5 วิธีออมเงินง่ายๆ ที่มนุษย์เงินเดือนทำได้จริง

สารบัญ

การสร้างวินัยทางการเงินและการมีเงินออมที่เพียงพอเป็นเป้าหมายสำคัญสำหรับคนวัยทำงาน โดยเฉพาะกลุ่มมนุษย์เงินเดือนที่มีรายได้ประจำและแน่นอน การเรียนรู้ 5 วิธีออมเงินง่ายๆ ที่มนุษย์เงินเดือนทำได้จริง จะเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว ช่วยให้สามารถรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน และบรรลุเป้าหมายในชีวิตได้ตามที่วางแผนไว้

สรุปประเด็นสำคัญสู่การมีเงินออม

  • การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน: กำหนดเป้าหมายการออมที่วัดผลได้และมีกรอบเวลาที่แน่นอน เพื่อสร้างแรงจูงใจและทิศทางในการเก็บเงิน
  • การออมก่อนใช้: เปลี่ยนแนวคิดจากการ “ใช้ก่อนเหลือค่อยเก็บ” มาเป็น “หักออมก่อนใช้จ่าย” โดยอัตโนมัติทันทีที่เงินเดือนเข้า
  • การติดตามรายจ่าย: การทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เห็นภาพรวมทางการเงินและค้นพบรายจ่ายที่ไม่จำเป็น
  • การจัดระเบียบบัญชี: การแยกบัญชีเพื่อใช้จ่ายและเพื่อการออมออกจากกัน ช่วยลดโอกาสในการนำเงินออมออกมาใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
  • การเพิ่มรายได้และลดรายจ่าย: การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายควบคู่ไปกับการมองหาช่องทางสร้างรายได้เพิ่มเติม จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายการออมได้เร็วยิ่งขึ้น

ทำความเข้าใจพื้นฐานการออมเงินของมนุษย์เงินเดือน

การออมเงินไม่ใช่เพียงการเก็บเงินที่เหลือจากการใช้จ่ายในแต่ละเดือน แต่คือกระบวนการวางแผนทางการเงินอย่างเป็นระบบเพื่อสร้างความมั่งคั่งและหลักประกันสำหรับอนาคต สำหรับมนุษย์เงินเดือนซึ่งมีรายได้ที่ค่อนข้างคงที่ในแต่ละเดือน การทำความเข้าใจหลักการและเริ่มต้นสร้างวินัยการออมตั้งแตเนิ่นๆ ถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง

ความสำคัญของการวางแผนการเงินในยุคปัจจุบัน

ในภาวะเศรษฐกิจที่มีความผันผวนและค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การมีเงินออมกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความอุ่นใจและเป็นกันชนทางการเงิน การวางแผนการเงินที่ดีจะช่วยให้มนุษย์เงินเดือนสามารถ:

  • มีเงินสำรองฉุกเฉิน: เตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น การเจ็บป่วย, การว่างงาน, หรือค่าใช้จ่ายเร่งด่วนอื่นๆ โดยไม่จำเป็นต้องสร้างหนี้สิน
  • บรรลุเป้าหมายในชีวิต: ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายระยะสั้นอย่างการซื้อของที่ต้องการ, การท่องเที่ยว หรือเป้าหมายระยะยาว เช่น การซื้อบ้าน, ซื้อรถ, การศึกษาบุตร หรือการเกษียณอายุ
  • ลดความเครียดทางการเงิน: การมีสถานะทางการเงินที่มั่นคงช่วยลดความวิตกกังวลเกี่ยวกับเงิน และส่งผลดีต่อสุขภาพจิตโดยรวม
  • สร้างโอกาสในการลงทุน: เงินออมสามารถนำไปต่อยอดสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นผ่านช่องทางการลงทุนต่างๆ เพื่อให้เงินงอกเงยและไปถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้น

อุปสรรคทั่วไปที่ขัดขวางการเก็บเงิน

หลายคนทราบดีถึงความสำคัญของการออม แต่ก็ยังไม่สามารถเก็บเงินได้ตามเป้าหมาย ซึ่งมักเกิดจากอุปสรรคหลายประการ ได้แก่:

  1. การไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน: การออมเงินโดยไม่มีเป้าหมายทำให้ขาดแรงจูงใจและรู้สึกว่าการเก็บเงินเป็นเรื่องไกลตัว
  2. พฤติกรรมการใช้จ่าย: การใช้จ่ายตามอารมณ์, การซื้อของที่ไม่จำเป็น หรือการมีหนี้สินจากบัตรเครดิต ล้วนเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ไม่มีเงินเหลือเก็บ
  3. รายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย: ในบางกรณี รายได้อาจไม่สอดคล้องกับภาระค่าใช้จ่ายที่จำเป็น ทำให้การจัดสรรเงินเพื่อการออมเป็นไปได้ยาก
  4. การผัดวันประกันพรุ่ง: ความคิดที่ว่า “ค่อยเริ่มเก็บเดือนหน้า” หรือ “รอให้มีรายได้มากกว่านี้ก่อน” เป็นกับดักที่ทำให้พลาดโอกาสในการเริ่มต้นออมเงิน

การตระหนักถึงอุปสรรคเหล่านี้คือขั้นตอนแรกที่จะนำไปสู่การแก้ไขและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อสร้างวินัยทางการเงินที่ยั่งยืน

เปิดคัมภีร์: 5 วิธีออมเงินง่ายๆ ที่มนุษย์เงินเดือนทำได้จริง

เปิดคัมภีร์: 5 วิธีออมเงินง่ายๆ ที่มนุษย์เงินเดือนทำได้จริง

การเริ่มต้นออมเงินไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องซับซ้อนหรือต้องรอให้มีรายได้มหาศาล เทคนิคทั้ง 5 ข้อต่อไปนี้ถูกออกแบบมาให้เข้าใจง่ายและสามารถนำไปปรับใช้ได้ทันทีกับไลฟ์สไตล์ของมนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่

วิธีที่ 1: ตั้งเป้าหมายการออมที่ชัดเจนและวัดผลได้ (SMART Goal)

การออมเงินจะประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้นเมื่อมีเป้าหมายที่ชัดเจน การนำหลักการ SMART Goal มาใช้จะช่วยเปลี่ยนเป้าหมายที่เลื่อนลอยให้กลายเป็นแผนการที่จับต้องได้และมีโอกาสสำเร็จสูง

  • S (Specific) – เฉพาะเจาะจง: ระบุให้ชัดเจนว่าต้องการออมเงินไปเพื่ออะไร เช่น “ออมเงินเพื่อดาวน์รถยนต์” แทนที่จะเป็นแค่ “ออมเงิน”
  • M (Measurable) – วัดผลได้: กำหนดจำนวนเงินที่ต้องการให้แน่นอน เช่น “ต้องการเงินดาวน์รถยนต์ 200,000 บาท”
  • A (Achievable) – ทำได้จริง: ตั้งเป้าหมายที่สอดคล้องกับรายได้และภาระค่าใช้จ่ายในปัจจุบัน การตั้งเป้าหมายที่สูงเกินไปอาจทำให้ท้อแท้และล้มเลิกกลางคัน
  • R (Relevant) – สมเหตุสมผล: เป้าหมายการออมควรมีความสำคัญและสอดคล้องกับเป้าหมายชีวิตโดยรวม
  • T (Time-bound) – มีกรอบเวลา: กำหนดระยะเวลาที่ต้องการบรรลุเป้าหมายให้ชัดเจน เช่น “จะเก็บเงิน 200,000 บาทให้ได้ภายใน 2 ปี”

ตัวอย่าง: จากเป้าหมายข้างต้น สามารถคำนวณได้ว่าจะต้องเก็บเงินเดือนละประมาณ 8,334 บาท (200,000 / 24 เดือน) การมีตัวเลขที่ชัดเจนเช่นนี้จะทำให้การวางแผนในแต่ละเดือนทำได้ง่ายขึ้น

วิธีที่ 2: ใช้กฎเหล็ก “จ่ายให้ตัวเองก่อน” (Pay Yourself First)

แนวคิดนี้คือการเปลี่ยนลำดับความสำคัญของการใช้เงิน จากเดิมที่เป็น รายได้ – รายจ่าย = เงินออม มาเป็น รายได้ – เงินออม = รายจ่าย ซึ่งหมายถึงการบังคับตัวเองให้ออมเงินก่อนที่จะนำไปใช้จ่ายในเรื่องอื่นๆ วิธีการที่ได้ผลดีที่สุดคือการตั้งค่าโอนเงินอัตโนมัติจากบัญชีเงินเดือนไปยังบัญชีเงินออมทันทีในวันที่เงินเดือนออก

โดยทั่วไป แนะนำให้ออมอย่างน้อย 10-20% ของรายได้สุทธิ แต่สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้น อาจเริ่มจากสัดส่วนน้อยๆ เช่น 5% แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นเมื่อปรับตัวได้ การทำเช่นนี้จะช่วยให้การออมกลายเป็นนิสัยอัตโนมัติ และป้องกันการใช้จ่ายเงินเกินความจำเป็นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วิธีที่ 3: ทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย เพื่อหาเงินรั่ว

หลายคนไม่ทราบว่าเงินของตนเองหายไปไหนในแต่ละเดือน การจดบันทึกรายรับ-รายจ่ายอย่างสม่ำเสมอเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการตอบคำถามนี้ การบันทึกไม่จำเป็นต้องยุ่งยาก สามารถทำได้หลายวิธี:

  • สมุดบันทึก: วิธีคลาสสิกที่ง่ายและไม่ต้องใช้อุปกรณ์ซับซ้อน
  • โปรแกรมสเปรดชีต (Spreadsheet): เช่น Microsoft Excel หรือ Google Sheets ช่วยให้สามารถคำนวณและสร้างกราฟสรุปได้ง่าย
  • แอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน: มีแอปพลิเคชันจัดการการเงินมากมายที่ช่วยให้บันทึกได้สะดวก รวดเร็ว และสามารถสรุปผลให้เห็นภาพรวมได้ทันที

เมื่อบันทึกข้อมูลไประยะหนึ่ง (อย่างน้อย 1-2 เดือน) ให้นำข้อมูลมาวิเคราะห์โดยแบ่งรายจ่ายออกเป็นหมวดหมู่ เช่น ค่าอาหาร, ค่าเดินทาง, ค่าที่พัก, ค่าใช้จ่ายส่วนตัว, ค่าความบันเทิง การทำเช่นนี้จะช่วยให้เห็น “เงินรั่ว” หรือรายจ่ายที่ไม่จำเป็นซึ่งสามารถตัดทอนเพื่อนำมาเป็นเงินออมเพิ่มเติมได้ เช่น ค่ากาแฟแบรนด์เนมทุกวัน, ค่าสมาชิกบริการสตรีมมิ่งที่ไม่ได้ใช้งาน

วิธีที่ 4: แยกบัญชีธนาคารตามวัตถุประสงค์

การรวมเงินทุกอย่างไว้ในบัญชีเดียวทำให้ง่ายต่อการใช้จ่ายเงินออมโดยไม่รู้ตัว การแบ่งบัญชีธนาคารตามวัตถุประสงค์จะช่วยสร้างกำแพงและจัดระเบียบทางการเงินให้ดีขึ้น โดยอาจแบ่งออกเป็น 3-4 บัญชีหลัก:

  1. บัญชีใช้จ่ายรายวัน (Spending Account): เป็นบัญชีที่ผูกกับบัตรเดบิตหรือใช้สำหรับโอนจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ ในแต่ละเดือน ควรโอนเงินมาไว้ในบัญชีนี้ตามงบประมาณที่กำหนดไว้
  2. บัญชีเงินออมระยะสั้น/เงินสำรองฉุกเฉิน (Short-term Savings / Emergency Fund): ใช้เก็บเงินสำหรับเป้าหมายระยะสั้น (ไม่เกิน 1-2 ปี) และเงินสำรองฉุกเฉินซึ่งควรมีอย่างน้อย 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือน ควรเลือกบัญชีออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูงหรือบัญชีฝากประจำที่ถอนได้ไม่สะดวกนัก
  3. บัญชีเพื่อการลงทุน (Investment Account): สำหรับเงินออมระยะยาวที่ต้องการผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก เช่น การซื้อกองทุนรวม, หุ้น หรือสินทรัพย์อื่นๆ
  4. บัญชีเป้าหมายพิเศษ (Specific Goal Account): อาจเปิดบัญชีแยกสำหรับเป้าหมายใหญ่ๆ โดยเฉพาะ เช่น บัญชีเพื่อการท่องเที่ยว, บัญชีเพื่อดาวน์บ้าน เพื่อให้เห็นความคืบหน้าที่ชัดเจน

วิธีที่ 5: ลดรายจ่ายแฝงและสร้างรายได้เสริม

นอกจากการออมเงินตามระบบแล้ว การเพิ่มช่องว่างระหว่างรายรับและรายจ่ายก็เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งทำได้สองทางคือการลดรายจ่ายและการเพิ่มรายได้

การลดรายจ่าย:

  • ทบทวนค่าใช้จ่ายคงที่: เช่น ค่าสมาชิกฟิตเนส, ค่าบริการสตรีมมิ่ง, ค่าโทรศัพท์รายเดือน ลองมองหาแพ็กเกจที่ถูกลงหรือยกเลิกบริการที่ไม่ได้ใช้
  • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ: เช่น การทำอาหารกลางวันไปทานที่ทำงาน, การชงกาแฟดื่มเอง, การวางแผนการซื้อของก่อนไปซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อลดการซื้อของที่ไม่จำเป็น
  • ใช้กฎ 24 ชั่วโมง: สำหรับของชิ้นใหญ่หรือของที่ไม่จำเป็น หากอยากได้ ให้รอ 24 ชั่วโมงก่อนตัดสินใจซื้อ เพื่อให้แน่ใจว่าต้องการสิ่งนั้นจริงๆ ไม่ใช่แค่อารมณ์ชั่ววูบ

การสร้างรายได้เสริม:

ในยุคดิจิทัลมีช่องทางมากมายในการสร้างรายได้เพิ่มเติมจากงานประจำ โดยใช้ทักษะและความสามารถที่มีอยู่ เช่น:

  • งานฟรีแลนซ์: เช่น การเขียนบทความ, การแปลเอกสาร, การทำกราฟิกดีไซน์, การตัดต่อวิดีโอ
  • การสอนพิเศษ: ตามความถนัดของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นวิชาการ, ดนตรี หรือกีฬา
  • การขายของออนไลน์: ขายสินค้ามือสองที่ไม่ใช้แล้ว หรือการเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้า

การมีวินัยในการลดรายจ่ายแม้เพียงเล็กน้อยในแต่ละวัน สามารถสร้างความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ให้กับเงินออมในระยะยาวได้

ตารางเปรียบเทียบ 5 เทคนิคการออมเงินสำหรับมนุษย์เงินเดือน
วิธีการ หลักการสำคัญ เหมาะสำหรับ ข้อควรระวัง
1. ตั้งเป้าหมาย (SMART) สร้างแรงจูงใจและทิศทางที่ชัดเจน ทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่เริ่มต้นออมเงิน เป้าหมายต้องทำได้จริง ไม่สูงเกินไปจนท้อ
2. จ่ายให้ตัวเองก่อน บังคับออมอย่างเป็นระบบ ผู้ที่มักใช้เงินเพลินจนไม่มีเงินเหลือเก็บ ต้องกำหนดสัดส่วนที่เหมาะสม ไม่กระทบค่าใช้จ่ายจำเป็น
3. ทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย ทำความเข้าใจพฤติกรรมการใช้เงิน ผู้ที่อยากรู้ว่าเงินหายไปไหนและต้องการลดรายจ่าย ต้องทำอย่างสม่ำเสมอและซื่อสัตย์กับตัวเอง
4. แยกบัญชีธนาคาร จัดระเบียบเงินและป้องกันการใช้เงินออม ผู้ที่ควบคุมการใช้จ่ายจากบัญชีเดียวได้ยาก อาจมีค่าธรรมเนียมในการรักษาบัญชีหากยอดเงินไม่ถึงเกณฑ์
5. ลดรายจ่าย/เพิ่มรายได้ เพิ่มกระแสเงินสดเพื่อการออมและการลงทุน ทุกคนที่ต้องการเร่งให้ถึงเป้าหมายเร็วขึ้น การหารายได้เสริมต้องไม่กระทบกับงานประจำและสุขภาพ

เทคนิคและเครื่องมือเสริมสร้างวินัยการออม

นอกเหนือจาก 5 วิธีหลักที่กล่าวมา การใช้เทคโนโลยีและแนวคิดการออมสมัยใหม่เข้ามาช่วย จะทำให้การออมเงินเป็นเรื่องสนุกและง่ายขึ้นอีกระดับ

แอปพลิเคชันช่วยจัดการการเงินส่วนบุคคล

ปัจจุบันมีแอปพลิเคชันจำนวนมากที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อเป็นผู้ช่วยทางการเงินส่วนตัว ฟังก์ชันหลักๆ มักจะประกอบด้วย:

  • การบันทึกรายรับ-รายจ่ายอัตโนมัติ: บางแอปสามารถเชื่อมต่อกับบัญชีธนาคารหรือบัตรเครดิตเพื่อดึงข้อมูลการใช้จ่ายมาบันทึกและจัดหมวดหมู่ให้อัตโนมัติ
  • การตั้งงบประมาณ (Budgeting): ช่วยให้สามารถกำหนดงบประมาณในแต่ละหมวดหมู่และแจ้งเตือนเมื่อใกล้ใช้จ่ายเกินงบ
  • การสรุปผลและวิเคราะห์: แสดงผลข้อมูลในรูปแบบกราฟที่เข้าใจง่าย ช่วยให้เห็นภาพรวมทางการเงินและแนวโน้มการใช้จ่ายของตนเอง
  • การตั้งเป้าหมายการออม: ช่วยติดตามความคืบหน้าของเป้าหมายการออมต่างๆ ที่ตั้งไว้

แนวคิดการออมเงินเพิ่มเติมที่น่าสนใจ

  • เทคนิค 50/30/20: เป็นแนวทางการจัดสรรงบประมาณที่นิยมกันทั่วโลก โดยแบ่งรายได้สุทธิออกเป็น 3 ส่วน คือ 50% สำหรับค่าใช้จ่ายที่จำเป็น (Needs) เช่น ค่าที่พัก, ค่าอาหาร, ค่าเดินทาง; 30% สำหรับค่าใช้จ่ายที่ต้องการ (Wants) เช่น ความบันเทิง, การท่องเที่ยว, การชอปปิง; และ 20% สำหรับการออมและการลงทุน (Savings & Investments)
  • การออมแบบเก็บแบงค์ 50: เป็นวิธีที่ง่ายและสนุก โดยตั้งกฎกับตัวเองว่าจะไม่ใช้ธนบัตรใบละ 50 บาทที่ได้รับมา แต่จะเก็บเข้ากระปุกหรือบัญชีเงินออมเสมอ
  • The 52-Week Money Challenge: เป็นการท้าทายตัวเองให้เก็บเงินเพิ่มขึ้นทุกสัปดาห์ตลอดทั้งปี โดยสัปดาห์แรกเก็บ 10 บาท, สัปดาห์ที่สอง 20 บาท, และเพิ่มขึ้นสัปดาห์ละ 10 บาท ไปจนถึงสัปดาห์สุดท้ายที่ 520 บาท เมื่อครบ 52 สัปดาห์ (1 ปี) จะมีเงินเก็บถึง 13,780 บาท

บทสรุป: สร้างอนาคตทางการเงินที่มั่นคงด้วยตัวคุณเอง

การสร้างความมั่นคงทางการเงินไม่ใช่เรื่องของโชคช่วย แต่เป็นผลลัพธ์ของการวางแผนและการลงมือทำอย่างมีวินัย 5 วิธีออมเงินง่ายๆ ที่มนุษย์เงินเดือนทำได้จริง ที่นำเสนอในบทความนี้ ตั้งแต่การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน, การออมก่อนใช้, การทำบัญชี, การแยกบัญชี ไปจนถึงการลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ ล้วนเป็นหลักการพื้นฐานที่ทรงประสิทธิภาพและสามารถปรับใช้ได้กับทุกคน ไม่ว่าจะมีรายได้มากหรือน้อยก็ตาม

สิ่งสำคัญที่สุดคือการเริ่มต้นลงมือทำตั้งแต่วันนี้ ไม่ต้องรอให้พร้อมในทุกด้าน การเริ่มต้นจากก้าวเล็กๆ และทำอย่างสม่ำเสมอ จะค่อยๆ สร้างนิสัยทางการเงินที่ดีและนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ขึ้นในอนาคต การวางแผนการเงินตั้งแต่วันนี้ คือการลงทุนที่ดีที่สุดเพื่อสร้างอิสรภาพและความมั่นคงให้กับชีวิตในระยะยาว