หมูกรอบไร้หมู! อนาคตอาหารไทยที่คุณต้องรู้
หมูกรอบเป็นหนึ่งในเมนูยอดนิยมที่ฝังรากลึกในวัฒนธรรมอาหารไทยมายาวนาน ด้วยหนังที่กรอบฟูและเนื้อสัมผัสที่ชุ่มฉ่ำ ทำให้หมูกรอบกลายเป็นส่วนประกอบสำคัญในหลากหลายเมนู ตั้งแต่กะเพราหมูกรอบไปจนถึงคะน้าหมูกรอบ อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางกระแสความใส่ใจในสุขภาพและความยั่งยืนที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก วงการอาหารจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ นำไปสู่การพัฒนาทางเลือกใหม่ที่น่าจับตามอง
- หมูกรอบไร้หมูเป็นนวัตกรรมอาหารจากพืช (Plant-based) ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเลียนแบบรสชาติและเนื้อสัมผัสของหมูกรอบแบบดั้งเดิม
- ผลิตภัณฑ์นี้ตอบสนองต่อแนวโน้มการบริโภคเพื่อสุขภาพ โดยมีปริมาณไขมันและแคลอรี่ต่ำกว่า และยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- หมูกรอบจากพืชสามารถนำไปประกอบอาหารไทยยอดนิยมได้หลากหลายเมนู เช่นเดียวกับหมูกรอบที่ทำจากเนื้อสัตว์จริง
- เทรนด์อาหารแห่งอนาคตนี้ไม่เพียงจำกัดอยู่แค่หมูกรอบ แต่ยังรวมถึงเนื้อสัตว์เพาะเลี้ยง (Cultured Meat) ซึ่งกำลังเป็นที่สนใจในระดับโลก
- การเกิดขึ้นของผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อสัตว์เหล่านี้ กำลังจะเข้ามามีบทบาทและอาจเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรมอาหารไทยในอนาคตอันใกล้
หมูกรอบไร้หมู! อนาคตอาหารไทยที่คุณต้องรู้ คือปรากฏการณ์ที่สะท้อนถึงการมาบรรจบกันระหว่างเทคโนโลยีอาหารสมัยใหม่กับความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน นวัตกรรมนี้ไม่ได้เป็นเพียงอาหารทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่บริโภคเนื้อสัตว์เท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงทิศทางของอุตสาหกรรมอาหารที่กำลังมุ่งไปสู่ความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถคงรสชาติและเนื้อสัมผัสอันเป็นเอกลักษณ์ของหมูกรอบไว้ได้โดยปราศจากส่วนประกอบจากสัตว์ ถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญที่อาจเปลี่ยนวิถีการกินของคนไทยไปอย่างสิ้นเชิง
บทความนี้จะพาไปสำรวจทุกแง่มุมของนวัตกรรมหมูกรอบจากพืช ตั้งแต่ที่มาและกระบวนการพัฒนา ไปจนถึงเหตุผลที่ทำให้อาหารแห่งอนาคตชนิดนี้กลายเป็นสิ่งที่ทุกคนในแวดวงอาหารต้องจับตามอง พร้อมทั้งวิเคราะห์ถึงศักยภาพและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับวัฒนธรรมอาหารไทยที่คุ้นเคย การทำความเข้าใจในเรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่การตามกระแส แต่คือการเตรียมพร้อมรับมือกับอนาคตของอาหารที่กำลังเดินทางมาถึงหน้าประตูบ้านของทุกคน
เจาะลึกนวัตกรรมหมูกรอบจากพืช: คืออะไร?
หมูกรอบไร้หมู หรือที่รู้จักกันในชื่อ “หมูกรอบจากพืช” หรือ “Plant-based Crispy Pork” คือผลิตภัณฑ์อาหารที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นโดยใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร เพื่อจำลองลักษณะทางกายภาพ รสชาติ และเนื้อสัมผัสของหมูกรอบที่ทำจากหมูสามชั้นจริง โดยใช้วัตถุดิบจากพืชเป็นหลักทั้งหมด 100% นับเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์จำแลง (Meat Analogue) ซึ่งกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก
คำจำกัดความของอาหารแห่งอนาคต
อาหารแห่งอนาคตในบริบทนี้หมายถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเป็นทางเลือกทดแทนโปรตีนจากสัตว์แบบดั้งเดิม โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แก้ปัญหาด้านสวัสดิภาพสัตว์ และตอบสนองความต้องการด้านสุขภาพของผู้บริโภค หมูกรอบจากพืชจัดอยู่ในหมวดหมู่นี้ โดยมีกระบวนการผลิตที่ซับซ้อน เริ่มจากการคัดเลือกโปรตีนจากพืช เช่น ถั่วเหลือง ถั่วลันเตา หรือเห็ด ซึ่งมีคุณสมบัติในการสร้างเนื้อสัมผัสที่ใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์ จากนั้นจึงนำโปรตีนเหล่านี้มาผ่านกระบวนการแปรรูปด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น High-Moisture Extrusion Cooking (HMEC) เพื่อจัดเรียงโครงสร้างของโปรตีนให้มีลักษณะเป็นเส้นใยคล้ายกล้ามเนื้อสัตว์
ในส่วนของ “หนัง” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของหมูกรอบ จะมีการใช้วัตถุดิบจากพืชชนิดอื่น ๆ เช่น แป้งมันสำปะหลังหรือแป้งจากธัญพืช มาสร้างเป็นชั้นที่สามารถพองตัวและกรอบเมื่อผ่านความร้อน ส่วนของไขมันจะถูกจำลองขึ้นโดยใช้ไขมันพืช เช่น น้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันคาโนลา เพื่อให้ได้ความชุ่มฉ่ำและรสชาติที่คุ้นเคย สุดท้ายคือการปรุงรสด้วยเครื่องปรุงจากธรรมชาติเพื่อเลียนแบบรสชาติของหมูให้ได้มากที่สุด ผลลัพธ์ที่ได้คือผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะเป็นชั้นเนื้อและชั้นไขมันสลับกันคล้ายหมูสามชั้น พร้อมสำหรับนำไปปรุงให้กรอบต่อไป
คุณสมบัติที่โดดเด่น: รสชาติและเนื้อสัมผัส
ความท้าทายที่สำคัญที่สุดในการพัฒนาหมูกรอบจากพืชคือการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ผู้บริโภคแทบแยกไม่ออกจากของจริง ผู้ผลิตหลายรายได้อ้างว่าผลิตภัณฑ์ของตนมีความเหมือนหมูกรอบจริงถึง 90% ทั้งในด้านรูปลักษณ์ภายนอกและประสบการณ์ในการรับประทาน
ด้านเนื้อสัมผัส (Texture): จุดเด่นที่สุดคือความกรอบของชั้นหนังที่ทำจากพืช ซึ่งเมื่อนำไปทอดหรืออบด้วยลมร้อนจะพองฟูและให้เสียง “กร๊อบ” ที่น่ารับประทานไม่ต่างจากหนังหมูจริง ขณะที่ชั้นเนื้อที่ทำจากโปรตีนพืชก็ถูกออกแบบมาให้มีความนุ่มและยืดหยุ่นเล็กน้อย เพื่อสร้างความแตกต่างระหว่างชั้น ทำให้เกิดประสบการณ์การเคี้ยวที่หลากหลายในคำเดียว
ด้านรสชาติ (Flavor): การพัฒนารสชาติเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ มีการใช้เทคโนโลยีการวิเคราะห์องค์ประกอบของกลิ่นและรส (Flavor profiling) เพื่อถอดรหัสว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้หมูมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ จากนั้นจึงนำสารสกัดจากธรรมชาติ เช่น ยีสต์สกัด หรือเครื่องเทศต่าง ๆ มาผสมผสานกันเพื่อสร้าง “รสอูมามิ” และกลิ่นหอมที่คล้ายคลึงกับเนื้อหมูปรุงสุก ทำให้เมื่อนำไปประกอบอาหาร รสชาติจะกลมกลืนไปกับเครื่องปรุงอื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี
นวัตกรรมหมูกรอบจากพืชไม่เพียงแต่เป็นการสร้างอาหารทางเลือก แต่ยังเป็นการทลายกำแพงความเชื่อที่ว่าอาหารเพื่อสุขภาพมักมีรสชาติไม่น่าพึงพอใจ โดยพิสูจน์ให้เห็นว่าอาหารที่ยั่งยืนและดีต่อสุขภาพสามารถมอบประสบการณ์ความอร่อยที่ไม่แตกต่างจากเมนูโปรดดั้งเดิมได้
เหตุผลที่ “หมูกรอบไร้หมู” จะเข้ามาปฏิวัติวงการอาหารไทย
การเกิดขึ้นของนวัตกรรม “หมูกรอบไร้หมู” ไม่ใช่เป็นเพียงกระแสชั่วคราว แต่มีปัจจัยสนับสนุนหลายประการที่บ่งชี้ว่ามันมีศักยภาพที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคและอุตสาหกรรมอาหารของไทยได้อย่างมีนัยสำคัญในระยะยาว
ตอบโจทย์กระแสรักสุขภาพ
ผู้บริโภคในปัจจุบัน โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่และวัยทำงาน มีความตระหนักรู้และใส่ใจในเรื่องสุขภาพมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หมูกรอบแบบดั้งเดิมซึ่งทำจากหมูสามชั้น มีปริมาณไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอลสูง ซึ่งการบริโภคในปริมาณมากและบ่อยครั้งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงภาวะน้ำหนักเกิน
หมูกรอบจากพืชจึงเข้ามาเป็นทางออกที่น่าสนใจ เนื่องจากมีคุณสมบัติเด่นดังนี้:
- ไขมันต่ำกว่า: ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่มีปริมาณไขมันโดยรวมน้อยกว่า และที่สำคัญคือปราศจากคอเลสเตอรอล เนื่องจากทำจากพืช 100%
- แคลอรี่น้อยกว่า: ด้วยปริมาณไขมันที่ลดลง ทำให้มีพลังงานหรือแคลอรี่ต่อหน่วยบริโภคต่ำกว่าหมูกรอบจริง ช่วยให้ผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักสามารถเพลิดเพลินกับเมนูโปรดได้โดยไม่ต้องกังวลมากนัก
- ลดปัญหาจากการทอด: แม้ว่าการปรุงให้กรอบยังคงต้องใช้ความร้อน แต่การที่ตัวผลิตภัณฑ์มีไขมันน้อยกว่าแต่แรก ทำให้ดูดซับน้ำมันน้อยลงเมื่อนำไปทอด ส่งผลให้ความรู้สึก “เลี่ยน” ลดลง และอาจช่วยลดการเกิดสารก่อมะเร็งบางชนิดที่เกิดจากการทอดเนื้อสัตว์ด้วยความร้อนสูงเป็นเวลานานได้
มิติใหม่ด้านความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม
ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมเป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคหันมาสนใจอาหาร Plant-based มากขึ้น อุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะสุกร เป็นหนึ่งในแหล่งกำเนิดก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อภาวะโลกร้อน การผลิตเนื้อสัตว์จากพืชสามารถลดผลกระทบเหล่านี้ได้อย่างมหาศาล
การผลิตหมูกรอบจากพืชมีข้อได้เปรียบด้านสิ่งแวดล้อมหลายประการเมื่อเทียบกับการทำฟาร์มสุกร ไม่ว่าจะเป็นการใช้ที่ดินน้อยกว่า การใช้น้ำในกระบวนการผลิตน้อยกว่าหลายเท่า และที่สำคัญคือการปล่อยก๊าซมีเทนและคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศน้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญ การเลือกบริโภคหมูกรอบจากพืชจึงไม่เพียงแต่เป็นผลดีต่อร่างกาย แต่ยังเป็นการมีส่วนร่วมในการดูแลรักษ์โลกอีกทางหนึ่ง ซึ่งเป็นค่านิยมที่ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง
ความหลากหลายในการปรุงอาหารไทย
ศักยภาพที่แท้จริงของหมูกรอบไร้หมูจะปรากฏชัดเจนเมื่อมันถูกนำเข้าไปอยู่ในครัวไทย เนื่องจากผลิตภัณฑ์นี้ถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่ายและหลากหลาย สามารถนำไปสร้างสรรค์เมนูอาหารไทยยอดนิยมได้แทบทุกชนิดที่เคยใช้หมูกรอบแบบดั้งเดิมเป็นส่วนประกอบหลัก ไม่ว่าจะเป็น:
- เมนูผัด: เช่น กะเพราหมูกรอบ, คะน้าหมูกรอบ, หมูกรอบผัดพริกเผา ด้วยความสามารถในการดูดซับรสชาติของซอสและเครื่องปรุงได้ดี ทำให้รสชาติของอาหารยังคงความจัดจ้านและเข้มข้นตามแบบฉบับอาหารไทย
- เมนูทอดและคั่ว: เช่น หมูกรอบคั่วพริกเกลือ, หมูกรอบทอดน้ำปลา เนื้อสัมผัสที่กรอบนอกนุ่มในของผลิตภัณฑ์นี้จะยิ่งโดดเด่นขึ้นเมื่อผ่านการปรุงด้วยวิธีเหล่านี้
- เมนูยำและเครื่องเคียง: สามารถนำไปใส่ในยำต่าง ๆ หรือรับประทานเป็นเครื่องเคียงกับส้มตำหรืออาหารจานหลักอื่น ๆ ได้เช่นกัน
ความสามารถในการปรับตัวเข้ากับเมนูที่หลากหลายนี้ ทำให้เชฟและร้านอาหารสามารถนำเสนอทางเลือกใหม่ ๆ ให้กับลูกค้าได้โดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนสูตรอาหารหลักมากนัก และยังเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ที่ไม่ทานเนื้อสัตว์สามารถเข้าถึงรสชาติของอาหารไทยจานคลาสสิกได้อีกด้วย
เปรียบเทียบหมูกรอบจากพืชและหมูกรอบแบบดั้งเดิม
เพื่อให้เห็นภาพความแตกต่างและคุณสมบัติของหมูกรอบทั้งสองประเภทได้ชัดเจนยิ่งขึ้น การเปรียบเทียบในมิติต่าง ๆ จะช่วยให้เข้าใจถึงจุดเด่นและข้อพิจารณาของแต่ละทางเลือกได้เป็นอย่างดี
คุณสมบัติ | หมูกรอบดั้งเดิม | หมูกรอบจากพืช |
---|---|---|
วัตถุดิบหลัก | เนื้อหมูส่วนสามชั้น (Pork Belly) | โปรตีนจากพืช (เช่น ถั่วเหลือง, ถั่วลันเตา), แป้ง, และไขมันพืช |
ข้อมูลทางโภชนาการ | มีไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอลสูง, โปรตีนจากสัตว์ | ไม่มีคอเลสเตอรอล, ไขมันอิ่มตัวต่ำกว่า, มีใยอาหาร, โปรตีนจากพืช |
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม | ใช้ทรัพยากร (น้ำ, ที่ดิน) สูง, ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณมาก | ใช้ทรัพยากรน้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญ, ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ |
เนื้อสัมผัสและรสชาติ | หนังกรอบฟู, เนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ, มีรสชาติและกลิ่นเฉพาะตัวของหมู | เลียนแบบความกรอบและเนื้อสัมผัสได้ใกล้เคียง (ประมาณ 90%), รสชาติเกิดจากการปรุงแต่ง |
ข้อจำกัดด้านการบริโภค | ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม, ผู้ทานมังสวิรัติ, และผู้ที่ต้องควบคุมไขมัน | สามารถบริโภคได้หลากหลายกลุ่ม, รวมถึงผู้ทานมังสวิรัติ, วีแกน, และเป็นทางเลือกสำหรับผู้รักสุขภาพ |
การเตรียมและการเก็บรักษา | กระบวนการเตรียมยุ่งยาก (ต้ม, จิ้มหนัง, ตาก, ทอด), อายุการเก็บสั้นกว่า | มาในรูปแบบสำเร็จรูปหรือกึ่งสำเร็จรูป, เตรียมง่าย, อายุการเก็บรักษานานกว่า (ในรูปแบบแช่แข็ง) |
ความท้าทายและโอกาสในตลาดประเทศไทย
แม้ว่าหมูกรอบจากพืชจะมีศักยภาพสูง แต่การเข้ามาสร้างการเปลี่ยนแปลงในตลาดที่มีความผูกพันกับอาหารดั้งเดิมอย่างลึกซึ้งเช่นประเทศไทย ย่อมต้องเผชิญกับทั้งความท้าทายและโอกาสควบคู่กันไป
การยอมรับของผู้บริโภคและปัจจัยด้านราคา
ความท้าทายประการแรกคือการสร้างการยอมรับจากผู้บริโภคในวงกว้าง คนไทยจำนวนมากยังคงมีความเชื่อมั่นในรสชาติและเนื้อสัมผัสของเนื้อสัตว์แท้ การจะเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมจึงต้องอาศัยการสื่อสารและการให้ความรู้เกี่ยวกับข้อดีของผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการทำให้ผลิตภัณฑ์มีรสชาติและเนื้อสัมผัสที่ดีเยี่ยมจนสามารถเอาชนะใจผู้บริโภคได้
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือเรื่องของราคา ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนาและผลิต สินค้ากลุ่ม Plant-based มักมีราคาสูงกว่าเนื้อสัตว์ทั่วไป เนื่องจากต้นทุนด้านการวิจัยและพัฒนา รวมถึงกระบวนการผลิตที่ซับซ้อน การทำให้ราคาสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นจะเป็นกุญแจสำคัญในการขยายฐานผู้บริโภคจากกลุ่มเฉพาะ (Niche Market) ไปสู่ตลาดมวลชน (Mass Market)
ศักยภาพการเติบโตในอนาคต
อย่างไรก็ตาม โอกาสในการเติบโตของตลาดนี้ในประเทศไทยมีมหาศาล กระแส Flexitarian (ผู้ที่เน้นทานพืชเป็นหลัก แต่ยังทานเนื้อสัตว์บ้างเป็นครั้งคราว) กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว ผู้คนจำนวนมากมองหาทางเลือกในการลดการบริโภคเนื้อสัตว์โดยไม่จำเป็นต้องเป็นมังสวิรัติเต็มตัว ซึ่งหมูกรอบจากพืชตอบโจทย์ความต้องการนี้ได้อย่างลงตัว
นอกจากนี้ การที่ร้านอาหารและเครือข่ายธุรกิจอาหารขนาดใหญ่เริ่มนำเสนอเมนู Plant-based มากขึ้น จะช่วยสร้างความคุ้นเคยและทำให้ผู้บริโภคได้มีโอกาสทดลองได้ง่ายขึ้น การร่วมมือกับเชฟผู้มีชื่อเสียงในการสร้างสรรค์เมนูใหม่ๆ จากหมูกรอบไร้หมู ก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่จะช่วยผลักดันให้ผลิตภัณฑ์เป็นที่รู้จักและยอมรับในวงกว้าง
ความเชื่อมโยงกับนวัตกรรมอาหารอื่นๆ เช่น Cultured Meat
หมูกรอบจากพืชเป็นเพียงส่วนหนึ่งของคลื่นนวัตกรรมอาหารแห่งอนาคตที่ใหญ่กว่านั้น อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่น่าจับตามองคือ เนื้อสัตว์เพาะเลี้ยง (Cultured Meat หรือ Cell-based Meat) ซึ่งเป็นการผลิตเนื้อสัตว์จริงจากการเพาะเลี้ยงเซลล์สัตว์ในห้องปฏิบัติการ โดยไม่จำเป็นต้องเลี้ยงและฆ่าสัตว์
แม้ว่าในปัจจุบัน Cultured Meat จะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและมีต้นทุนการผลิตที่สูงมาก แต่ในระยะยาวเทคโนโลยีนี้มีศักยภาพที่จะสร้างเนื้อสัตว์ที่มีคุณสมบัติเหมือนเนื้อจากธรรมชาติทุกประการ การมาถึงของหมูกรอบจากพืชในวันนี้จึงเปรียบเสมือนการปูทางและสร้างความคุ้นเคยให้กับผู้บริโภคเกี่ยวกับแนวคิด “โปรตีนทางเลือก” ซึ่งจะทำให้การยอมรับนวัตกรรมอย่าง Cultured Meat ในอนาคตเป็นไปได้ง่ายขึ้น ทั้งสองเทคโนโลยีนี้ แม้จะมีวิธีการที่แตกต่างกัน แต่มีเป้าหมายร่วมกันคือการสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืนและมั่นคงสำหรับประชากรโลก
บทสรุป: ก้าวต่อไปของภูมิทัศน์อาหารไทย
การมาถึงของ “หมูกรอบไร้หมู” หรือหมูกรอบจากพืช นับเป็นจุดเปลี่ยนที่น่าสนใจและมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อวงการอาหารไทย มันไม่ได้เป็นเพียงแค่ผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่เป็นตัวแทนของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ความตระหนักรู้ด้านสุขภาพ และความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม นวัตกรรมนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ความอร่อยตามแบบฉบับดั้งเดิมสามารถเดินทางควบคู่ไปกับวิถีการบริโภคที่ยั่งยืนได้
หมูกรอบจากพืชได้นำเสนอทางออกให้กับผู้บริโภคหลากหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ต้องการลดการบริโภคเนื้อสัตว์ ผู้ที่ใส่ใจสุขภาพ หรือผู้ที่มองหาทางเลือกที่เป็นมิตรต่อโลก ด้วยรสชาติและเนื้อสัมผัสที่ใกล้เคียงของจริงอย่างน่าทึ่ง ประกอบกับความสามารถในการนำไปปรุงอาหารไทยได้หลากหลายเมนู ทำให้ศักยภาพในการเติบโตในตลาดมีสูงมาก แม้จะยังมีความท้าทายในเรื่องการยอมรับและราคา แต่แนวโน้มของโลกที่มุ่งไปในทิศทางนี้อย่างชัดเจน ชี้ให้เห็นว่านี่คืออนาคตที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้น การเปิดใจและทำความเข้าใจเกี่ยวกับอาหารแห่งอนาคตเช่นหมูกรอบจากพืช จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้บริโภค ผู้ประกอบการร้านอาหาร หรือผู้ผลิตในอุตสาหกรรมอาหาร เพราะนี่คือก้าวต่อไปที่จะร่วมกันกำหนดภูมิทัศน์ใหม่ของอาหารไทยให้มีความหลากหลาย ยั่งยืน และตอบโจทย์ความต้องการของโลกยุคใหม่ได้อย่างสมบูรณ์