“`html
ชิมเนื้อปลูกในแล็บ! อร่อยจริงหรือแค่กระแส?
การมาถึงของ “เนื้อปลูกในแล็บ” หรือเนื้อสัตว์เพาะเลี้ยงในร้านอาหารที่กรุงเทพฯ ได้จุดประกายคำถามและความสนใจอย่างกว้างขวาง นวัตกรรมนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องราวในนิยายวิทยาศาสตร์อีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นความจริงบนจานอาหาร ที่ท้าทายความเข้าใจเดิมๆ เกี่ยวกับการผลิตและบริโภคเนื้อสัตว์
- เนื้อสัตว์เพาะเลี้ยงผลิตขึ้นจากการเพาะเลี้ยงเซลล์สัตว์ในห้องปฏิบัติการ ทำให้ได้เนื้อสัตว์จริงโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการเลี้ยงและฆ่าสัตว์
- มีรายงานว่ารสชาติ เนื้อสัมผัส และคุณค่าทางโภชนาการมีความใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์ทั่วไปอย่างมาก แม้อาจมีลักษณะภายนอกที่แตกต่างกันเล็กน้อย
- เทคโนโลยีนี้กำลังเผชิญกับความท้าทายด้านกฎระเบียบ การยอมรับของผู้บริโภค และข้อกังวลด้านวัฒนธรรมอาหารในหลายประเทศ
- ตลาดโปรตีนทางเลือกนี้มีศักยภาพการเติบโตสูงในอนาคต แต่ในระยะแรกยังมีข้อจำกัดด้านราคาที่สูง ทำให้เข้าถึงได้เฉพาะกลุ่ม
- เนื้อปลูกในแล็บนำเสนอความเป็นไปได้ใหม่ในการสร้างความมั่นคงทางอาหารและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการทำปศุสัตว์แบบดั้งเดิม
ภาพรวมของนวัตกรรมเนื้อสัตว์แห่งอนาคต
คำถามที่ว่า **ชิมเนื้อปลูกในแล็บ! อร่อยจริงหรือแค่กระแส?** กำลังกลายเป็นหัวข้อสนทนาสำคัญในวงการอาหารทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย การเกิดขึ้นของเทคโนโลยีอาหารหรือ Foodtech ประเภทนี้ ซึ่งรู้จักกันในชื่อ “เนื้อสัตว์เพาะเลี้ยง” (Cultured Meat) หรือ “เนื้อจากการเพาะเลี้ยงเซลล์” (Cell-based Meat) กำลังเปลี่ยนภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรมโปรตีนอย่างสิ้นเชิง นี่คือเนื้อสัตว์ที่ผลิตขึ้นจากกระบวนการทางวิทยาศาสตร์โดยตรง โดยไม่ต้องอาศัยการทำฟาร์มปศุสัตว์แบบดั้งเดิม ซึ่งมาพร้อมกับคำมั่นสัญญาในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม สวัสดิภาพสัตว์ และความมั่นคงทางอาหารในระยะยาว การที่นวัตกรรมนี้เริ่มเข้าสู่ตลาดผู้บริโภคจริงจังมากขึ้น ทำให้เกิดการพิจารณาอย่างรอบด้านถึงศักยภาพที่แท้จริงของมัน
ความสำคัญของเนื้อสัตว์เพาะเลี้ยงทวีความชัดเจนขึ้นเมื่อโลกเผชิญกับความท้าทายด้านความยั่งยืน ประชากรโลกที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ความต้องการโปรตีนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การทำปศุสัตว์แบบดั้งเดิมก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมหาศาล ตั้งแต่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปจนถึงการใช้ทรัพยากรที่ดินและน้ำจำนวนมาก เทคโนโลยีนี้จึงถูกมองว่าเป็นหนึ่งในคำตอบสำหรับอนาคตของอาหาร โดยนำเสนอโปรตีนทางเลือกที่ไม่ใช่พืช (plant-based) แต่เป็นเนื้อสัตว์จริงที่ผลิตขึ้นในสภาพแวดล้อมที่ควบคุมได้ บุคคลที่ควรให้ความสนใจในเรื่องนี้จึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่ผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพหรือสิ่งแวดล้อม แต่ยังรวมถึงเกษตรกร ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหาร นักวิทยาศาสตร์ และผู้กำหนดนโยบาย ซึ่งล้วนมีบทบาทในการกำหนดทิศทางของอาหารแห่งอนาคตนี้
เนื้อสัตว์เพาะเลี้ยงคืออะไร?
เพื่อให้เข้าใจถึงแก่นแท้ของนวัตกรรมนี้ จำเป็นต้องทำความเข้าใจนิยามและกระบวนการผลิตที่อยู่เบื้องหลัง ซึ่งแตกต่างจากการผลิตเนื้อสัตว์ที่คุ้นเคยกันมานานหลายศตวรรษอย่างสิ้นเชิง
นิยามและหลักการพื้นฐาน
เนื้อปลูกในแล็บ หรือ เนื้อสัตว์เพาะเลี้ยง คือเนื้อสัตว์ที่ได้จากการนำเซลล์ต้นกำเนิด (Stem Cells) หรือเซลล์กล้ามเนื้อของสัตว์มาเพาะเลี้ยงในห้องปฏิบัติการ เพื่อให้เซลล์เหล่านั้นเจริญเติบโตและแบ่งตัวเพิ่มจำนวนขึ้นจนกลายเป็นเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อและไขมันที่สามารถนำมาบริโภคได้ หลักการสำคัญคือการเลียนแบบกระบวนการสร้างเนื้อเยื่อตามธรรมชาติของร่างกายสัตว์ แต่ย้ายมาทำในสภาพแวดล้อมที่สะอาดและควบคุมได้ทั้งหมด ผลลัพธ์ที่ได้คือเนื้อสัตว์ที่มีโครงสร้างทางชีวภาพเหมือนกับเนื้อที่มาจากสัตว์ แต่ไม่จำเป็นต้องผ่านขั้นตอนการเลี้ยงดู การให้อาหาร และการฆ่าสัตว์แม้แต่ตัวเดียว
สิ่งสำคัญที่ต้องเน้นย้ำคือ เนื้อสัตว์เพาะเลี้ยงไม่ใช่เนื้อสัตว์เทียมที่ทำจากพืช (Plant-based meat) หรือผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อสัตว์อื่นๆ แต่มันคือ “เนื้อสัตว์จริง” ในระดับเซลล์ มีองค์ประกอบของโปรตีน ไขมัน และสารอาหารอื่นๆ เช่นเดียวกับเนื้อสัตว์ทั่วไป ความแตกต่างอยู่ที่ “กระบวนการผลิต” เท่านั้น ด้วยเหตุนี้เอง เทคโนโลยีอาหารประเภทนี้จึงถูกจัดอยู่ในกลุ่มโปรตีนทางเลือกใหม่ที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง
กระบวนการผลิต: จากเซลล์สู่จานอาหาร
กระบวนการสร้างเนื้อสัตว์เพาะเลี้ยงมีความซับซ้อนและต้องอาศัยเทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูง โดยสามารถแบ่งออกเป็นขั้นตอนหลักๆ ได้ดังนี้
- การเก็บตัวอย่างเซลล์ (Cell Isolation): เริ่มต้นจากการเก็บตัวอย่างเซลล์จำนวนเล็กน้อยจากสัตว์ที่มีชีวิต เช่น วัว หมู ไก่ หรือปลา โดยอาจเป็นการเจาะเก็บเนื้อเยื่อ (biopsy) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ไม่สร้างความเจ็บปวดให้สัตว์มากนัก เซลล์ที่นิยมใช้คือเซลล์ต้นกำเนิดหรือสเต็มเซลล์ เนื่องจากมีความสามารถในการแบ่งตัวและพัฒนาไปเป็นเซลล์ชนิดต่างๆ ได้ดี
- การเพาะเลี้ยงในอาหารเลี้ยงเซลล์ (Cell Culture): นำเซลล์ที่ได้ไปใส่ในภาชนะเพาะเลี้ยงหรือที่เรียกว่า “Bioreactor” ซึ่งภายในบรรจุอาหารเลี้ยงเซลล์ (Culture Medium) ที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต เช่น กรดอะมิโน วิตามิน แร่ธาตุ และคาร์โบไฮเดรต สภาพแวดล้อมภายใน Bioreactor จะถูกควบคุมอุณหภูมิและความเป็นกรด-ด่างให้เหมาะสมที่สุด เพื่อกระตุ้นให้เซลล์แบ่งตัวเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว
- การสร้างเนื้อเยื่อ (Tissue Formation): เมื่อเซลล์มีจำนวนมากพอ จะถูกกระตุ้นให้พัฒนาไปเป็นเซลล์กล้ามเนื้อและเซลล์ไขมัน จากนั้นเซลล์เหล่านี้จะเริ่มรวมตัวกันเป็นเส้นใยกล้ามเนื้อขนาดเล็ก ในบางกรณีอาจมีการใช้โครงสร้างที่กินได้ (Edible Scaffolding) เพื่อช่วยให้เซลล์ยึดเกาะและเรียงตัวกันเป็นโครงสร้างสามมิติที่มีลักษณะคล้ายเนื้อจริงมากขึ้น
- การเก็บเกี่ยวและแปรรูป (Harvesting and Processing): เมื่อเนื้อเยื่อเจริญเติบโตจนได้ขนาดที่ต้องการแล้ว จะถูกนำออกจาก Bioreactor เพื่อนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหารในรูปแบบต่างๆ เช่น เนื้อบด ไส้กรอก หรือสเต็ก ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนส่งถึงมือผู้บริโภค
กระบวนการทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมที่ปลอดเชื้อและควบคุมได้ทั้งหมด ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากการปนเปื้อนของเชื้อโรคที่มักพบในการทำปศุสัตว์แบบดั้งเดิม
รสชาติ เนื้อสัมผัส และคุณค่าทางโภชนาการ
ปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะตัดสินว่าเนื้อสัตว์เพาะเลี้ยงจะได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคในวงกว้างหรือไม่นั้น หนีไม่พ้นเรื่องของรสชาติและประสบการณ์ในการรับประทาน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของวัฒนธรรมอาหาร
การเปรียบเทียบกับเนื้อสัตว์แบบดั้งเดิม
จากข้อมูลของผู้ที่ได้ทดลองชิมผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์เพาะเลี้ยงในระยะแรกๆ พบว่าผลลัพธ์ที่ได้นั้นน่าทึ่งอย่างยิ่ง รายงานส่วนใหญ่ระบุว่าเนื้อสัมผัสและรสชาติแทบไม่แตกต่างจากเนื้อสัตว์ที่มาจากฟาร์ม มีความนุ่ม ชุ่มฉ่ำ และมีรสชาติของเนื้อสัตว์ที่คุ้นเคย นักพัฒนาสามารถปรับอัตราส่วนระหว่างกล้ามเนื้อและไขมันได้ในระหว่างกระบวนการผลิต ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อรสชาติและความนุ่มของเนื้อ
อย่างไรก็ตาม อาจมีข้อสังเกตบางประการ เช่น สีของเนื้อดิบอาจจะดูซีดกว่าเนื้อสัตว์ทั่วไปเล็กน้อย เนื่องจากขาดโมเลกุลบางอย่าง เช่น ไมโอโกลบิน ที่พบในเลือดและกล้ามเนื้อของสัตว์ แต่ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการเติมส่วนผสมจากธรรมชาติเพื่อปรับสีให้ดูน่ารับประทานยิ่งขึ้น ในด้านคุณค่าทางโภชนาการ เนื้อสัตว์เพาะเลี้ยงมีโปรตีนและสารอาหารหลักใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์ดั้งเดิม และยังมีข้อดีคือสามารถปรับเปลี่ยนองค์ประกอบทางโภชนาการได้ เช่น การเพิ่มกรดไขมันโอเมก้า 3 หรือลดปริมาณไขมันอิ่มตัว เพื่อให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น
เนื้อสัตว์เพาะเลี้ยงไม่ได้มาแทนที่เนื้อสัตว์แบบดั้งเดิม แต่เป็นการเพิ่มทางเลือกใหม่ให้กับผู้บริโภคในยุคที่ความยั่งยืนและความตระหนักรู้ด้านอาหารมีความสำคัญมากขึ้น
เสียงตอบรับจากผู้บริโภคกลุ่มแรก
เสียงตอบรับจากผู้บริโภคกลุ่มแรกที่ได้ลิ้มลองในประเทศที่เริ่มมีการจำหน่าย เช่น สิงคโปร์และสหรัฐอเมริกา ส่วนใหญ่เป็นไปในทิศทางบวก หลายคนยอมรับว่าหากไม่บอกล่วงหน้า ก็แทบไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างเนื้อสัตว์เพาะเลี้ยงกับเนื้อสัตว์ทั่วไปได้เลย ความนุ่มและความซับซ้อนของรสชาติถือเป็นจุดเด่นที่ได้รับการชื่นชม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีนี้สามารถผลิตอาหารที่มีคุณภาพสูงและเป็นที่ยอมรับได้ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่ที่การสร้างความคุ้นเคยและความไว้วางใจให้กับผู้บริโภคในวงกว้าง ซึ่งต้องใช้เวลาและการสื่อสารข้อมูลที่โปร่งใสและถูกต้อง
การเปรียบเทียบเนื้อสัตว์เพาะเลี้ยงและเนื้อสัตว์ดั้งเดิม
คุณลักษณะ | เนื้อสัตว์เพาะเลี้ยง (Cultured Meat) | เนื้อสัตว์ดั้งเดิม (Conventional Meat) |
---|---|---|
แหล่งที่มา | ผลิตจากเซลล์สัตว์ในห้องปฏิบัติการ | ได้จากการเลี้ยงและแปรรูปสัตว์ในฟาร์ม |
กระบวนการผลิต | การเพาะเลี้ยงเซลล์ใน Bioreactor | เกษตรกรรมและอุตสาหกรรมปศุสัตว์ |
ผลกระทบต่อสัตว์ | ไม่มีการฆ่าสัตว์โดยตรง | เกี่ยวข้องกับกระบวนการฆ่าสัตว์ |
ความปลอดภัย | ผลิตในสภาพแวดล้อมปลอดเชื้อ ควบคุมได้ | มีความเสี่ยงจากการปนเปื้อนเชื้อโรคและยาปฏิชีวนะ |
ความสม่ำเสมอ | สามารถควบคุมคุณภาพและส่วนประกอบได้สูง | คุณภาพแปรผันตามสายพันธุ์ การเลี้ยงดู และปัจจัยแวดล้อม |
ความท้าทายหลัก | ต้นทุนการผลิตสูง การยอมรับของผู้บริโภค และกฎระเบียบ | ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สวัสดิภาพสัตว์ และความยั่งยืน |
ความท้าทายด้านความปลอดภัยและการยอมรับในระดับโลก
แม้ว่าเทคโนโลยีเนื้อสัตว์เพาะเลี้ยงจะมีความก้าวหน้าไปมาก แต่การนำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดในวงกว้างยังคงเผชิญกับอุปสรรคสำคัญหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านกฎระเบียบและความคิดเห็นของสาธารณชน
สถานะทางกฎหมายในแต่ละประเทศ
ปัจจุบันมีเพียงไม่กี่ประเทศในโลกที่ได้ให้การอนุมัติการจำหน่ายเนื้อสัตว์เพาะเลี้ยงอย่างเป็นทางการ สิงคโปร์เป็นประเทศแรกที่อนุญาตให้จำหน่ายเนื้อไก่เพาะเลี้ยงแก่ผู้บริโภค ตามมาด้วยสหรัฐอเมริกาที่หน่วยงานกำกับดูแลได้อนุมัติให้ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้สามารถวางขายในร้านอาหารได้ ความเคลื่อนไหวเหล่านี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยปูทางให้อุตสาหกรรมเติบโตต่อไปได้
ในทางกลับกัน หลายประเทศในยุโรปยังคงมีท่าทีระมัดระวังและต่อต้านอย่างเห็นได้ชัด เช่น อิตาลี ฝรั่งเศส และออสเตรีย ซึ่งมีความพยายามในการออกกฎหมายห้ามการผลิตและจำหน่ายเนื้อสัตว์เพาะเลี้ยง โดยให้เหตุผลเรื่องการปกป้องอุตสาหกรรมการเกษตรแบบดั้งเดิม มรดกทางวัฒนธรรมอาหาร และความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยในระยะยาวที่ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอ ความแตกต่างทางความคิดและนโยบายนี้สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนในการยอมรับนวัตกรรมอาหารใหม่ๆ ที่ท้าทายวิถีปฏิบัติที่มีมาอย่างยาวนาน
ข้อกังวลและประเด็นถกเถียงทางสังคม
นอกเหนือจากประเด็นทางกฎหมายแล้ว ข้อกังวลหลักของผู้บริโภคและกลุ่มต่อต้านมักเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยด้านสุขภาพ แม้ว่ากระบวนการผลิตจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ควบคุมได้และสะอาดกว่าฟาร์มทั่วไป แต่ยังคงมีคำถามเกี่ยวกับผลกระทบระยะยาวต่อสุขภาพจากการบริโภคอาหารที่ผลิตด้วยวิธีนี้ นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่อง “ความเป็นธรรมชาติ” ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจเลือกซื้ออาหารของผู้คนจำนวนมาก คำว่า “เนื้อปลูกในแล็บ” อาจทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่ไม่น่าไว้วางใจและดูห่างไกลจากธรรมชาติ การสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องและการสื่อสารอย่างโปร่งใสจึงเป็นกุญแจสำคัญในการเอาชนะอุปสรรคเหล่านี้
ศักยภาพทางธุรกิจและผลกระทบต่ออนาคต
ถึงแม้จะมีความท้าทายอยู่มาก แต่ศักยภาพในการเติบโตของตลาดเนื้อสัตว์เพาะเลี้ยงนั้นสูงมาก และอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อระบบอาหารโลกในอนาคต
การคาดการณ์การเติบโตของตลาด
บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำอย่าง McKinsey & Company ได้ประเมินว่ามูลค่าตลาดเนื้อสัตว์เพาะเลี้ยงทั่วโลกมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด จากระดับพันล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน ไปสู่ระดับ 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030 ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนและแนวโน้มของผู้บริโภคที่เริ่มมองหาโปรตีนทางเลือกที่ยั่งยืนและมีจริยธรรมมากขึ้น การเติบโตนี้บ่งชี้ว่าเนื้อสัตว์เพาะเลี้ยงไม่ใช่เพียงกระแสแฟชั่นชั่วคราว แต่เป็นเทคโนโลยีอาหารที่มีศักยภาพในการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของตลาดหลักในอีก 5-10 ปีข้างหน้า
ข้อจำกัดและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
อย่างไรก็ตาม การจะก้าวไปสู่จุดนั้นได้ยังคงมีข้อจำกัดที่ต้องก้าวข้าม หนึ่งในนั้นคือเรื่องของ “ราคา” ในปัจจุบัน ต้นทุนการผลิตเนื้อสัตว์เพาะเลี้ยงยังคงสูงกว่าเนื้อสัตว์ทั่วไปอย่างมาก ทำให้ผลิตภัณฑ์ในช่วงแรกจำเป็นต้องเจาะกลุ่มตลาดลูกค้าระดับบนที่มีกำลังซื้อสูงและเปิดรับนวัตกรรมใหม่ๆ การลดต้นทุนการผลิตให้สามารถแข่งขันในตลาดวงกว้างได้จึงเป็นเป้าหมายสำคัญของทุกบริษัทในอุตสาหกรรมนี้
ในแง่ของผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการแก้ปัญหาความอดอยากของโลก เนื้อสัตว์เพาะเลี้ยงมีศักยภาพที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการใช้ทรัพยากรได้อย่างมหาศาลเมื่อเทียบกับการทำปศุสัตว์ แต่ในระยะสั้น การผลิตในระดับอุตสาหกรรมยังต้องใช้พลังงานจำนวนมาก และยังไม่สามารถผลิตในปริมาณที่มากพอที่จะแก้ไขปัญหาความมั่นคงทางอาหารในระดับโลกได้ทันที ดังนั้น ในช่วงแรกจึงอาจเป็นเพียงทางเลือกเสริมสำหรับตลาดเฉพาะกลุ่ม มากกว่าที่จะเป็นคำตอบสำหรับทุกคน
บทสรุป: นวัตกรรมเปลี่ยนโลกหรือทางเลือกเฉพาะกลุ่ม
จากข้อมูลทั้งหมด สรุปได้ว่าปรากฏการณ์ “เนื้อปลูกในแล็บ” นั้นเป็นมากกว่าแค่กระแสที่ผ่านมาแล้วผ่านไป นี่คือนวัตกรรมทางเทคโนโลยีอาหารที่มีศักยภาพสูงในการปฏิวัติวิธีการผลิตและบริโภคโปรตีนของมนุษยชาติ ด้วยรสชาติและคุณค่าทางโภชนาการที่ใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์จริง มันจึงเป็นโปรตีนทางเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับอนาคต
อย่างไรก็ตามเส้นทางข้างหน้ายังเต็มไปด้วยความท้าทาย ทั้งในด้านการยอมรับของผู้บริโภค อุปสรรคทางกฎหมายในหลายประเทศ และต้นทุนการผลิตที่ยังคงเป็นข้อจำกัดสำคัญ ในระยะแรก เนื้อสัตว์เพาะเลี้ยงอาจยังคงเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับตลาดเฉพาะกลุ่ม แต่ด้วยการพัฒนาทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องและการลงทุนที่เพิ่มขึ้น มีความเป็นไปได้สูงที่นวัตกรรมนี้จะเข้าถึงได้ง่ายขึ้นและกลายเป็นส่วนหนึ่งของจานอาหารของผู้คนทั่วโลกในทศวรรษหน้า การตัดสินใจว่าจะลองชิมหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ การถือกำเนิดของเนื้อสัตว์เพาะเลี้ยงได้เปิดบทสนทนาใหม่เกี่ยวกับอนาคตของอาหารและความยั่งยืน ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกคนควรให้ความสนใจและติดตามต่อไป
“`