีสิทธิเข้าร่วมโครงการ Easy E-Receipt คือ ผู้มีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ (ภ.ง.ด. 90 หรือ ภ.ง.ด. 91) โดยไม่จำกัดระดับรายได้หรืออาชีพ ไม่ว่าจะเป็นพนักงานบริษัท, ข้าราชการ, ผู้ประกอบอาชีพอิสระ หรือผู้มีเงินได้ประเภทอื่น ๆ ก็สามารถใช้สิทธินี้ได้ทั้งหมด

สำหรับห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคล ไม่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนตามมาตรการนี้ได้ สิทธิประโยชน์นี้ถูกสงวนไว้สำหรับบุคคลธรรมดาเท่านั้น เพื่อเป็นแรงจูงใจในการบริโภคส่วนบุคคลโดยตรง

หลักฐานสำคัญที่ต้องใช้: e-Tax Invoice และ e-Receipt

หัวใจสำคัญที่สุดของโครงการนี้คือ “หลักฐาน” ที่ต้องอยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น ใบกำกับภาษีหรือใบเสร็จรับเงินในรูปแบบกระดาษแบบดั้งเดิม ไม่สามารถ นำมาใช้ลดหย่อนภาษีในโครงการนี้ได้โดยเด็ดขาด ผู้เสียภาษีจึงต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อนชำระเงินว่าร้านค้านั้น ๆ สามารถออกเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบของกรมสรรพากรได้หรือไม่

  • e-Tax Invoice (ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์): ออกโดยผู้ประกอบการที่จดทะเบียน VAT โดยข้อมูลการซื้อขายจะถูกส่งเข้าระบบของกรมสรรพากรโดยตรง ผู้ซื้อจะได้รับไฟล์เอกสารในรูปแบบ PDF หรือลิงก์สำหรับดาวน์โหลด
  • e-Receipt (ใบรับอิเล็กทรอนิกส์): ออกโดยผู้ประกอบการที่ไม่ได้จดทะเบียน VAT แต่เข้าร่วมระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ของกรมสรรพากร เช่น ร้านค้าขนาดเล็ก หรือผู้ขายสินค้า OTOP

ข้อมูลจากเอกสารทั้งสองประเภทนี้จะถูกเชื่อมโยงกับเลขประจำตัวผู้เสียภาษี (เลขบัตรประชาชน) ของผู้ซื้อโดยอัตโนมัติ ทำให้ขั้นตอนการยื่นภาษีออนไลน์ในภายหลังมีความสะดวกสบายมากขึ้น เนื่องจากระบบสามารถดึงข้อมูลค่าใช้จ่ายมาแสดงให้โดยอัตโนมัติ

ตัวอย่างการคำนวณเงินคืนภาษีจากโครงการ

จำนวนเงินคืนภาษีที่แท้จริงจะขึ้นอยู่กับฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของแต่ละคน ยิ่งมีฐานภาษีสูง ก็จะยิ่งได้รับเงินคืนมากขึ้นเมื่อใช้สิทธิลดหย่อนเต็มจำนวน การคำนวณเบื้องต้นสามารถทำได้โดยนำยอดค่าใช้จ่ายที่ลดหย่อนได้คูณกับอัตราภาษีของตนเอง

ตัวอย่าง: หากผู้เสียภาษีมีเงินได้สุทธิที่ต้องเสียภาษีในอัตรา 20% และได้ใช้สิทธิลดหย่อนจากโครงการ Easy E-Receipt เต็มจำนวน 50,000 บาท จะสามารถประหยัดภาษีหรือได้รับเงินคืนภาษีเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน:

50,000 บาท x 20% = 10,000 บาท

ทั้งนี้ หากผู้เสียภาษีอยู่ในฐานภาษีอื่น เช่น 5%, 10%, 15%, หรือสูงสุดที่ 35% จำนวนเงินคืนภาษีก็จะแตกต่างกันไปตามอัตรานั้น ๆ

สินค้าและบริการที่ไม่เข้าร่วมโครงการ

แม้ว่าโครงการจะครอบคลุมสินค้าและบริการส่วนใหญ่ แต่ก็มีรายการค่าใช้จ่ายบางประเภทที่ไม่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งโดยทั่วไปจะเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากรที่เคยใช้ในมาตรการลักษณะเดียวกันในปีก่อน ๆ ได้แก่:

  • ค่าซื้อสุรา เบียร์ และไวน์
  • ค่าซื้อยาสูบ
  • ค่าซื้อรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเรือ
  • ค่าน้ำมันและก๊าซสำหรับเติมยานพาหนะ
  • ค่าสาธารณูปโภค เช่น ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ค่าบริการโทรศัพท์ และค่าบริการอินเทอร์เน็ต
  • ค่าเบี้ยประกันวินาศภัย
  • ค่าบริการที่มีข้อตกลงการให้บริการระยะยาว ซึ่งเริ่มต้นก่อนช่วงเวลาโครงการ

ผู้เสียภาษีควรตรวจสอบรายละเอียดของสินค้าและบริการที่ไม่เข้าเกณฑ์อย่างละเอียดอีกครั้งเมื่อมีประกาศอย่างเป็นทางการจากกรมสรรพากร เพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาดในการยื่นภาษี

การเตรียมความพร้อมเพื่อใช้สิทธิประโยชน์สูงสุด

เพื่อให้สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากมาตรการ Easy E-Receipt ปี 2569 ได้อย่างเต็มที่และราบรื่น การวางแผนและเตรียมตัวล่วงหน้าเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ผู้เสียภาษีควรเริ่มต้นจากการรวบรวมรายการสินค้าหรือบริการที่จำเป็นต้องซื้อ และตรวจสอบว่าร้านค้าหรือผู้ให้บริการที่ต้องการใช้บริการนั้น สามารถออก e-Tax Invoice หรือ e-Receipt ได้หรือไม่

นอกจากนี้ การแยกประเภทการใช้จ่ายระหว่างสินค้าทั่วไปและสินค้าชุมชนจะช่วยให้สามารถบริหารจัดการวงเงินทั้ง 30,000 บาท และ 20,000 บาท ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การทำความเข้าใจเงื่อนไขและติดตามประกาศจากกรมสรรพากรอย่างใกล้ชิด จะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ไม่พลาดโอกาสในการลดหย่อนภาษีและได้รับเงินคืนสูงสุดตามสิทธิที่พึงมี