“`html
เงินสดจะหายไป? เตรียมใช้ ‘เงินบาทดิจิทัล’ ทั่วไทย
ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทในทุกมิติของชีวิต คำถามที่ว่า เงินสดจะหายไป? เตรียมใช้ ‘เงินบาทดิจิทัล’ ทั่วไทย กำลังจะกลายเป็นความจริงในไม่ช้า เมื่อธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประกาศแผนการพัฒนาและทดลองใช้สกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง หรือ Central Bank Digital Currency (CBDC) ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบการเงินและวิถีชีวิตของคนไทยทุกคน การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ไม่ได้เป็นเพียงการยกระดับความสะดวกสบายในการทำธุรกรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศสู่เศรษฐกิจดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ เงินบาทดิจิทัลจึงเป็นมากกว่าแค่เงินในรูปแบบใหม่ แต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินแห่งอนาคตที่จะกำหนดทิศทางเศรษฐกิจของประเทศในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า
ภาพรวมของการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคเงินบาทดิจิทัล
การเปลี่ยนผ่านจากเงินสดสู่เงินดิจิทัลเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก และประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่กำลังก้าวไปในทิศทางนั้นอย่างชัดเจน การพัฒนาเงินบาทดิจิทัลคือการตอบสนองต่อแนวโน้มดังกล่าว โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างระบบการชำระเงินที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และเข้าถึงได้ง่ายสำหรับทุกคน
- เงินบาทดิจิทัลเป็นสกุลเงินที่ออกโดยตรงจากธนาคารแห่งประเทศไทย: มีสถานะเทียบเท่าเงินสด (ธนบัตรและเหรียญ) ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน มีความน่าเชื่อถือและมั่นคงทางกฎหมายสูงสุด แตกต่างจากคริปโทเคอร์เรนซีทั่วไปที่ออกโดยภาคเอกชน
- เป้าหมายคือการเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน: การจัดการเงินสดมีต้นทุนที่สูง ทั้งในด้านการผลิต การขนส่ง และการดูแลรักษา เงินบาทดิจิทัลจะช่วยลดต้นทุนเหล่านี้และทำให้ระบบเศรษฐกิจโดยรวมมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ขับเคลื่อนประเทศสู่สังคมไร้เงินสดอย่างเต็มตัว: การมาถึงของเงินบาทดิจิทัลจะเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้คน ทำให้การทำธุรกรรมผ่านช่องทางดิจิทัลกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ และลดการพึ่งพาเงินสดลงอย่างมีนัยสำคัญ
- เป็นโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่สำคัญ: เงินบาทดิจิทัลจะเป็นรากฐานสำหรับการพัฒนานวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ ในอนาคต เปิดโอกาสให้ผู้ให้บริการสามารถสร้างสรรค์บริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างหลากหลายและรวดเร็วยิ่งขึ้น
- การทดลองใช้จะเริ่มในวงจำกัดก่อนขยายสู่สาธารณะ: ธปท. มีแผนการดำเนินงานที่รอบคอบ โดยเริ่มทดสอบระบบกับสถาบันการเงินและผู้เข้าร่วมในวงจำกัด (Pilot Test) เพื่อประเมินผลกระทบและปรับปรุงระบบก่อนที่จะเปิดให้ประชาชนทั่วไปได้ใช้งานในวงกว้าง
เงินบาทดิจิทัล (CBDC) คืออะไรและทำงานอย่างไร
การทำความเข้าใจแนวคิดพื้นฐานของเงินบาทดิจิทัลเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้สามารถเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นได้อย่างถูกต้อง สกุลเงินรูปแบบใหม่นี้มีทั้งความเหมือนและความแตกต่างจากเงินที่คุ้นเคย ซึ่งล้วนมีผลต่อวิธีการใช้งานและความปลอดภัย
คำจำกัดความของเงินบาทดิจิทัล
เงินบาทดิจิทัล หรือ Retail CBDC คือ สกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย มีมูลค่าเทียบเท่ากับเงินบาทที่ใช้ในปัจจุบันแบบ 1:1 กล่าวคือ 1 บาทดิจิทัล มีค่าเท่ากับ 1 บาทเสมอ ทำให้ไม่มีความผันผวนของมูลค่าเหมือนสกุลเงินคริปโตอื่นๆ เช่น Bitcoin หรือ Ethereum เงินบาทดิจิทัลจึงถูกออกแบบมาเพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการชำระค่าสินค้าและบริการในชีวิตประจำวัน (Medium of Exchange) แทนที่หรือใช้ควบคู่ไปกับธนบัตรและเหรียญกษาปณ์
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างเงินบาทดิจิทัลกับเงินฝากในบัญชีธนาคารพาณิชย์ คือ เงินบาทดิจิทัลเป็นหนี้สินของธนาคารกลางโดยตรง ในขณะที่เงินฝากธนาคารเป็นหนี้สินของธนาคารพาณิชย์นั้นๆ ซึ่งหมายความว่าเงินบาทดิจิทัลมีความเสี่ยงด้านเครดิตเป็นศูนย์ เพราะได้รับการค้ำประกันโดยตรงจากธนาคารแห่งประเทศไทย
เทคโนโลยีบล็อกเชน: หัวใจสำคัญของความปลอดภัย
เบื้องหลังการทำงานของเงินบาทดิจิทัลคือเทคโนโลยีบัญชีแยกประเภทแบบกระจายศูนย์ (Distributed Ledger Technology: DLT) หรือที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในชื่อ “บล็อกเชน” (Blockchain) เทคโนโลยีนี้ช่วยให้การทำธุรกรรมทางการเงินมีความปลอดภัย โปร่งใส และรวดเร็วยิ่งขึ้น
หลักการทำงานของบล็อกเชนคือการบันทึกข้อมูลธุรกรรมลงใน “บล็อก” (Block) ที่เชื่อมต่อกันเป็น “โซ่” (Chain) อย่างต่อเนื่อง ทุกธุรกรรมจะถูกเข้ารหัสและตรวจสอบความถูกต้องโดยเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เข้าร่วม ทำให้การปลอมแปลงหรือแก้ไขข้อมูลย้อนหลังทำได้ยากมาก เทคโนโลยีนี้จึงช่วยสร้างความมั่นใจว่าทุกการใช้จ่ายผ่านเงินบาทดิจิทัลจะถูกบันทึกอย่างถูกต้องและปลอดภัย ลดความเสี่ยงจากการฉ้อโกงและเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้งาน
เป้าหมายหลักในการพัฒนาโดยธนาคารแห่งประเทศไทย
ธนาคารแห่งประเทศไทยได้กำหนดวัตถุประสงค์หลักในการพัฒนาเงินบาทดิจิทัลไว้หลายประการ โดยมุ่งเน้นการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของประเทศให้ทันสมัยและตอบโจทย์ความต้องการในยุคดิจิทัล:
- เพิ่มทางเลือกในการเข้าถึงเงินดิจิทัลที่ปลอดภัย: เพื่อให้ประชาชนมีช่องทางในการใช้เงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง ซึ่งมีความน่าเชื่อถือและมั่นคงสูงสุด เป็นทางเลือกเพิ่มเติมจากเงินสดและเงินฝากในธนาคารพาณิชย์
- ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการเงิน: การบริหารจัดการเงินสด ทั้งการพิมพ์ การขนส่ง และการทำลาย มีต้นทุนมหาศาล เงินบาทดิจิทัลจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายเหล่านี้ ทำให้ระบบเศรษฐกิจโดยรวมมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ส่งเสริมนวัตกรรมทางการเงิน: การมีโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินดิจิทัลที่ทันสมัยจะช่วยเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนสามารถพัฒนาบริการและผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ (FinTech) ที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น
- รองรับการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล: เพื่อเตรียมความพร้อมของระบบการเงินไทยให้สามารถรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจบนโลกดิจิทัลที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งในภาคธุรกิจและภาคประชาชน
เปรียบเทียบเงินบาทดิจิทัลกับรูปแบบเงินตราอื่นๆ
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น การเปรียบเทียบคุณสมบัติของเงินบาทดิจิทัลกับเงินในรูปแบบอื่นๆ ที่คุ้นเคย จะช่วยให้เข้าใจถึงบทบาทและจุดเด่นของสกุลเงินดิจิทัลจากธนาคารกลางได้ดียิ่งขึ้น
คุณสมบัติ | เงินบาทดิจิทัล (CBDC) | เงินสด (ธนบัตร/เหรียญ) | เงินฝากธนาคาร (E-Money) | คริปโทเคอร์เรนซี (เช่น Bitcoin) |
---|---|---|---|---|
ผู้ออก | ธนาคารแห่งประเทศไทย | ธนาคารแห่งประเทศไทย | ธนาคารพาณิชย์ | เครือข่ายแบบกระจายศูนย์ (ไม่มีผู้ออกกลาง) |
สถานะทางกฎหมาย | ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย (Legal Tender) | ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย (Legal Tender) | เป็นตัวแทนของเงินฝาก ใช้ชำระหนี้ได้ | ไม่ใช่เงินตราตามกฎหมาย (ในไทย) |
ความเสถียรของมูลค่า | คงที่ (1 บาทดิจิทัล = 1 บาท) | คงที่ | คงที่ | มีความผันผวนสูงมาก |
รูปแบบ | ดิจิทัล 100% | กายภาพ | ดิจิทัล (บันทึกในระบบธนาคาร) | ดิจิทัล 100% (บนบล็อกเชน) |
เทคโนโลยีพื้นฐาน | บล็อกเชน/DLT | – | ระบบฐานข้อมูลแบบรวมศูนย์ | บล็อกเชนสาธารณะ |
ความเสี่ยงหลัก | ความเสี่ยงด้านปฏิบัติการและไซเบอร์ | การสูญหายหรือถูกโจรกรรม | ความเสี่ยงด้านเครดิตของธนาคารพาณิชย์ | ความผันผวนของราคา, การกำกับดูแล, การแฮก |
เส้นทางสู่สังคมไร้เงินสดของประเทศไทย
การพัฒนาเงินบาทดิจิทัลไม่ใช่โครงการที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่เป็นผลมาจากการวางแผนและศึกษาอย่างต่อเนื่องมานานหลายปี โดยมีไทม์ไลน์และขั้นตอนที่ชัดเจนเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและให้ทุกภาคส่วนสามารถปรับตัวได้อย่างราบรื่น
แผนการทดลองและขั้นตอนการนำมาใช้
ธนาคารแห่งประเทศไทยได้แบ่งขั้นตอนการพัฒนาและทดลองใช้ออกเป็นระยะต่างๆ โดยเริ่มต้นจากการทดสอบในระดับพื้นฐาน (Foundation Track) เพื่อประเมินความสามารถของเทคโนโลยีในการรองรับธุรกรรมจำนวนมาก และต่อยอดไปสู่การทดสอบในระดับนวัตกรรม (Innovation Track) เพื่อเปิดให้ภาคเอกชนเข้ามาพัฒนาบริการต่อยอดบนระบบ CBDC
ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2565 ได้เริ่มโครงการทดลองใช้งานในวงจำกัด (Pilot Test) ร่วมกับธนาคารพาณิชย์และผู้ให้บริการที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน เพื่อทดสอบการใช้งานจริงในสถานการณ์ต่างๆ เช่น การจ่าย-โอน-ถอนเงิน การชำระค่าสินค้าและบริการ โดยมีผู้เข้าร่วมทดลองในจำนวนจำกัด การดำเนินการในลักษณะนี้มีจุดประสงค์เพื่อรวบรวมข้อมูล ข้อเสนอแนะ และศึกษาผลกระทบในมิติต่างๆ ก่อนที่จะพิจารณาขยายผลสู่การใช้งานในวงกว้าง (Public Launch) กับประชาชนทั่วไปในอนาคต
การศึกษาและรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณชนเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการพัฒนา เพื่อให้แน่ใจว่าการนำเงินบาทดิจิทัลมาใช้จะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและระบบเศรษฐกิจโดยรวม
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและพฤติกรรมการใช้จ่าย
การเปลี่ยนผ่านสู่การใช้เงินบาทดิจิทัลอย่างแพร่หลายจะส่งผลกระทบเชิงบวกต่อระบบเศรษฐกิจในหลายมิติ ประการแรกคือ การเพิ่มความเร็วในการหมุนเวียนของเงิน (Velocity of Money) เมื่อธุรกรรมสามารถทำได้อย่างรวดเร็วและสะดวกสบายตลอด 24 ชั่วโมง จะช่วยให้เงินเปลี่ยนมือได้เร็วขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้ขยายตัว
นอกจากนี้ ยังช่วยลดต้นทุนแฝงในระบบเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับการใช้เงินสด เช่น ค่าธรรมเนียมการจัดการเงินสดของร้านค้า และเพิ่มความโปร่งใสในการทำธุรกรรม ซึ่งอาจช่วยลดปัญหาเศรษฐกิจนอกระบบและเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษีของภาครัฐในระยะยาว ในด้านพฤติกรรมผู้บริโภค การชำระเงินผ่าน QR Code หรือแอปพลิเคชันจะกลายเป็นเรื่องปกติมากยิ่งขึ้น ลดความจำเป็นในการพกพาเงินสดและบัตรเครดิต
กรณีศึกษา: การยอมรับ Stablecoin อิงเงินบาทในปัจจุบัน
ก่อนที่เงินบาทดิจิทัลของธนาคารกลางจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ภาคเอกชนได้เริ่มมีการพัฒนาและใช้งานสกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าอ้างอิงกับเงินบาท หรือที่เรียกว่า “Stablecoin” กันแล้ว ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ THBX ซึ่งเป็น Stablecoin ที่ผูกมูลค่ากับเงินบาทแบบ 1:1 และเริ่มมีการใช้งานบนแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนำ เช่น Bitkub, Binance TH และ Upbit การเกิดขึ้นของ Stablecoin เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการใช้งานเงินบาทในรูปแบบดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในแวดวงสินทรัพย์ดิจิทัล
ที่น่าสนใจคือ การทดลองนำ THBX มาใช้ในงาน Ethereum Devcon 2024 ที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งผู้เข้าร่วมงานสามารถใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการผ่าน QR Code กับร้านค้ากว่า 100 แห่งได้จริง กรณีศึกษานี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความพร้อมของทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการในการปรับตัวเข้ากับระบบการชำระเงินดิจิทัลรูปแบบใหม่ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีต่อการยอมรับเงินบาทดิจิทัลที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
อนาคตเศรษฐกิจไทยกับการมาถึงของเงินบาทดิจิทัล
การนำเงินบาทดิจิทัลมาใช้ไม่ได้เป็นเพียงโครงการเดี่ยวๆ แต่เป็นส่วนหนึ่งของภาพใหญ่ในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศให้พร้อมรับมือกับความท้าทายและการแข่งขันในโลกยุคใหม่
ส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจดิจิทัล
รัฐบาลไทยกำลังผลักดันนโยบายส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ มีการคาดการณ์ว่ามูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยจะเติบโตสูงถึง 53,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี พ.ศ. 2568 เงินบาทดิจิทัลจึงมีบทบาทเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่สำคัญที่จะเข้ามาสนับสนุนเป้าหมายดังกล่าว
การมีระบบชำระเงินดิจิทัลของประเทศที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับภาคธุรกิจ โดยเฉพาะอีคอมเมิร์ซและบริการดิจิทัลต่างๆ อีกทั้งยังช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศที่ต้องการเข้ามาทำธุรกิจในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำธุรกรรมดิจิทัล
ความท้าทายและความเสี่ยงที่ต้องเผชิญ
แม้ว่าเงินบาทดิจิทัลจะมีประโยชน์มากมาย แต่การนำมาใช้งานจริงก็ยังมีความท้าทายและความเสี่ยงที่ต้องบริหารจัดการอย่างรอบคอบ:
- ความปลอดภัยทางไซเบอร์: ระบบการเงินดิจิทัลย่อมเป็นเป้าหมายของการโจมตีทางไซเบอร์ การสร้างระบบที่มีความปลอดภัยสูงสุดและการป้องกันการแฮกข้อมูลจึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง
- การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล: ธุรกรรมดิจิทัลจะมีการบันทึกข้อมูลจำนวนมาก จึงต้องมีกฎเกณฑ์และมาตรการที่ชัดเจนในการคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน
- การเข้าถึงของประชากรทุกกลุ่ม: ต้องแน่ใจว่าประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล หรือผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟน สามารถเข้าถึงและใช้งานเงินบาทดิจิทัลได้ เพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล (Digital Divide)
- ผลกระทบต่อเสถียรภาพของสถาบันการเงิน: ต้องมีการศึกษาและออกแบบนโยบายอย่างรัดกุม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการโยกย้ายเงินฝากจากธนาคารพาณิชย์ไปยังเงินบาทดิจิทัลอย่างรวดเร็วจนเกินไป ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบธนาคารได้
บทสรุป: การเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตทางการเงิน
คำถามที่ว่า เงินสดจะหายไป? เตรียมใช้ ‘เงินบาทดิจิทัล’ ทั่วไทย อาจยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนว่าเงินสดจะหมดไปเมื่อใด แต่แนวโน้มที่บทบาทของเงินสดจะลดลงเรื่อยๆ นั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ การมาถึงของเงินบาทดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่จะเร่งกระบวนการดังกล่าวให้เร็วขึ้น ด้วยประโยชน์ด้านความสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และต้นทุนที่ต่ำกว่า
การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ชาติในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เศรษฐกิจดิจิทัลอย่างยั่งยืน แม้จะยังมีความท้าทายที่ต้องเผชิญ แต่ด้วยการวางแผนที่รอบคอบและการทดสอบอย่างเป็นขั้นตอน การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคการเงินดิจิทัลเต็มรูปแบบจึงเป็นอนาคตที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า การเตรียมความพร้อมและปรับตัวของทุกภาคส่วน ทั้งประชาชน ผู้ประกอบการ และสถาบันการเงิน จึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำพาประเทศไทยก้าวสู่โลกการเงินแห่งอนาคตได้อย่างมั่นคงและมีประสิทธิภาพ
“`