ถอดรหัสความลับการเงิน: ปลดล็อกอิสรภาพทางการเงินที่คุณไม่เคยรู้

สารบัญ

การเดินทางสู่ความมั่นคงทางการเงินเป็นเป้าหมายสำคัญของหลายคน แต่บ่อยครั้งที่เส้นทางนี้ดูซับซ้อนและไกลเกินเอื้อม อย่างไรก็ตาม การศึกษาแนวคิดและกลยุทธ์ที่ถูกต้องสามารถเป็นเครื่องมือสำคัญในการเปลี่ยนแปลงสถานะทางการเงินได้อย่างยั่งยืน การทำความเข้าใจพื้นฐานของการเงินส่วนบุคคล การลงทุน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจิตวิทยาเบื้องหลังความมั่งคั่ง คือก้าวแรกที่นำไปสู่เป้าหมายสูงสุด

ประเด็นสำคัญสู่ความมั่งคั่ง

  • อิสรภาพทางการเงิน คือสถานะที่รายได้จากทรัพย์สินและการลงทุนครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมด โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพารายได้จากการทำงานประจำ
  • แผนผังทางการเงิน (Money Blueprint) หรือกรอบความคิดเกี่ยวกับเงิน เป็นปัจจัยหลักที่กำหนดพฤติกรรมและความสำเร็จทางการเงินของแต่ละบุคคล
  • แนวคิดจากหนังสือ “ถอดรหัสลับสมองเงินล้าน” ชี้ให้เห็นว่าความแตกต่างทางความคิด 17 ประการ คือสิ่งที่แยกคนรวยออกจากคนทั่วไป
  • การเปลี่ยนแปลงความเชื่อและทัศนคติทางการเงินเป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างผลลัพธ์ทางการเงินใหม่ ซึ่งนำไปสู่การวางแผนการเงินที่มีประสิทธิภาพ การลงทุนที่ชาญฉลาด และการปลดหนี้อย่างเป็นระบบ
  • ความสำเร็จทางการเงินที่แท้จริงไม่ได้มาจากโชคช่วย แต่เกิดจากการสร้างนิสัยและกรอบความคิดที่เอื้อต่อการสร้างความมั่งคั่งอย่างต่อเนื่อง

เส้นทางสู่ความมั่งคั่งเริ่มต้นที่ความคิด

หลายคนอาจเชื่อว่าความร่ำรวยเป็นผลมาจากปัจจัยภายนอก เช่น การศึกษาที่ดี การมีคอนเนคชัน หรือแม้กระทั่งโชคชะตา แต่แนวคิดสมัยใหม่ทางการเงินชี้ให้เห็นปัจจัยที่ลึกซึ้งกว่านั้น นั่นคือ “ความคิด” และ “ทัศนคติ” ที่มีต่อเงิน บทความนี้จะทำการ ถอดรหัสความลับการเงิน: ปลดล็อกอิสรภาพทางการเงินที่คุณไม่เคยรู้ โดยสำรวจแนวคิดที่ว่าความสำเร็จทางการเงินที่ยั่งยืนนั้นมีรากฐานมาจากกรอบความคิดภายใน หรือที่เรียกว่า “แผนผังทางการเงิน” การทำความเข้าใจและปรับเปลี่ยนแผนผังนี้ คือกุญแจสำคัญที่สามารถเปลี่ยนเส้นทางชีวิตทางการเงินของบุคคลได้อย่างสิ้นเชิง

หัวข้อนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับทุกคนที่ต้องการพัฒนาสถานะทางการเงินของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นพนักงานประจำ ผู้ประกอบการ หรือนักลงทุนที่ต้องการยกระดับความสำเร็จ การเข้าใจว่าเหตุใดบางคนจึงสามารถสร้างความมั่งคั่งได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่บางคนยังคงวนเวียนอยู่กับปัญหาหนี้สินและรายได้ไม่พอรายจ่าย จะช่วยให้สามารถระบุและแก้ไขต้นตอของปัญหาได้อย่างตรงจุด การปรับเปลี่ยนวิธีคิดไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เป็นสิ่งที่สามารถเรียนรู้และฝึกฝนได้ และเป็นรากฐานที่มั่นคงที่สุดสำหรับการสร้างความมั่งคั่งและบรรลุเป้าหมายอิสรภาพทางการเงินในระยะยาว

อิสรภาพทางการเงินคืออะไร: นิยามที่จับต้องได้

ก่อนจะไปถึงวิธีการ สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจเป้าหมายสูงสุดให้ชัดเจน อิสรภาพทางการเงิน (Financial Freedom) ไม่ได้หมายถึงการมีเงินมหาศาลจนใช้ไม่หมด แต่เป็นสถานะที่บุคคลมีรายได้จากแหล่งอื่นนอกเหนือจากการทำงานประจำ (Passive Income) มากพอที่จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันทั้งหมดได้อย่างสบาย

แหล่งรายได้เหล่านี้อาจมาจากเงินปันผลหุ้น ค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ ดอกเบี้ยพันธบัตร หรือผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เมื่อรายได้จากทรัพย์สินเหล่านี้มีมูลค่าเท่ากับหรือมากกว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมด นั่นหมายความว่าบุคคลนั้นได้บรรลุอิสรภาพทางการเงินแล้ว และไม่จำเป็นต้องทำงานเพื่อเงินอีกต่อไป แต่สามารถเลือกทำงานที่รัก หรือใช้เวลาไปกับสิ่งที่ตนเองให้คุณค่าได้อย่างแท้จริง

สมการของอิสรภาพทางการเงินสามารถเขียนได้อย่างง่ายๆ ว่า:
(รายได้จากทรัพย์สินและการลงทุน / ค่าใช้จ่ายทั้งหมด) ≥ 1

หากผลลัพธ์ของสมการนี้มากกว่าหรือเท่ากับ 1 นั่นคือจุดที่อิสรภาพทางการเงินได้เกิดขึ้นจริง ซึ่งเป็นเป้าหมายที่เป็นรูปธรรมและสามารถวัดผลได้สำหรับทุกคนที่ต้องการเริ่มต้นเส้นทางนี้

ถอดรหัสลับ “แผนผังทางการเงิน” (Money Blueprint)

แนวคิดสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จทางการเงินมาจากหนังสือระดับโลกอย่าง “ถอดรหัสลับสมองเงินล้าน” (Secrets of the Millionaire Mind) โดย T. Harv Eker ซึ่งเสนอแนวคิดที่ทรงพลังว่าทุกคนมี “แผนผังทางการเงิน” (Money Blueprint) ที่ถูกตั้งโปรแกรมไว้ในจิตใต้สำนึก

แผนผังนี้เปรียบเสมือนพิมพ์เขียวหรือเทอร์โมสตัททางการเงินที่กำหนดระดับความสำเร็จทางการเงินของแต่ละคนไว้ล่วงหน้า มันคือชุดของความเชื่อ ทัศนคติ และความคิดเห็นเกี่ยวกับเงิน ความร่ำรวย และคนรวย ที่ฝังรากลึกและคอยควบคุมพฤติกรรมทางการเงินของเราโดยไม่รู้ตัว นี่คือคำตอบว่าทำไมบางคนถูกลอตเตอรี่แล้วกลับมาจนเหมือนเดิมในเวลาไม่นาน ในขณะที่เศรษฐีที่ล้มละลายสามารถกลับมาสร้างตัวตนได้ใหม่อย่างรวดเร็ว นั่นเพราะแผนผังทางการเงินของพวกเขายังคงถูกตั้งไว้ที่ระดับ “ความมั่งคั่ง”

ต้นกำเนิดของแผนผังทางการเงิน

แผนผังนี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ แต่ถูกหล่อหลอมขึ้นจาก 3 ปัจจัยหลักในอดีต โดยเฉพาะช่วงวัยเด็ก:

  1. สิ่งที่ได้ยิน (Verbal Programming): คำพูดเกี่ยวกับเงินที่ได้ยินซ้ำๆ จากพ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือคนรอบข้าง เช่น “เงินทองเป็นของหายาก” “คนรวยคือคนโลภ” หรือ “เราไม่มีเงินซื้อของแบบนั้นหรอก” คำพูดเหล่านี้จะกลายเป็นความจริงในจิตใต้สำนึกของเรา
  2. สิ่งที่เห็น (Modeling): การเฝ้าสังเกตพฤติกรรมการใช้เงินของพ่อแม่ เช่น พวกเขาเป็นคนประหยัดหรือใช้จ่ายฟุ่มเฟือย บริหารเงินได้ดีหรือไม่ทะเลาะกันเรื่องเงินหรือไม่ พฤติกรรมเหล่านี้จะกลายเป็นต้นแบบให้เราทำตามโดยไม่รู้ตัว
  3. สิ่งที่เคยประสบ (Specific Incidents): เหตุการณ์เฉพาะเจาะจงที่เกี่ยวข้องกับเงินซึ่งสร้างผลกระทบทางอารมณ์อย่างรุนแรง เช่น ความลำบากทางการเงินของครอบครัว หรือความรู้สึกดีใจเมื่อได้รับเงินก้อนโต ประสบการณ์เหล่านี้จะสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์กับเงินและหล่อหลอมความเชื่อของเรา

การตระหนักว่าเราทุกคนมีแผนผังทางการเงินนี้อยู่ คือก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในการเปลี่ยนแปลง เพราะหากไม่แก้ไขที่ต้นตอหรือ “ราก” (ความคิด) การพยายามเปลี่ยนแปลง “ผลไม้” (ผลลัพธ์ทางการเงิน) ก็จะเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุเท่านั้น

17 วิธีคิดของเศรษฐี ที่แตกต่างจากคนทั่วไป

T. Harv Eker ได้สรุป “แฟ้มข้อมูลแห่งความมั่งคั่ง” หรือวิธีคิด 17 ประการที่สร้างความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างคนรวยกับคนทั่วไป การทำความเข้าใจและนำวิธีคิดเหล่านี้มาปรับใช้ จะช่วยในการ “ตั้งโปรแกรม” แผนผังทางการเงินขึ้นมาใหม่ได้ โดยสามารถแบ่งเป็นกลุ่มเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้นดังนี้

กลุ่มที่ 1: การควบคุมและความรับผิดชอบ

  • วิธีคิดที่ 1: คนรวยเชื่อว่า “ฉันกุมชะตาชีวิตของตัวเอง” ในขณะที่คนทั่วไปเชื่อว่า “ชีวิตฉันเป็นเรื่องของโชคชะตา” คนรวยรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ในชีวิต 100% ส่วนคนทั่วไปมักมีบทบาทเป็น “เหยื่อ” ที่ชอบกล่าวโทษ โอดครวญ และหาเหตุผลมาอ้าง

กลุ่มที่ 2: เป้าหมายและการลงมือทำ

  • วิธีคิดที่ 2: คนรวยเล่นเกมการเงินเพื่อ “ชนะ” แต่คนทั่วไปเล่นเพื่อ “ไม่ให้แพ้” เป้าหมายของคนรวยคือความมั่งคั่งและอุดมสมบูรณ์ ส่วนเป้าหมายของคนทั่วไปคือแค่ “พออยู่ได้” หรือ “เอาตัวรอด” ซึ่งระดับของเป้าหมายย่อมนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ต่างกัน
  • วิธีคิดที่ 3: คนรวย “ทุ่มเท” เพื่อความร่ำรวย แต่คนทั่วไปแค่ “อยาก” รวย การ “อยาก” ไม่ได้มีพลังมากพอที่จะผลักดันให้เกิดการกระทำที่ยิ่งใหญ่ แต่การ “ทุ่มเท” หมายถึงการยอมทำทุกอย่าง (ที่ถูกกฎหมายและศีลธรรม) เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย

กลุ่มที่ 3: ขนาดของความคิดและการมองหาโอกาส

  • วิธีคิดที่ 4: คนรวยคิดการใหญ่ คนทั่วไปคิดการเล็ก กฎแห่งรายได้กล่าวว่า “รายได้จะเป็นสัดส่วนโดยตรงกับคุณค่าที่คุณมอบให้กับตลาด” การคิดใหญ่หมายถึงการเลือกที่จะช่วยเหลือผู้คนจำนวนมากและแก้ปัญหาที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่รายได้ที่สูงขึ้น
  • วิธีคิดที่ 5: คนรวยมุ่งความสนใจไปที่ “โอกาส” ส่วนคนทั่วไปมุ่งความสนใจไปที่ “อุปสรรค” ในสถานการณ์เดียวกัน คนรวยจะมองเห็นศักยภาพในการเติบโต ในขณะที่คนทั่วไปจะมองเห็นความเสี่ยงที่จะล้มเหลว และความคิดนี้เองที่กำหนดการตัดสินใจลงมือทำ

กลุ่มที่ 4: ทัศนคติต่อความสำเร็จและผู้อื่น

  • วิธีคิดที่ 6: คนรวยชื่นชมคนที่ประสบความสำเร็จคนอื่น แต่คนทั่วไปชิงชังคนรวยและคนที่ประสบความสำเร็จ ความรู้สึกอิจฉาริษยาเป็นพลังงานลบที่ขัดขวางไม่ให้ตนเองไปถึงจุดนั้นได้ เพราะจิตใต้สำนึกจะบอกว่า “ถ้าฉันรวย ฉันก็จะกลายเป็นคนไม่ดี” การเปลี่ยนมาเป็นการชื่นชมและเรียนรู้จากพวกเขา คือทัศนคติที่ถูกต้อง
  • วิธีคิดที่ 7: คนรวยคบค้าสมาคมกับคนที่ประสบความสำเร็จและมองโลกในแง่ดี แต่คนทั่วไปมักคลุกคลีอยู่กับคนที่ไม่ประสบความสำเร็จและมองโลกในแง่ร้าย พลังงานและทัศนคติเป็นสิ่งที่ส่งต่อกันได้ การเลือกสภาพแวดล้อมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จ

กลุ่มที่ 5: คุณค่าและการบริหารจัดการ

  • วิธีคิดที่ 8: คนรวยเต็มใจโปรโมตตัวเองและคุณค่าของตนเอง แต่คนทั่วไปมองการขายและการโปรโมตในแง่ลบ คนรวยเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ บริการ หรือคุณค่าที่ตนเองมี และเชื่อว่าการแบ่งปันสิ่งนั้นให้ผู้อื่นเป็นเรื่องที่ดี
  • วิธีคิดที่ 9: คนรวยอยู่เหนือปัญหาของตนเอง แต่คนทั่วไปจมอยู่กับปัญหาของตนเอง แทนที่จะหลีกหนีปัญหา คนรวยเลือกที่จะพัฒนาตัวเองให้ใหญ่กว่าปัญหา ทำให้ปัญหานั้นกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยที่จัดการได้
  • วิธีคิดที่ 10: คนรวยเป็นผู้รับที่ยอดเยี่ยม แต่คนทั่วไปเป็นผู้รับที่ยอดแย่ หลายคนมีความเชื่อลึกๆ ว่าตนเอง “ไม่ดีพอ” ที่จะได้รับสิ่งดีๆ ทำให้ปฏิเสธโอกาสและความช่วยเหลือที่เข้ามา คนรวยเชื่อว่าตนเองมีคุณค่าคู่ควรและเปิดรับทุกสิ่ง
  • วิธีคิดที่ 11: คนรวยเลือกรับเงินตาม “ผลงาน” แต่คนทั่วไปเลือกรับเงินตาม “เวลา” การผูกรายได้ไว้กับเวลา (เช่น เงินเดือน) เป็นการจำกัดศักยภาพในการสร้างรายได้ คนรวยมักสร้างระบบที่ทำให้พวกเขามีรายได้จากผลลัพธ์ เช่น การเป็นเจ้าของธุรกิจ หรือรับส่วนแบ่งกำไร
  • วิธีคิดที่ 12: คนรวยคิดแบบ “ทั้งสองทาง” แต่คนทั่วไปคิดแบบ “ทางใดทางหนึ่ง” คนทั่วไปมักเชื่อว่าต้องเลือกระหว่าง “งานกับครอบครัว” หรือ “เงินกับความสุข” แต่คนรวยมองหาวิธีที่จะมี “ทั้งสองอย่าง”
  • วิธีคิดที่ 13: คนรวยสนใจ “มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ” (Net Worth) แต่คนทั่วไปสนใจแค่ “รายได้จากการทำงาน” รายได้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความมั่งคั่ง แต่ทรัพย์สินสุทธิ (ทรัพย์สินทั้งหมดลบด้วยหนี้สินทั้งหมด) คือมาตรวัดความมั่งคั่งที่แท้จริง
  • วิธีคิดที่ 14: คนรวยบริหารเงินเก่ง แต่คนทั่วไปบริหารเงินไม่เป็น นิสัยการบริหารเงินสำคัญกว่าจำนวนเงินที่มี ต่อให้มีรายได้น้อยแต่หากบริหารเป็น ก็สามารถสร้างความมั่งคั่งได้

กลุ่มที่ 6: การทำงานของเงินและการเรียนรู้ตลอดชีวิต

  • วิธีคิดที่ 15: คนรวยให้เงินทำงานหนักเพื่อพวกเขา แต่คนทั่วไปทำงานหนักเพื่อเงิน คนรวยมองว่าเงินทุกบาทคือ “พนักงาน” ที่สามารถส่งออกไปทำงานเพื่อสร้างเงินเพิ่ม (ผ่านการลงทุน) เป้าหมายคือการไปถึงจุดที่ไม่ต้องทำงานเพื่อเงินอีกเลย
  • วิธีคิดที่ 16: คนรวยลงมือทำทั้งๆ ที่กลัว แต่คนทั่วไปปล่อยให้ความกลัวหยุดยั้งตนเอง ความกลัวเป็นเรื่องปกติ แต่ความแตกต่างอยู่ที่การกระทำ คนรวยไม่รอให้ความกลัวหายไป แต่พวกเขาลงมือทำไปพร้อมกับความกลัวนั้น
  • วิธีคิดที่ 17: คนรวยเรียนรู้และเติบโตอยู่ตลอดเวลา แต่คนทั่วไปคิดว่าตนเองรู้ดีอยู่แล้ว คนรวยเข้าใจว่าโลกเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาและทุ่มเทให้กับการเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเองในทุกๆ ด้าน ส่วนคนทั่วไปมักยึดติดกับความรู้เดิมๆ และปิดกั้นโอกาสในการเติบโต

สร้างแผนผังการเงินใหม่เพื่อความมั่งคั่ง

สร้างแผนผังการเงินใหม่เพื่อความมั่งคั่ง

หลังจากเข้าใจที่มาและความแตกต่างของวิธีคิดแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการลงมือสร้างแผนผังทางการเงินขึ้นมาใหม่ ซึ่งประกอบด้วย 4 ขั้นตอนสำคัญ:

  1. การตระหนักรู้ (Awareness): ขั้นตอนแรกคือการยอมรับและตระหนักถึงความเชื่อและพฤติกรรมทางการเงินที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ลองเขียนความเชื่อเกี่ยวกับเงินที่เคยได้ยินหรือยึดถือมาตลอดชีวิตออกมา
  2. การทำความเข้าใจ (Understanding): สืบสาวกลับไปว่าความเชื่อเหล่านั้นมีที่มาจากไหน มาจากคำพูดของใคร หรือจากประสบการณ์ใดในอดีต การเข้าใจที่มาจะช่วยให้เห็นว่ามันเป็นเพียงสิ่งที่ถูก “เรียนรู้” มา ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง
  3. การแยกตัว (Disassociation): เมื่อเข้าใจที่มาแล้ว ให้ตระหนักว่าความเชื่อเหล่านั้นเป็นเพียงอดีต และเรามีสิทธิ์ที่จะ “เลือก” ว่าจะยึดถือมันต่อไปหรือจะสร้างความเชื่อใหม่ขึ้นมา ความคิดเก่าๆ ไม่ใช่ตัวเรา แต่เป็นเพียงโปรแกรมที่ติดตั้งไว้
  4. การสร้างใหม่ (Reconditioning): นี่คือขั้นตอนที่สำคัญที่สุด คือการติดตั้ง “แฟ้มข้อมูลแห่งความมั่งคั่ง” หรือวิธีคิด 17 ประการเข้าไปใหม่ ผ่านการ “ปฏิญาณ” หรือการพูดตอกย้ำกับตัวเองทุกวัน และที่สำคัญคือการ “ลงมือทำ” พฤติกรรมที่สอดคล้องกับวิธีคิดใหม่ๆ เช่น เริ่มบริหารเงินตามระบบ เริ่มศึกษาการลงทุน หรือกล้าที่จะโปรโมตคุณค่าของตัวเอง

จากวิธีคิดสู่การวางแผนการเงินที่เป็นจริง

การเปลี่ยนแปลงแผนผังทางการเงินจะส่งผลโดยตรงต่อการกระทำในโลกแห่งความเป็นจริง กรอบความคิดใหม่จะทำให้การ วางแผนการเงิน ไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อ แต่เป็นการวางกลยุทธ์ที่น่าตื่นเต้นเพื่อสร้างอนาคต การ ลงทุน จะไม่ถูกมองว่าเป็นความเสี่ยงที่น่ากลัว แต่เป็นเครื่องมือที่จำเป็นในการสร้าง ความมั่งคั่ง และการ ปลดหนี้ จะไม่ใช่ภาระที่หนักอึ้ง แต่เป็นเป้าหมายที่ต้องพิชิตเพื่อเปิดทางสู่อิสรภาพ

ตัวอย่างเช่น บุคคลที่มีแผนผังทางการเงินแบบคนรวย เมื่อได้รับรายได้เข้ามา จะไม่นำไปใช้จ่ายจนหมด แต่จะแบ่งเงินไปบริหารตามระบบ เช่น แบ่งส่วนหนึ่งไปลงทุนเพื่อให้เงินงอกเงย (ให้เงินทำงานหนัก) แบ่งส่วนหนึ่งไว้สำหรับการศึกษาพัฒนาตนเอง (เรียนรู้ตลอดเวลา) และแบ่งส่วนหนึ่งไว้ใช้จ่ายอย่างมีความสุข (ผู้รับที่ยอดเยี่ยม) พฤติกรรมเหล่านี้คือผลลัพธ์โดยตรงของกรอบความคิดที่ถูกตั้งโปรแกรมไว้เพื่อความสำเร็จ

บทสรุป: กุญแจสู่อิสรภาพทางการเงิน

การเดินทางเพื่อ ถอดรหัสความลับการเงิน: ปลดล็อกอิสรภาพทางการเงินที่คุณไม่เคยรู้ ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ต้นตอของความสำเร็จหรือความล้มเหลวทางการเงินไม่ได้อยู่ที่ปัจจัยภายนอก แต่อยู่ที่ “แผนผังทางการเงิน” ที่ฝังลึกอยู่ในจิตใต้สำนึกของแต่ละบุคคล การเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ทางการเงินอย่างยั่งยืนจึงต้องเริ่มต้นจากการเปลี่ยนแปลงความคิดและความเชื่อภายในเป็นอันดับแรก

การทำความเข้าใจและนำวิธีคิด 17 ประการของเศรษฐีมาปรับใช้ ควบคู่ไปกับขั้นตอนการสร้างแผนผังทางการเงินใหม่ คือกระบวนการที่ทรงพลังในการตั้งโปรแกรมจิตใต้สำนึกเพื่อความมั่งคั่ง เมื่อรากฐานทางความคิดแข็งแกร่งแล้ว การลงมือปฏิบัติในเรื่องการวางแผนการเงิน การลงทุน และการจัดการหนี้สินก็จะกลายเป็นเรื่องที่ง่ายและเป็นธรรมชาติ กุญแจสำคัญสู่อิสรภาพทางการเงินที่แท้จริงนั้นไม่ได้อยู่ไกลตัว แต่อยู่ในความคิดและความเชื่อของบุคคลนั้นเอง และทุกคนสามารถเริ่มต้นสร้างมันขึ้นมาใหม่ได้ตั้งแต่วันนี้