“`html

รัฐจ่อเลิกเงินสด? อนาคตเงินดิจิทัลในมือคนไทย

สารบัญ

ภูมิทัศน์ทางการเงินของประเทศไทยกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เมื่อภาครัฐส่งสัญญาณปรับทิศทางนโยบายจากการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นผ่านการแจกเงินดิจิทัล ไปสู่การวางรากฐานโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินสำหรับอนาคตผ่านการพัฒนา เงินบาทดิจิทัล หรือ Central Bank Digital Currency (CBDC) การเปลี่ยนแปลงนี้ก่อให้เกิดคำถามสำคัญว่า รัฐจ่อเลิกเงินสด? อนาคตเงินดิจิทัลในมือคนไทย จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร และจะส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของประชาชนและระบบเศรษฐกิจในภาพรวมอย่างไรบ้าง

ประเด็นสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคเงินดิจิทัล

  • การทบทวนนโยบายแจกเงินดิจิทัล: รัฐบาลมีแนวโน้มที่จะยุติโครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทในเฟสที่เหลือ เพื่อนำงบประมาณไปใช้ในโครงการลงทุนที่มีความยั่งยืนและส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในระยะยาว
  • มุ่งพัฒนาเงินบาทดิจิทัล (CBDC): ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำลังเดินหน้าพัฒนาเงินบาทดิจิทัลอย่างจริงจัง โดยมุ่งเน้นการสร้างสกุลเงินดิจิทัลที่มีเสถียรภาพ ปลอดภัย และออกโดยธนาคารกลาง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในระบบการเงิน
  • ผลกระทบที่จำกัดของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ: ผลการประเมินโครงการแจกเงินในอดีตชี้ว่าสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในวงจำกัด เนื่องจากเม็ดเงินส่วนใหญ่มิได้ถูกนำไปใช้เพื่อการบริโภคใหม่ แต่เป็นการชำระหนี้สินเดิม
  • อนาคตคือสกุลเงินดิจิทัลที่ควบคุมโดยรัฐ: แม้ว่าเงินดิจิทัลจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการใช้จ่ายของคนไทยมากขึ้น แต่รูปแบบที่มีแนวโน้มจะถูกนำมาใช้ในวงกว้างคือเงินบาทดิจิทัลที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ธปท. ไม่ใช่คริปโทเคอร์เรนซีของภาคเอกชน

ทิศทางใหม่ของนโยบายการเงินดิจิทัลในประเทศไทย

แนวคิดเกี่ยวกับคำถามที่ว่า รัฐจ่อเลิกเงินสด? อนาคตเงินดิจิทัลในมือคนไทย กำลังเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนขึ้น จากการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายของรัฐบาลที่กำลังพิจารณายุติโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น และหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบนิเวศทางการเงินดิจิทัลที่ยั่งยืน การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่เป็นผลมาจากการประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างรอบด้าน รวมถึงการมองภาพอนาคตของเศรษฐกิจไทยในบริบทของโลกที่กำลังก้าวสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว การตัดสินใจดังกล่าวสะท้อนถึงการปรับกระบวนทัศน์จากการแก้ปัญหาระยะสั้นไปสู่การสร้างความแข็งแกร่งให้แก่โครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว

เหตุผลเบื้องหลังการทบทวนนโยบาย

การทบทวนนโยบายแจกเงินดิจิทัลมีปัจจัยสำคัญหลายประการประกอบกัน ประการแรกคือผลการประเมินที่ชี้ว่าโครงการดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) เพียงเล็กน้อยประมาณ 0.3% ซึ่งถือว่าไม่สูงนักเมื่อเทียบกับงบประมาณที่ใช้ไป เนื่องจากพฤติกรรมการใช้จ่ายของประชาชนส่วนใหญ่มุ่งไปที่การชำระหนี้สินที่มีอยู่เดิมมากกว่าการสร้างอุปสงค์ใหม่ในระบบเศรษฐกิจ ประการที่สองคือ สถานการณ์เศรษฐกิจมหภาคที่เผชิญความท้าทายรอบด้าน ทั้งจากความผันผวนของค่าเงินบาทและสภาวะสงครามการค้าโลก ประกอบกับการที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถืออย่างมูดี้ส์ (Moody’s) ได้ปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตของประเทศไทยสู่ระดับเชิงลบ ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องบริหารจัดการงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการคลังและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน การเปลี่ยนทิศทางจากการแจกเงินไปสู่การลงทุนในโครงการสำคัญ เช่น การพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำ หรือการสร้างเครือข่ายรองรับผู้ว่างงาน จึงเป็นทางเลือกที่คาดว่าจะสร้างประโยชน์ต่อเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืนกว่า

ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องและบทบาทสำคัญ

การขับเคลื่อนนโยบายการเงินดิจิทัลของไทยมีผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหลักหลายภาคส่วน โดยมี ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นหน่วยงานแกนกลางในการวิจัยและพัฒนา เงินบาทดิจิทัล (CBDC) ซึ่งได้เริ่มโครงการทดสอบการใช้งานร่วมกับสถาบันการเงินและหน่วยงานที่ไม่ใช่สถาบันการเงินมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2565 เพื่อประเมินความเป็นไปได้และผลกระทบในมิติต่างๆ ขณะที่รัฐบาลมีบทบาทในการกำหนดกรอบนโยบายมหภาคและจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านนี้ ส่วนภาคเอกชน โดยเฉพาะสถาบันการเงินและบริษัทเทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech) จะเป็นผู้เล่นสำคัญในการพัฒนานวัตกรรมและบริการที่ต่อยอดจากโครงสร้างพื้นฐานของเงินบาทดิจิทัล เพื่อนำเสนอโซลูชันการชำระเงินที่สะดวกและปลอดภัยให้กับประชาชนและภาคธุรกิจ ท้ายที่สุด ประชาชนทุกคนคือผู้ที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงและเป็นผู้ใช้งานเทคโนโลยีนี้ ซึ่งจำเป็นต้องมีการเตรียมความพร้อมและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น

ทำความเข้าใจ: ‘เงินบาทดิจิทัล’ (CBDC) คืออะไร?

ทำความเข้าใจ: 'เงินบาทดิจิทัล' (CBDC) คืออะไร?

ท่ามกลางกระแสของสินทรัพย์ดิจิทัล การทำความเข้าใจในนิยามและลักษณะเฉพาะของ “เงินบาทดิจิทัล” เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้สามารถแยกแยะและเห็นภาพอนาคตทางการเงินของประเทศได้อย่างชัดเจน เงินบาทดิจิทัลไม่ใช่เพียงแค่เงินในแอปพลิเคชันธนาคารหรือ e-Wallet ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน แต่เป็นวิวัฒนาการขั้นต่อไปของเงินตราที่ออกโดยธนาคารกลาง

นิยามและความแตกต่างจากเงินดิจิทัลรูปแบบอื่น

เงินบาทดิจิทัล (Retail CBDC) คือ เงินบาทในรูปแบบดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย และมีมูลค่าเทียบเท่ากับธนบัตรหรือเหรียญกษาปณ์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน สามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย มีสถานะเป็นหนี้สินของธนาคารกลางโดยตรง ซึ่งหมายความว่ามีความมั่นคงและปลอดภัยสูงสุด ต่างจากเงินฝากในธนาคารพาณิชย์ที่เป็นหนี้สินของธนาคารนั้นๆ

เงินบาทดิจิทัล (CBDC) มีสถานะเทียบเท่าเงินสดที่จับต้องได้ แตกต่างโดยสิ้นเชิงจากคริปโทเคอร์เรนซีภาคเอกชนที่มีความผันผวนสูง และแตกต่างจากเงินในบัญชีธนาคารซึ่งเป็นเพียงบันทึกทางบัญชีของสถาบันการเงิน

ความแตกต่างที่สำคัญนี้ทำให้เงินบาทดิจิทัลกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่น่าเชื่อถือ และสามารถเป็นแกนหลักของระบบการชำระเงินในอนาคตได้

ตารางเปรียบเทียบคุณสมบัติของเงินดิจิทัลประเภทต่างๆ กับเงินสด
คุณสมบัติ เงินบาทดิจิทัล (CBDC) เงินสด (ธนบัตร/เหรียญ) คริปโทเคอร์เรนซี (เช่น Bitcoin)
ผู้ออก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบบกระจายศูนย์ (Decentralized)
เสถียรภาพด้านมูลค่า สูงมาก (ผูกกับค่าเงินบาท) สูงมาก ต่ำ (มีความผันผวนสูง)
สถานะทางกฎหมาย ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย
ความปลอดภัย สูง (รับประกันโดยธนาคารกลาง) มีความเสี่ยงจากการสูญหาย/ถูกขโมย มีความเสี่ยงด้านไซเบอร์และการฉ้อโกง
ต้นทุนการทำธุรกรรม ต่ำ มีต้นทุนแฝงในการจัดการและขนส่ง ผันแปรตามความหนาแน่นของเครือข่าย

เป้าหมายหลักของการพัฒนาเงินบาทดิจิทัล

ธปท. วางเป้าหมายในการพัฒนาเงินบาทดิจิทัลไว้หลายมิติ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับระบบการเงินของประเทศให้พร้อมรับมือกับความท้าทายในอนาคต ดังนี้:

  • เพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน: ลดต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการผลิต การจัดเก็บ และการขนส่งเงินสด ซึ่งเป็นต้นทุนมหาศาลในระบบเศรษฐกิจ
  • เป็นทางเลือกในการชำระเงิน: สร้างช่องทางการชำระเงินดิจิทัลที่ปลอดภัยและเข้าถึงได้สำหรับประชาชนทุกคน เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกนอกเหนือจากบริการของภาคเอกชน
  • ส่งเสริมนวัตกรรมทางการเงิน: เงินบาทดิจิทัลจะเป็นแพลตฟอร์มที่เปิดให้ภาคเอกชนสามารถพัฒนาบริการและผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ เช่น การโอนเงินที่สามารถตั้งเงื่อนไขได้ (Programmable Money)
  • เพิ่มความเร็วในการหมุนเวียนของเงิน: การทำธุรกรรมที่รวดเร็วและต้นทุนต่ำจะช่วยเพิ่มอัตราการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจเติบโตได้เร็วขึ้น
  • รองรับเศรษฐกิจดิจิทัล: เตรียมความพร้อมโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของประเทศให้สามารถรองรับการทำธุรกรรมในโลกดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

วิเคราะห์ผลกระทบ: จากนโยบายกระตุ้นระยะสั้นสู่การลงทุนระยะยาว

การเปลี่ยนผ่านจากนโยบายแจกเงินดิจิทัลไปสู่การพัฒนาเงินบาทดิจิทัลสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงมุมมองเชิงกลยุทธ์ของภาครัฐ การตัดสินใจนี้ไม่ได้มองเพียงผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจในไตรมาสถัดไป แต่มองไปถึงความสามารถในการแข่งขันและความมั่นคงของประเทศในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า

บทเรียนจากโครงการดิจิทัลวอลเล็ต

โครงการแจกเงินดิจิทัลในอดีตได้ให้บทเรียนที่สำคัญแก่ผู้กำหนดนโยบาย แม้ว่าโครงการจะมีความตั้งใจที่ดีในการกระตุ้นการบริโภคภาคเอกชน แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงกลับไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้ทั้งหมด ข้อมูลเชิงประจักษ์ชี้ให้เห็นว่าเม็ดเงินส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้ในการชำระหนี้สินเดิม เช่น หนี้บัตรเครดิต หรือหนี้สินเชื่อส่วนบุคคล แทนที่จะเป็นการก่อให้เกิดการใช้จ่ายใหม่ๆ ที่จะช่วยขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ผลกระทบสุทธิต่อ GDP จึงมีอย่างจำกัด การค้นพบนี้ทำให้รัฐบาลต้องประเมินความคุ้มค่าของนโยบายในลักษณะดังกล่าวใหม่ และพิจารณาทางเลือกอื่นที่สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืนและกว้างขวางกว่า

การจัดสรรงบประมาณใหม่เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน

ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจึงมีแนวโน้มที่จะปรับเปลี่ยนการจัดสรรงบประมาณจำนวนมากที่เคยเตรียมไว้สำหรับโครงการแจกเงิน ไปสู่การลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในระยะยาว ตัวอย่างเช่น การลงทุนในระบบบริหารจัดการน้ำเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสนับสนุนภาคเกษตรกรรม หรือการสร้างระบบรองรับและพัฒนาทักษะแรงงานสำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี การลงทุนในลักษณะนี้แม้จะไม่ได้สร้างผลตอบแทนที่รวดเร็วเหมือนการอัดฉีดเงินเพื่อการบริโภค แต่จะสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตต่อไปได้อย่างมั่นคง

สังคมไร้เงินสด: โอกาส และความท้าทายข้างหน้า

การมาถึงของเงินบาทดิจิทัลจะเป็นตัวเร่งสำคัญที่ผลักดันให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมไร้เงินสด (Cashless Society) อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งจะนำมาซึ่งโอกาสมหาศาล แต่ในขณะเดียวกันก็มีความท้าทายที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันเผชิญและหาทางแก้ไข

ประโยชน์ในมิติต่างๆ

การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมที่ใช้เงินดิจิทัลเป็นหลักมีข้อดีหลายประการ ทั้งในระดับบุคคล ภาคธุรกิจ และระดับประเทศ สำหรับประชาชนทั่วไป จะได้รับความสะดวกสบายและความปลอดภัยในการทำธุรกรรมที่เพิ่มขึ้น ไม่ต้องพกพาเงินสดจำนวนมาก ลดความเสี่ยงจากการสูญหายหรือการปลอมแปลง สำหรับภาคธุรกิจ จะช่วยลดต้นทุนในการจัดการเงินสด เพิ่มประสิทธิภาพในการรับชำระเงิน และสามารถเข้าถึงข้อมูลการซื้อขายเพื่อนำไปวิเคราะห์ต่อยอดทางธุรกิจได้ ในระดับมหภาค สังคมไร้เงินสดจะช่วยเพิ่มความโปร่งใสในระบบเศรษฐกิจ ลดปัญหาเศรษฐกิจนอกระบบและการทุจริตคอร์รัปชัน รวมถึงช่วยให้ภาครัฐสามารถดำเนินนโยบายการคลังและการเงินได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ความเสี่ยงและประเด็นที่ต้องพิจารณา

อย่างไรก็ตาม การก้าวสู่สังคมไร้เงินสดอย่างเต็มตัวก็มีประเด็นที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ประเด็นแรกคือ ความเท่าเทียมในการเข้าถึง (Digital Divide) ซึ่งต้องแน่ใจว่าประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล หรือผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟน สามารถเข้าถึงและใช้งานเงินบาทดิจิทัลได้โดยไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ประเด็นที่สองคือ ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (Data Privacy) เนื่องจากการทำธุรกรรมผ่านระบบดิจิทัลสามารถถูกตรวจสอบย้อนหลังได้ จึงต้องมีกฎหมายและกลไกที่เข้มแข็งในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชน ประเด็นสุดท้ายคือ ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity) ระบบการเงินดิจิทัลจำเป็นต้องมีมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดเพื่อป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ที่อาจสร้างความเสียหายเป็นวงกว้างได้

การเตรียมความพร้อมของคนไทยสู่เศรษฐกิจดิจิทัลเต็มรูปแบบ

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ต้องการการเตรียมความพร้อมจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นผู้พัฒนานโยบาย ภาคเอกชน หรือประชาชนทั่วไป เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างราบรื่นและเกิดประโยชน์สูงสุด

บทบาทของเทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech)

การเกิดขึ้นของเงินบาทดิจิทัลจะเปรียบเสมือนการเปิดประตูสู่ยุคใหม่ของนวัตกรรมทางการเงิน บริษัท FinTech จะมีบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์บริการและแอปพลิเคชันที่ทำงานบนโครงสร้างพื้นฐานนี้ ไม่ว่าจะเป็นระบบการชำระเงินรูปแบบใหม่ๆ บริการสินเชื่อที่วิเคราะห์ข้อมูลได้แม่นยำขึ้น หรือแม้กระทั่งการสร้างสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) ที่ดำเนินการโอนเงินได้โดยอัตโนมัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ล่วงหน้า นวัตกรรมเหล่านี้จะช่วยเพิ่มการแข่งขันในภาคการเงินและส่งผลให้ผู้บริโภคได้รับบริการที่ดีขึ้นในราคาที่ถูกลง

สิ่งที่ประชาชนและภาคธุรกิจต้องปรับตัว

สำหรับประชาชน การเตรียมความพร้อมที่สำคัญที่สุดคือการพัฒนา ทักษะความเข้าใจและการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Literacy) ซึ่งรวมถึงการเรียนรู้วิธีการใช้งานแอปพลิเคชันทางการเงินอย่างปลอดภัย การตระหนักถึงความเสี่ยงจากการหลอกลวงออนไลน์ และการบริหารจัดการการเงินส่วนบุคคลในโลกดิจิทัล ในส่วนของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) จำเป็นต้องปรับตัวโดยการนำระบบรับชำระเงินแบบดิจิทัลมาใช้ เพื่อตอบสนองต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป และเพื่อใช้ประโยชน์จากข้อมูลการทำธุรกรรมในการวางแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น การปรับตัวเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ แต่ยังเป็นการเปิดโอกาสใหม่ๆ ในเศรษฐกิจดิจิทัลอีกด้วย

บทสรุป: ก้าวต่อไปของอนาคตการเงินไทย

การตัดสินใจของรัฐบาลในการเปลี่ยนทิศทางจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นมาสู่การลงทุนพัฒนาระบบเงินบาทดิจิทัล ถือเป็นก้าวที่สำคัญและมองการณ์ไกล แม้ว่าการเปลี่ยนผ่านนี้อาจต้องใช้เวลาและเผชิญกับความท้าทายหลายประการ แต่นี่คือการวางรากฐานที่จำเป็นสำหรับอนาคตของเศรษฐกิจไทยในยุคดิจิทัล การสร้างระบบการเงินที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และเข้าถึงได้สำหรับทุกคน จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยในระยะยาว

อนาคตของเงินดิจิทัลในมือคนไทยกำลังจะเปลี่ยนจากรูปแบบของสิทธิประโยชน์ชั่วคราวไปสู่เครื่องมือทางการเงินพื้นฐานในชีวิตประจำวัน การติดตามความคืบหน้าของโครงการเงินบาทดิจิทัลอย่างใกล้ชิดจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนไทยทุกคน เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในระบบเศรษฐกิจและการเงินของประเทศที่จะมาถึงในไม่ช้า

“`