อย. ไฟเขียว! ‘เนื้อจากแล็บ’ ขายในไทยแล้ว
- สรุปประเด็นสำคัญเกี่ยวกับเนื้อสัตว์เพาะเลี้ยง
- ความจริงเบื้องหลังอาหารแห่งอนาคต: สถานะของเนื้อจากแล็บ
- ทำความรู้จัก ‘เนื้อจากแล็บ’ หรือ Cultured Meat
- ภาพรวมตลาดโลก: ประเทศไหนบ้างที่อนุมัติแล้ว?
- สถานการณ์ในประเทศไทย: อย. ไฟเขียว! ‘เนื้อจากแล็บ’ ขายในไทยแล้ว จริงหรือ?
- เปรียบเทียบเนื้อสัตว์ 3 ประเภท
- ประโยชน์และความท้าทายของเนื้อสัตว์เพาะเลี้ยง
- บทสรุป: ก้าวต่อไปของเนื้อจากแล็บในประเทศไทย
เนื้อสัตว์เพาะเลี้ยง หรือที่รู้จักกันในชื่อ “เนื้อจากแล็บ” (Cultured Meat) กำลังกลายเป็นหัวข้อที่ได้รับความสนใจทั่วโลกในฐานะนวัตกรรมที่อาจปฏิวัติอุตสาหกรรมอาหาร ด้วยกระแสข่าวที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับสถานะการอนุมัติและความพร้อมในการจำหน่ายในแต่ละประเทศ รวมถึงประเทศไทย
สรุปประเด็นสำคัญเกี่ยวกับเนื้อสัตว์เพาะเลี้ยง
- นิยาม: เนื้อสัตว์เพาะเลี้ยง หรือ “เนื้อจากแล็บ” คือเนื้อสัตว์จริงที่ผลิตจากการเพาะเลี้ยงเซลล์สัตว์ในสภาพแวดล้อมควบคุมภายในห้องปฏิบัติการ ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์จากพืชหรือการทำปศุสัตว์แบบดั้งเดิม
- สถานะทั่วโลก: สิงคโปร์เป็นประเทศแรกในโลกที่อนุมัติการจำหน่ายเนื้อไก่เพาะเลี้ยงในเชิงพาณิชย์ ตามมาด้วยสหรัฐอเมริกาที่หน่วยงานกำกับดูแลได้ยอมรับในความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ดังกล่าว
- ศักยภาพ: เทคโนโลยีนี้ถูกมองว่าเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาด้านความมั่นคงทางอาหาร ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการทำปศุสัตว์ และส่งเสริมสวัสดิภาพสัตว์
- สถานการณ์ในไทย: ณ ปัจจุบัน ยังไม่มีการประกาศยืนยันอย่างเป็นทางการจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของประเทศไทย ว่ามีการอนุมัติให้จำหน่ายเนื้อสัตว์เพาะเลี้ยงในเชิงพาณิชย์แต่อย่างใด
กระแสข่าวที่ว่า อย. ไฟเขียว! ‘เนื้อจากแล็บ’ ขายในไทยแล้ว ได้สร้างความตื่นตัวและคำถามมากมายในสังคมไทย เนื้อสัตว์เพาะเลี้ยง (Cultured Meat) คือเทคโนโลยีการผลิตเนื้อสัตว์โดยการนำเซลล์ต้นกำเนิดจากสัตว์มาเพาะเลี้ยงในสารอาหารที่จำเป็นภายในถังปฏิกรณ์ชีวภาพ (Bioreactor) เพื่อให้เซลล์เจริญเติบโตและเพิ่มจำนวนจนกลายเป็นเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อที่สามารถนำมาบริโภคได้ แนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้ผลักดันให้ผลิตภัณฑ์เข้าใกล้ความเป็นจริงในเชิงพาณิชย์มากขึ้น ท่ามกลางการจับตามองจากทั่วโลกถึงสถานะการยอมรับทางกฎหมายและความปลอดภัย ซึ่งประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด
ความจริงเบื้องหลังอาหารแห่งอนาคต: สถานะของเนื้อจากแล็บ
ความสำคัญของเนื้อสัตว์เพาะเลี้ยงทวีคูณขึ้นเมื่อโลกเผชิญกับความท้าทายด้านความมั่นคงทางอาหาร การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความกังวลด้านสวัสดิภาพสัตว์ การทำปศุสัตว์แบบดั้งเดิมใช้ทรัพยากรจำนวนมหาศาล ทั้งที่ดินและน้ำจืด อีกทั้งยังเป็นแหล่งกำเนิดก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญ “อาหารแห่งอนาคต” ชนิดนี้จึงถูกนำเสนอในฐานะทางเลือกที่ยั่งยืนกว่า โดยมีผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่าย ตั้งแต่บริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีชีวภาพที่ระดมทุนวิจัยและพัฒนา ไปจนถึงหน่วยงานกำกับดูแลของรัฐบาลในแต่ละประเทศที่ต้องสร้างกรอบกฎหมายเพื่อควบคุมมาตรฐานและความปลอดภัย และที่สำคัญคือผู้บริโภคที่ต้องเปิดใจยอมรับผลิตภัณฑ์ใหม่นี้ การอนุมัติครั้งแรกของโลกเกิดขึ้นในเดือนธันวาคม ปี 2020 ที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เทคโนโลยีนี้ไม่ใช่เพียงแนวคิดในห้องทดลองอีกต่อไป แต่เป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถวางจำหน่ายได้จริง
ทำความรู้จัก ‘เนื้อจากแล็บ’ หรือ Cultured Meat
เพื่อทำความเข้าใจเทคโนโลยีนี้ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น จำเป็นต้องแยกแยะและทำความเข้าใจหลักการพื้นฐาน กระบวนการผลิต และความแตกต่างจากผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อสัตว์อื่นๆ ที่มีอยู่ในตลาด
คำจำกัดความและหลักการทำงาน
Cultured Meat หรือที่เรียกว่า Cellular Meat, Lab-grown Meat คือผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ที่ได้จากการเพาะเลี้ยงเซลล์สัตว์นอกร่างกายของสัตว์ โดยกระบวนการนี้เลียนแบบกระบวนการสร้างเนื้อเยื่อตามธรรมชาติ หลักการทำงานเริ่มต้นจากการเก็บตัวอย่างเซลล์จำนวนเล็กน้อยจากสัตว์ (เช่น เซลล์กล้ามเนื้อหรือเซลล์ไขมัน) ซึ่งสามารถทำได้โดยไม่เป็นอันตรายต่อสัตว์ จากนั้นนำเซลล์เหล่านี้ไปเพาะเลี้ยงในถังปฏิกรณ์ชีวภาพที่ควบคุมอุณหภูมิและสภาวะแวดล้อมอย่างเหมาะสม พร้อมทั้งให้ “อาหารเลี้ยงเซลล์” (Culture Medium) ซึ่งประกอบด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต เช่น กรดอะมิโน วิตามิน และแร่ธาตุ เซลล์จะแบ่งตัวและเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ จนรวมตัวกันเป็นเส้นใยกล้ามเนื้อ และในที่สุดก็กลายเป็นชิ้นเนื้อที่สมบูรณ์
จากห้องทดลองสู่จานอาหาร: ขั้นตอนการผลิต
กระบวนการผลิตเนื้อสัตว์เพาะเลี้ยงสามารถแบ่งออกเป็นขั้นตอนหลักๆ ดังนี้
- การคัดเลือกและเก็บตัวอย่างเซลล์ (Cell Sourcing): เริ่มต้นด้วยการเก็บตัวอย่างเซลล์ต้นกำเนิด (Stem Cells) หรือเซลล์กล้ามเนื้อจากสัตว์เป้าหมาย เช่น วัว ไก่ หรือปลา ผ่านกระบวนการที่ไม่รุนแรง
- การเพาะเลี้ยงและการเพิ่มจำนวน (Cell Proliferation): นำเซลล์เข้าสู่ถังปฏิกรณ์ชีวภาพ (Bioreactor) ซึ่งทำหน้าที่เหมือนร่างกายของสัตว์ โดยมีการควบคุมสภาพแวดล้อมและให้สารอาหารเพื่อให้เซลล์แบ่งตัวเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว
- การพัฒนาเป็นเนื้อเยื่อ (Tissue Differentiation): เมื่อมีจำนวนเซลล์มากพอ จะมีการกระตุ้นให้เซลล์เปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์ชนิดต่างๆ ที่ประกอบกันเป็นเนื้อสัตว์ เช่น เซลล์กล้ามเนื้อและเซลล์ไขมัน ในขั้นตอนนี้อาจมีการใช้โครงสร้างที่กินได้ (Scaffold) เพื่อช่วยให้เซลล์ยึดเกาะและเรียงตัวเป็นโครงสร้างสามมิติคล้ายเนื้อจริง
- การเก็บเกี่ยวและแปรรูป (Harvesting and Processing): เมื่อเนื้อเยื่อเจริญเติบโตเต็มที่ จะถูกเก็บเกี่ยวออกจากถังปฏิกรณ์และนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหารในรูปแบบต่างๆ เช่น เนื้อบด ไส้กรอก หรือนักเก็ต
ความแตกต่างจากเนื้อสัตว์เทียมจากพืช
สิ่งสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจคือ เนื้อสัตว์เพาะเลี้ยง ไม่ใช่ เนื้อสัตว์เทียมจากพืช (Plant-based Meat) แม้ว่าทั้งสองจะเป็นทางเลือกนอกเหนือจากเนื้อสัตว์แบบดั้งเดิม แต่ก็มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เนื้อจากแล็บคือเนื้อสัตว์จริงในระดับเซลล์ ในขณะที่เนื้อจากพืชเป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างขึ้นโดยใช้โปรตีนจากพืช เช่น ถั่วเหลือง ข้าวสาลี หรือเห็ด เพื่อเลียนแบบรสชาติและเนื้อสัมผัสของเนื้อสัตว์
ดังนั้น เนื้อสัตว์เพาะเลี้ยงจึงมีองค์ประกอบทางชีวภาพและสารอาหารเหมือนกับเนื้อสัตว์ทั่วไป ในขณะที่เนื้อจากพืชจะมีคุณค่าทางโภชนาการตามวัตถุดิบจากพืชที่ใช้เป็นหลัก
ภาพรวมตลาดโลก: ประเทศไหนบ้างที่อนุมัติแล้ว?
การยอมรับทางกฎหมายเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการผลักดันให้เนื้อสัตว์เพาะเลี้ยงเข้าสู่ตลาดผู้บริโภคในวงกว้าง ปัจจุบันมีเพียงไม่กี่ประเทศที่ก้าวไปถึงจุดนั้น แต่ก็ถือเป็นสัญญาณบวกที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมนี้
สิงคโปร์: ผู้บุกเบิกตลาดเนื้อสัตว์เพาะเลี้ยง
ในเดือนธันวาคม ปี 2020 สิงคโปร์ได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นประเทศแรกของโลกที่อนุมัติการจำหน่ายเนื้อไก่เพาะเลี้ยงที่ผลิตโดยบริษัท Eat Just จากสหรัฐอเมริกา ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเปิดตัวในรูปแบบนักเก็ตไก่ภายใต้แบรนด์ GOOD Meat และเริ่มวางจำหน่ายในร้านอาหารบางแห่ง การตัดสินใจของสำนักงานอาหารสิงคโปร์ (Singapore Food Agency) เกิดขึ้นหลังจากการตรวจสอบความปลอดภัยและกระบวนการผลิตอย่างเข้มงวด ซึ่งถือเป็นบรรทัดฐานสำคัญสำหรับหน่วยงานกำกับดูแลในประเทศอื่นๆ ทั่วโลก
สหรัฐอเมริกา: ก้าวสำคัญสู่การยอมรับ
ตามมาติดๆ คือสหรัฐอเมริกา ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2022 องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) ได้ออกจดหมาย “No Questions Letter” ให้กับบริษัท Upside Foods ซึ่งเป็นการยอมรับว่าเนื้อไก่เพาะเลี้ยงของบริษัทมีความปลอดภัยในการบริโภค และต่อมาก็ได้ให้การยอมรับกับบริษัท GOOD Meat เช่นกัน แม้ว่านี่จะเป็นเพียงขั้นตอนแรกของการอนุมัติ (ยังต้องผ่านการตรวจสอบโรงงานผลิตจากกระทรวงเกษตรของสหรัฐฯ หรือ USDA) แต่ก็ถือเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่และเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าตลาดที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกกำลังเปิดรับนวัตกรรมอาหารนี้
แนวโน้มในภูมิภาคอื่นๆ
นอกเหนือจากสิงคโปร์และสหรัฐอเมริกาแล้ว ประเทศอื่นๆ เช่น เนเธอร์แลนด์ อิสราเอล และญี่ปุ่น ก็มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจในด้านการวิจัยและพัฒนารวมถึงการวางกรอบกฎหมาย รัฐบาลและบริษัทเอกชนในหลายประเทศกำลังลงทุนอย่างหนักเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีและลดต้นทุนการผลิต ซึ่งคาดว่าจะทำให้การอนุมัติในภูมิภาคอื่นๆ เกิดขึ้นตามมาในอนาคตอันใกล้
สถานการณ์ในประเทศไทย: อย. ไฟเขียว! ‘เนื้อจากแล็บ’ ขายในไทยแล้ว จริงหรือ?
สำหรับประเทศไทย กระแสข่าวเกี่ยวกับการอนุมัติเนื้อจากแล็บสร้างความตื่นเต้นอย่างมาก แต่ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นทางการคือสิ่งสำคัญที่สุดในการทำความเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบัน
การตรวจสอบข้อเท็จจริงของกระแสข่าว
จากการตรวจสอบข้อมูลล่าสุด ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของประเทศไทย ที่ยืนยันว่าได้มีการอนุมัติหรือ “ไฟเขียว” ให้มีการจำหน่ายเนื้อสัตว์เพาะเลี้ยงในเชิงพาณิชย์ภายในประเทศ ข่าวลือหรือข้อมูลที่เผยแพร่ออกไปอาจเกิดจากความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน หรือเป็นการนำเสนอความคืบหน้าในต่างประเทศมาเชื่อมโยงกับตลาดไทย ดังนั้น การบริโภคข้อมูลข่าวสารในเรื่องนี้จำเป็นต้องอาศัยการยืนยันจากแหล่งข่าวที่เป็นหน่วยงานภาครัฐโดยตรง
บทบาทและกระบวนการพิจารณาของ อย. ไทย
หากมีการยื่นขออนุมัติผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์เพาะเลี้ยงในประเทศไทย อย. จะมีบทบาทสำคัญในการประเมินและกำกับดูแลเพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุดต่อผู้บริโภค กระบวนการพิจารณาโดยทั่วไปจะครอบคลุมหลายมิติ เช่น:
- ความปลอดภัยของอาหาร: การประเมินความปลอดภัยของเซลล์ที่ใช้ สารอาหารเลี้ยงเซลล์ และผลิตภัณฑ์สุดท้าย ว่าไม่มีสารปนเปื้อนหรือสารพิษที่เป็นอันตราย
- กระบวนการผลิต: การตรวจสอบมาตรฐานของโรงงานและกระบวนการผลิตว่ามีความสะอาด ถูกสุขลักษณะ และสามารถผลิตสินค้าที่มีคุณภาพสม่ำเสมอหรือไม่
- ข้อมูลทางโภชนาการ: การวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการของผลิตภัณฑ์ว่าสอดคล้องกับเนื้อสัตว์ทั่วไปหรือไม่
- การติดฉลาก: การกำหนดข้อบังคับในการติดฉลากเพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ผู้บริโภค สามารถแยกแยะได้จากเนื้อสัตว์แบบดั้งเดิม
กระบวนการเหล่านี้ต้องใช้เวลาและการพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกภาคส่วน
ศักยภาพของผู้ประกอบการไทย
แม้จะยังไม่มีการอนุมัติอย่างเป็นทางการ แต่ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพและอาหาร มีสถาบันวิจัยและมหาวิทยาลัยหลายแห่งที่มีความสามารถในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเซลล์เพาะเลี้ยง นอกจากนี้ บริษัทอาหารขนาดใหญ่ของไทยหลายแห่งก็เริ่มให้ความสนใจและลงทุนในเทคโนโลยีอาหารแห่งอนาคต ซึ่งอาจรวมถึงเนื้อสัตว์เพาะเลี้ยงด้วยเช่นกัน หากมีกรอบกฎหมายที่ชัดเจนในอนาคต ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะเห็นผู้ประกอบการไทยเข้ามามีบทบาทในตลาดนี้
เปรียบเทียบเนื้อสัตว์ 3 ประเภท
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ตารางด้านล่างนี้เปรียบเทียบคุณลักษณะสำคัญระหว่างเนื้อสัตว์แบบดั้งเดิม เนื้อสัตว์จากพืช และเนื้อสัตว์เพาะเลี้ยง
คุณลักษณะ | เนื้อสัตว์แบบดั้งเดิม | เนื้อสัตว์จากพืช (Plant-Based) | เนื้อสัตว์เพาะเลี้ยง (Cultured Meat) |
---|---|---|---|
แหล่งที่มา | การทำปศุสัตว์, การเลี้ยงสัตว์ | โปรตีนจากพืช (ถั่วเหลือง, เห็ด, ธัญพืช) | การเพาะเลี้ยงเซลล์สัตว์ในห้องปฏิบัติการ |
องค์ประกอบ | เนื้อเยื่อสัตว์ (กล้ามเนื้อ, ไขมัน) | โปรตีนพืช, ไขมันพืช, สารปรุงแต่ง | เนื้อเยื่อสัตว์ (กล้ามเนื้อ, ไขมัน) ที่เพาะเลี้ยงขึ้น |
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม | สูง (ใช้ที่ดิน, น้ำ, ปล่อยก๊าซเรือนกระจก) | ต่ำกว่าเนื้อสัตว์ดั้งเดิมอย่างมีนัยสำคัญ | คาดว่าต่ำกว่าเนื้อสัตว์ดั้งเดิมอย่างมีนัยสำคัญ |
สวัสดิภาพสัตว์ | เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงและเชือดสัตว์ | ไม่เกี่ยวข้องกับสัตว์โดยตรง | ไม่เกี่ยวข้องกับการเชือดสัตว์ (ใช้เพียงเซลล์เริ่มต้น) |
ต้นทุนปัจจุบัน | ต่ำถึงปานกลาง | ปานกลางถึงสูง | สูงมาก (แต่มีแนวโน้มลดลง) |
ประโยชน์และความท้าทายของเนื้อสัตว์เพาะเลี้ยง
เช่นเดียวกับเทคโนโลยีใหม่ๆ เนื้อสัตว์เพาะเลี้ยงมีทั้งศักยภาพที่น่าทึ่งและอุปสรรคที่ต้องเผชิญ
ข้อดีและศักยภาพในอนาคต
- ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม: การผลิตเนื้อสัตว์เพาะเลี้ยงคาดว่าจะใช้ที่ดินและน้ำน้อยกว่าการทำปศุสัตว์แบบดั้งเดิมอย่างมหาศาล และปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่า ซึ่งช่วยลดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
- ความมั่นคงทางอาหาร: สามารถผลิตอาหารได้ทุกที่ที่มีห้องปฏิบัติการ โดยไม่ขึ้นกับสภาพอากาศ ฤดูกาล หรือการระบาดของโรคในสัตว์ ทำให้เป็นแหล่งโปรตีนที่มั่นคงและคาดการณ์ได้
- ความปลอดภัยและสุขอนามัย: การผลิตในสภาพแวดล้อมที่ปลอดเชื้อและควบคุมได้ ช่วยลดความเสี่ยงของการปนเปื้อนจากเชื้อโรค เช่น E. coli หรือ Salmonella และไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะหรือฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต
- สวัสดิภาพสัตว์: กระบวนการผลิตไม่จำเป็นต้องมีการเลี้ยงสัตว์ในระบบฟาร์มอุตสาหกรรมหรือการเชือดสัตว์ ซึ่งตอบสนองต่อความกังวลด้านจริยธรรมของผู้บริโภคจำนวนมาก
ความท้าทายและอุปสรรคที่ต้องก้าวข้าม
- ต้นทุนการผลิต: ปัจจุบันต้นทุนการผลิตยังสูงมาก โดยเฉพาะค่าสารอาหารเลี้ยงเซลล์และค่าใช้จ่ายในการสร้างโรงงานขนาดใหญ่ ทำให้ราคาจำหน่ายยังไม่สามารถแข่งขันกับเนื้อสัตว์ทั่วไปได้
- การเพิ่มกำลังการผลิต (Scaling Up): การเปลี่ยนจากการผลิตในห้องทดลองไปสู่ระดับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้นั้นเป็นความท้าทายทางวิศวกรรมที่ซับซ้อน
- การยอมรับของผู้บริโภค: ยังมีคำถามและความลังเลในหมู่ผู้บริโภคเกี่ยวกับความเป็นธรรมชาติ ความปลอดภัย และรสชาติของผลิตภัณฑ์ การสร้างความเข้าใจและความไว้วางใจจึงเป็นสิ่งสำคัญ
- กฎระเบียบและมาตรฐาน: การขาดกรอบกฎหมายที่ชัดเจนในหลายประเทศเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนและการวางแผนธุรกิจในระยะยาว
บทสรุป: ก้าวต่อไปของเนื้อจากแล็บในประเทศไทย
เนื้อสัตว์เพาะเลี้ยง หรือ “เนื้อจากแล็บ” คือนวัตกรรมที่มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงระบบอาหารของโลกอย่างแท้จริง ด้วยประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อม ความมั่นคงทางอาหาร และสวัสดิภาพสัตว์ แม้ว่าประเทศผู้นำอย่างสิงคโปร์และสหรัฐอเมริกาจะได้เริ่มกระบวนการอนุมัติไปแล้ว แต่สำหรับประเทศไทย สถานะของผลิตภัณฑ์นี้ยังอยู่ในขั้นตอนที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
ข่าวที่ว่า อย. ไฟเขียว! ‘เนื้อจากแล็บ’ ขายในไทยแล้ว นั้น ยังไม่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการ และยังคงเป็นเรื่องของอนาคตที่ต้องรอการประกาศจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องโดยตรง การสร้างกรอบกฎหมายที่รัดกุม การสื่อสารข้อมูลที่โปร่งใส และการสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย จะเป็นกุญแจสำคัญที่จะปลดล็อกศักยภาพของอาหารแห่งอนาคตนี้ในตลาดประเทศไทย ดังนั้น การติดตามประกาศอย่างเป็นทางการจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและเตรียมพร้อมสำหรับก้าวต่อไปของอุตสาหกรรมอาหารไทย