รัฐคุมทุกย่างก้าว! บังคับใช้ ‘ภาษีคาร์บอนส่วนตัว’
- ภาพรวมนโยบายภาษีคาร์บอนและผลกระทบที่กำลังจะมาถึง
- เจาะลึกนโยบายภาษีคาร์บอน: กลไกแห่งการเปลี่ยนแปลง
- พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: เครื่องมือควบคุมฉบับสมบูรณ์
- การเผชิญหน้ากับมาตรฐานสากล: CBAM และความท้าทายของผู้ประกอบการไทย
- ผลกระทบในวงกว้าง: จากราคาสินค้าสู่การปรับตัวของธุรกิจ
- บทสรุป: ทิศทางอนาคตภายใต้นโยบายภาษีคาร์บอน
นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมกำลังจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อรัฐบาลเตรียมการบังคับใช้ ‘ภาษีคาร์บอนส่วนตัว’ อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทุกกิจกรรมทางเศรษฐกิจตั้งแต่การผลิตไปจนถึงการบริโภค การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้มีเป้าหมายเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและรับมือกับภาวะโลกร้อน แต่ในขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดคำถามถึงการควบคุมและภาระค่าใช้จ่ายที่จะเพิ่มขึ้นสำหรับประชาชนและผู้ประกอบการ
ภาพรวมประเด็นสำคัญเกี่ยวกับนโยบายภาษีคาร์บอน
- การเริ่มบังคับใช้: ประเทศไทยจะเริ่มใช้นโยบายภาษีคาร์บอนอย่างเป็นทางการในปี 2025 โดยมุ่งเป้าไปที่สินค้าน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นกลุ่มแรก ด้วยอัตราเริ่มต้น 200 บาทต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์
- กฎหมายรองรับ: ร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change Act) จะเป็นเครื่องมือทางกฎหมายหลักที่ครอบคลุมกลไกต่างๆ เช่น ระบบซื้อขายสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ETS) และคาร์บอนเครดิต
- การปรับตัวรับมาตรฐานสากล: นโยบายนี้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM) ของสหภาพยุโรป ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อภาคการส่งออกของไทย
- ผลกระทบทางเศรษฐกิจ: ผู้บริโภคและผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่ม SME จะต้องเผชิญกับต้นทุนสินค้าและบริการที่สูงขึ้น ซึ่งจำเป็นต้องมีการวางแผนและปรับตัวอย่างเร่งด่วน
ภาพรวมนโยบายภาษีคาร์บอนและผลกระทบที่กำลังจะมาถึง
การบังคับใช้ ‘ภาษีคาร์บอนส่วนตัว’ ถือเป็นก้าวย่างสำคัญของนโยบายสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย ซึ่งสะท้อนถึงความพยายามในการจัดการปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเป็นรูปธรรม นโยบายนี้ไม่ได้เป็นเพียงมาตรการจัดเก็บภาษีรูปแบบใหม่ แต่เป็นกลไกเชิงระบบที่ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทั้งในระดับบุคคลและภาคอุตสาหกรรม โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศและบรรเทาผลกระทบจากภาวะโลกร้อน
ความสำคัญของนโยบายนี้ทวีความชัดเจนขึ้นเมื่อพิจารณาถึงบริบทโลกที่กำลังมุ่งสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหภาพยุโรป ได้เริ่มนำมาตรการทางการค้าที่เชื่อมโยงกับประเด็นสิ่งแวดล้อมมาบังคับใช้ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อประเทศคู่ค้าอย่างไทย ดังนั้น การเตรียมความพร้อมผ่านการออกกฎหมายและนโยบายภายในประเทศจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันและสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ย่อมมาพร้อมกับความท้าทาย ผู้บริโภคจะต้องเผชิญกับราคาสินค้าและบริการที่อาจปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ผู้ประกอบการจำเป็นต้องลงทุนเพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น นโยบายนี้จึงเปรียบเสมือนการส่งสัญญาณที่ชัดเจนจากภาครัฐว่า “คาร์บอน” คือต้นทุนที่ทุกคนต้องร่วมกันรับผิดชอบ
เจาะลึกนโยบายภาษีคาร์บอน: กลไกแห่งการเปลี่ยนแปลง
เพื่อทำความเข้าใจถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น จำเป็นต้องพิจารณารายละเอียดของนโยบายภาษีคาร์บอนและกลไกที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการกำกับดูแลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอนาคต
ภาษีคาร์บอนคืออะไร และเหตุใดจึงมีความสำคัญ
ภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) คือภาษีที่จัดเก็บจากกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ สู่ชั้นบรรยากาศ โดยมีหลักการพื้นฐานคือ “ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย” (Polluter Pays Principle) ซึ่งหมายความว่าผู้ที่สร้างผลกระทบทางลบต่อสิ่งแวดล้อมจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบต้นทุนทางสังคมที่เกิดขึ้นจากการกระทำนั้น
วัตถุประสงค์หลักของภาษีคาร์บอนไม่ใช่การหารายได้เข้ารัฐเป็นเป้าหมายสูงสุด แต่เป็นการใช้เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้ผลิตและผู้บริโภคลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและหันไปหาพลังงานสะอาดหรือเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เมื่อการปล่อยคาร์บอนมีต้นทุนที่สูงขึ้น ภาคธุรกิจจะถูกกระตุ้นให้ค้นหานวัตกรรมเพื่อลดการปล่อยมลพิษในกระบวนการผลิต ขณะที่ผู้บริโภคก็จะพิจารณาเลือกซื้อสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ความสำคัญของกลไกนี้จึงอยู่ที่การส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในระดับโครงสร้างของเศรษฐกิจ
จุดเริ่มต้นการบังคับใช้ในประเทศไทย
สำหรับประเทศไทย การบังคับใช้นโยบายภาษีคาร์บอนจะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในปี 2025 โดยรัฐบาลได้กำหนดให้กลุ่มสินค้าน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งรวมถึงน้ำมันดีเซลและเบนซิน เป็นกลุ่มเป้าหมายแรกในการนำร่องนโยบายนี้ เหตุผลที่เลือกกลุ่มน้ำมันเชื้อเพลิงก่อน เนื่องจากเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญและสามารถคำนวณปริมาณการปล่อยคาร์บอนได้ค่อนข้างแม่นยำ
รูปแบบการจัดเก็บภาษีจะใช้วิธีการเพิ่มเข้าไปในโครงสร้างภาษีสรรพสามิตที่มีอยู่เดิม ซึ่งเป็นแนวทางที่สะดวกต่อการบริหารจัดการ อัตราภาษีที่กำหนดไว้ในเบื้องต้นอยู่ที่ประมาณ 200 บาทต่อเมตริกตันของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมา ซึ่งหมายความว่าราคาน้ำมันหน้าปั๊มจะปรับตัวสูงขึ้นตามสัดส่วนของคาร์บอนที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงชนิดนั้นๆ แม้ว่าอัตราเริ่มต้นอาจยังไม่สูงมากนัก แต่ก็ถือเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงทิศทางนโยบายในอนาคตที่ต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมจะถูกนำมาคำนวณในราคาสินค้าอย่างเป็นระบบ
พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: เครื่องมือควบคุมฉบับสมบูรณ์
การเก็บภาษีคาร์บอนเป็นเพียงส่วนหนึ่งของภาพใหญ่ ภาครัฐกำลังผลักดันร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change Act) เพื่อสร้างกรอบกฎหมายที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพในการจัดการปัญหาการปล่อยคาร์บอนอย่างยั่งยืน กฎหมายฉบับนี้จะนำเสนอกลไกที่หลากหลายเพื่อควบคุมและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทุกภาคส่วน
ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ไม่ได้เป็นเพียงกฎหมาย แต่คือพิมพ์เขียวของการเปลี่ยนผ่านประเทศสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ซึ่งจะกำหนดทิศทางการดำเนินธุรกิจและการใช้ชีวิตของผู้คนในทศวรรษหน้า
ระบบซื้อขายสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ETS)
หนึ่งในกลไกสำคัญที่สุดภายใต้ร่าง พ.ร.บ. คือ ระบบการจัดสรรสิทธิการปล่อยคาร์บอน หรือ Emissions Trading Scheme (ETS) ซึ่งเป็นระบบที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในหลายประเทศ หลักการทำงานของ ETS คือ ภาครัฐจะกำหนดเพดานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยรวมสำหรับภาคอุตสาหกรรมที่ถูกควบคุม จากนั้นจะจัดสรร “สิทธิ” หรือใบอนุญาตในการปล่อยคาร์บอนให้กับบริษัทต่างๆ ภายในภาคอุตสาหกรรมนั้น
บริษัทที่สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้ต่ำกว่าสิทธิที่ได้รับ จะมีสิทธิส่วนเกินเหลืออยู่ ซึ่งสามารถนำไป “ขาย” ในตลาดคาร์บอนให้กับบริษัทอื่นที่ปล่อยคาร์บอนเกินกว่าสิทธิที่ตนเองมีได้ กลไกตลาดนี้จะสร้างแรงจูงใจทางการเงินให้บริษัทลงทุนในเทคโนโลยีสะอาดเพื่อลดการปล่อยมลพิษ เพราะการลดคาร์บอนไม่ได้ช่วยแค่ลดต้นทุน แต่ยังสามารถสร้างรายได้จากการขายสิทธิได้อีกด้วย ETS จึงเป็นเครื่องมือที่ใช้กลไกตลาดในการค้นหาวิธีลดคาร์บอนที่มีต้นทุนต่ำที่สุดและมีประสิทธิภาพสูงสุด
กลไกคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจ
นอกเหนือจากระบบบังคับอย่าง ETS แล้ว ร่างกฎหมายยังสนับสนุนกลไกคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจ (Voluntary Carbon Market) ด้วย คาร์บอนเครดิตคือหน่วยวัดที่แสดงถึงการลดหรือกักเก็บก๊าซเรือนกระจกได้ 1 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งเกิดจากโครงการต่างๆ เช่น การปลูกป่า, การผลิตพลังงานหมุนเวียน, หรือการปรับปรุงประสิทธิภาพพลังงาน
องค์กรหรือบริษัทที่ต้องการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนเอง สามารถซื้อคาร์บอนเครดิตจากโครงการเหล่านี้เพื่อนำไปหักลบกับปริมาณคาร์บอนที่ปล่อยออกมาได้ กลไกนี้ช่วยส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจที่มีความยากลำบากในการลดคาร์บอนจากกระบวนการผลิตโดยตรง สามารถมีส่วนร่วมในการลดผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศผ่านการสนับสนุนโครงการอื่นได้
กองทุนสนับสนุนเทคโนโลยีสะอาดเพื่ออนาคต
เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างราบรื่นและไม่สร้างภาระให้แก่ผู้ประกอบการมากเกินไป ร่าง พ.ร.บ. ยังได้เสนอให้มีการจัดตั้งกองทุนเพื่อสนับสนุนเทคโนโลยีสะอาด ชุมชน และธุรกิจสีเขียว (Green Fund) กองทุนนี้จะมีหน้าที่ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่โครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ ส่งเสริมการลงทุนในพลังงานสะอาด และช่วยเหลือผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่ม SME ในการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรหรือกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดอุปสรรคด้านเงินทุนและเร่งให้เกิดการปรับตัวในวงกว้าง
Thailand CBAM: เกราะป้องกันการค้าในยุคคาร์บอน
อีกหนึ่งมาตรการที่น่าจับตามองคือ การเตรียมความพร้อมสำหรับมาตรการปรับคาร์บอนข้ามพรมแดนของไทย (Thailand CBAM) ซึ่งเป็นการออกแบบนโยบายเพื่อรับมือกับมาตรการ CBAM ของสหภาพยุโรป โดยมีเป้าหมายเพื่อป้องกันไม่ให้สินค้าจากต่างประเทศที่ไม่มีต้นทุนด้านคาร์บอนเข้ามาแข่งขันกับสินค้าในประเทศที่ต้องแบกรับภาระภาษีคาร์บอน ซึ่งจะช่วยรักษาความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตในประเทศและป้องกันปัญหา “การรั่วไหลของคาร์บอน” (Carbon Leakage) ที่ภาคอุตสาหกรรมอาจย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่ไม่มีกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด
การเผชิญหน้ากับมาตรฐานสากล: CBAM และความท้าทายของผู้ประกอบการไทย
การขับเคลื่อนนโยบายคาร์บอนของไทยไม่ได้เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว แต่เป็นผลโดยตรงจากแรงกดดันของมาตรฐานสากล โดยเฉพาะมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism หรือ CBAM) ของสหภาพยุโรป ซึ่งกำลังจะเริ่มบังคับใช้อย่างถาวรในปี 2026
CBAM คือมาตรการที่กำหนดให้ผู้นำเข้าสินค้าบางประเภทมายังสหภาพยุโรป ต้องซื้อ “ใบรับรอง CBAM” ตามปริมาณคาร์บอนที่ปล่อยออกมาในกระบวนการผลิตสินค้านั้นๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเป็นธรรมทางการค้าและป้องกันไม่ให้ความพยายามในการลดโลกร้อนของ EU ถูกบั่นทอนจากการนำเข้าสินค้าที่ผลิตในประเทศที่ไม่มีนโยบายควบคุมคาร์บอนที่เข้มงวดเท่าเทียมกัน นี่จึงเป็นความท้าทายโดยตรงสำหรับผู้ส่งออกไทยที่ต้องการรักษาตลาดในยุโรปไว้
เปรียบเทียบอัตราภาษีคาร์บอน: ไทย vs. สหภาพยุโรป
แม้ว่าประเทศไทยจะเริ่มเดินหน้าเก็บภาษีคาร์บอนแล้ว แต่เมื่อเปรียบเทียบกับมาตรฐานสากลยังคงมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ อัตราภาษีของไทยที่ตั้งไว้เบื้องต้นที่ 200 บาทต่อตันคาร์บอนนั้น ถือว่ายังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ ขณะที่ราคาคาร์บอนในระบบ ETS ของสหภาพยุโรปมีความผันผวนและเคยพุ่งสูงถึงประมาณ 2,700 บาทต่อตันคาร์บอน
ความแตกต่างนี้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายสองด้าน ในแง่หนึ่ง อัตราที่ต่ำอาจช่วยลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ในอีกแง่หนึ่ง กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้แสดงความเห็นว่าอัตราดังกล่าวยังต่ำเกินไปที่จะสร้างแรงจูงใจให้เกิดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วพอ ซึ่งอาจทำให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศได้ช้าลง
ภูมิภาค/ประเทศ | กลไก | อัตรา/ราคาต่อตันคาร์บอน (โดยประมาณ) |
---|---|---|
ประเทศไทย (เริ่มต้นปี 2025) | ภาษีคาร์บอน (ในภาษีสรรพสามิตน้ำมัน) | ~200 บาท |
สหภาพยุโรป | ระบบซื้อขายสิทธิ (EU ETS) | ~2,700 บาท (อาจมีความผันผวน) |
ผลกระทบในวงกว้าง: จากราคาสินค้าสู่การปรับตัวของธุรกิจ
นโยบายภาษีคาร์บอนและมาตรการที่เกี่ยวข้องจะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างและครอบคลุมทุกมิติของเศรษฐกิจ ตั้งแต่ระดับครัวเรือนไปจนถึงภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ การเปลี่ยนแปลงนี้ถือเป็นการกำกับดูแลที่เข้มข้นขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อต้นทุนการผลิตและค่าครองชีพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผลกระทบโดยตรงต่อผู้บริโภคและค่าครองชีพ
เมื่อมีการเก็บภาษีคาร์บอนจากน้ำมันเชื้อเพลิง ผลกระทบแรกที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือราคาขายปลีกน้ำมันที่สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชน แต่ผลกระทบไม่ได้หยุดอยู่เพียงเท่านี้ เนื่องจากน้ำมันเป็นต้นทุนพื้นฐานของภาคการขนส่ง ต้นทุนการขนส่งสินค้าที่สูงขึ้นจะถูกส่งผ่านไปยังราคาสินค้าอุปโภคบริโภคแทบทุกชนิด ตั้งแต่สินค้าเกษตรไปจนถึงสินค้าในร้านสะดวกซื้อ ทำให้ภาระค่าครองชีพโดยรวมปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย
ความท้าทายและการเตรียมความพร้อมสำหรับผู้ประกอบการ SME
สำหรับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ถือเป็นกลุ่มที่ต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างมาก เนื่องจากมีข้อจำกัดด้านเงินทุนและเทคโนโลยีมากกว่าบริษัทขนาดใหญ่ ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นจากค่าพลังงานและค่าขนส่งจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไร นอกจากนี้ ธุรกิจที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของการส่งออกไปยังยุโรป จะต้องเผชิญกับแรงกดดันในการเปิดเผยข้อมูลการปล่อยคาร์บอนและปรับปรุงกระบวนการผลิตให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล
ดังนั้น การเตรียมความพร้อมจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ผู้ประกอบการ SME จำเป็นต้องเริ่มศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการเหล่านี้, ประเมินการปล่อยคาร์บอนของตนเอง, และมองหาแนวทางในการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานหรือลงทุนในเทคโนโลยีสะอาด เพื่อลดต้นทุนด้านภาษีและรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว
บทสรุป: ทิศทางอนาคตภายใต้นโยบายภาษีคาร์บอน
การบังคับใช้ ‘ภาษีคาร์บอนส่วนตัว’ และมาตรการที่เกี่ยวข้องภายใต้ร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นการยืนยันถึงทิศทางที่ชัดเจนของประเทศไทยในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ นโยบายเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่กระบวนการผลิตไปจนถึงการบริโภคขั้นสุดท้าย โดยมีเป้าหมายเพื่อตอบสนองต่อพันธสัญญาระหว่างประเทศและลดผลกระทบจากภาวะโลกร้อน
แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะมาพร้อมกับความท้าทายในเรื่องของต้นทุนและค่าครองชีพที่สูงขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างโอกาสใหม่ๆ ในการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีสะอาด ส่งเสริมการลงทุนในธุรกิจสีเขียว และยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศในเวทีการค้าโลกที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้น การปรับตัวและเตรียมความพร้อมของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน จึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำพาประเทศไทยให้ผ่านช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ไปได้อย่างราบรื่นและยั่งยืน