จ้องจอนานระวัง! ภาวะตาเบิร์นเอาท์ ภัยเงียบยุคดิจิทัล

สารบัญ

ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน การทำงานและการใช้ชีวิตของผู้คนจำนวนมากต้องพึ่งพาหน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก สิ่งนี้ได้นำมาซึ่งความท้าทายใหม่ต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุขภาพดวงตา ซึ่งเป็นอวัยวะที่ต้องทำงานหนักอย่างต่อเนื่อง

ภาพรวมของภาวะตาเบิร์นเอาท์

ประเด็นสำคัญที่ควรทราบเกี่ยวกับภาวะตาเบิร์นเอาท์และผลกระทบต่อสุขภาพในยุคดิจิทัลมีดังนี้:

  • สาเหตุหลัก: เกิดจากการใช้สายตาจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตเป็นระยะเวลานานติดต่อกัน ทำให้ดวงตาทำงานหนักเกินไป
  • กลุ่มอาการที่เกี่ยวข้อง: มักแสดงออกผ่านกลุ่มอาการที่เรียกว่า Computer Vision Syndrome (CVS) ซึ่งรวมถึงอาการตาล้า ตาแห้ง แสบตา และอาจลุกลามไปถึงอาการปวดศีรษะและปวดเมื่อยกล้ามเนื้อคอ บ่า ไหล่
  • ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ: แสงสีฟ้า (Blue Light) ที่ปล่อยออกมาจากหน้าจออุปกรณ์ดิจิทัลเป็นปัจจัยสำคัญที่สามารถทำลายเซลล์จอประสาทตาในระยะยาว และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคจอประสาทตาเสื่อม
  • ความเชื่อมโยงกับสุขภาพจิต: อาการทางกายภาพของภาวะตาเบิร์นเอาท์อาจมีความสัมพันธ์กับภาวะหมดไฟ (Burnout Syndrome) ซึ่งเป็นภาวะความเครียดทางจิตใจจากการทำงานหนัก ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งร่างกายและจิตใจ
  • แนวทางการป้องกัน: การป้องกันสามารถทำได้โดยการปรับพฤติกรรมการใช้หน้าจอ การจัดสภาพแวดล้อมในการทำงานให้เหมาะสม และการเสริมสร้างสุขภาพตาจากภายในด้วยโภชนาการที่ถูกต้อง

การทำความเข้าใจถึงภัยเงียบนี้จึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการดูแลและถนอมดวงตาให้มีสุขภาพดี สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพในระยะยาว

เมื่อต้อง จ้องจอนานระวัง! ภาวะตาเบิร์นเอาท์ ภัยเงียบยุคดิจิทัล อาจเป็นคำเตือนที่หลายคนมองข้าม แต่ในความเป็นจริงแล้ว นี่คือสภาวะที่กำลังส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนทำงานในยุคปัจจุบันอย่างกว้างขวาง ภาวะตาเบิร์นเอาท์ไม่ได้หมายถึงแค่ความรู้สึกเหนื่อยล้าของดวงตา แต่เป็นกลุ่มอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นกับดวงตาและร่างกายส่วนอื่นๆ อันเป็นผลโดยตรงจากการใช้งานอุปกรณ์ดิจิทัลอย่างหนักหน่วงและต่อเนื่อง ภาวะนี้ถือเป็นภัยเงียบเพราะอาการมักเริ่มต้นเพียงเล็กน้อยและค่อยๆ สะสมความรุนแรงขึ้น จนอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงกว่าในอนาคตได้ การตระหนักถึงความเสี่ยงและทำความเข้าใจสาเหตุจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคนที่ใช้ชีวิตในโลกดิจิทัล

ทำความเข้าใจภาวะตาเบิร์นเอาท์: ทำไมจึงเป็นภัยคุกคามในยุคดิจิทัล

ในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี การใช้หน้าจอไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นความจำเป็นในการทำงาน การเรียนรู้ และการสื่อสาร การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตนี้ทำให้ดวงตาของมนุษย์ต้องปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่ไม่เคยเผชิญมาก่อนในประวัติศาสตร์ ภาวะตาเบิร์นเอาท์จึงเกิดขึ้นในฐานะผลกระทบโดยตรงของวิถีชีวิตสมัยใหม่นี้ มันไม่ใช่โรคที่เกิดขึ้นฉับพลัน แต่เป็นภาวะที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นจากการสะสมความตึงเครียดของกล้ามเนื้อตาและการสัมผัสกับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ความน่ากังวลของภาวะนี้คือการที่อาการเริ่มต้นมักถูกละเลย เพราะผู้คนส่วนใหญ่มองว่าเป็นเพียงความเหนื่อยล้าชั่วคราวจากการทำงาน แต่แท้จริงแล้วมันคือสัญญาณเตือนจากร่างกายว่าดวงตากำลังถูกใช้งานหนักเกินขีดจำกัด

ใครคือกลุ่มเสี่ยงหลัก

แม้ว่าทุกคนที่ใช้อุปกรณ์ดิจิทัลจะมีความเสี่ยง แต่มีบางกลุ่มที่เผชิญกับความเสี่ยงสูงกว่าปกติอย่างมีนัยสำคัญ ข้อมูลจากการวิจัยชี้ให้เห็นว่ากลุ่มคนทำงานออฟฟิศที่ต้องใช้เวลาอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์มากกว่า 70% ของเวลาทำงานทั้งหมด คือกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงสุดต่อการเกิดภาวะตาเบิร์นเอาท์ นอกจากนี้ ปัจจัยด้านอายุก็มีส่วนสำคัญ โดยพบว่าผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น เนื่องจากความสามารถในการปรับโฟกัสของเลนส์ตาเริ่มลดลงตามธรรมชาติ ทำให้ดวงตาต้องทำงานหนักขึ้นเมื่อต้องจ้องมองวัตถุในระยะใกล้เป็นเวลานาน ประกอบกับความเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามวัย ยิ่งทำให้ดวงตาเปราะบางต่อผลกระทบจากแสงสีฟ้าและการใช้งานที่หนักหน่วงมากขึ้น

ความสำคัญของการตระหนักรู้และป้องกัน

การเพิกเฉยต่อสัญญาณเตือนของภาวะตาเบิร์นเอาท์อาจนำไปสู่ผลกระทบที่รุนแรงกว่าที่คาดคิดในระยะยาว ไม่เพียงแต่จะลดทอนประสิทธิภาพในการทำงานและคุณภาพชีวิตประจำวัน แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคตาที่ร้ายแรง เช่น โรคจอประสาทตาเสื่อม ซึ่งอาจทำให้สูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้ ดังนั้น การสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับภาวะนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง การเรียนรู้วิธีป้องกันและดูแลสุขภาพดวงตาอย่างถูกวิธีไม่ได้เป็นเพียงการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ แต่เป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพในระยะยาว ช่วยให้สามารถใช้ชีวิตและทำงานในยุคดิจิทัลได้อย่างมีความสุขและยั่งยืน โดยไม่ต้องแลกมาด้วยสุขภาพของดวงตาซึ่งเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง

Computer Vision Syndrome (CVS): อาการเริ่มต้นของภาวะตาเบิร์นเอาท์

ก่อนที่ภาวะตาเบิร์นเอาท์จะแสดงอาการรุนแรง มันมักจะเริ่มต้นด้วยกลุ่มอาการที่ทางการแพทย์เรียกว่า Computer Vision Syndrome (CVS) ซึ่งเป็นคำที่ใช้อธิบายถึงปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับดวงตาและการมองเห็น อันเป็นผลมาจากการจ้องมองหน้าจอดิจิทัลเป็นเวลานาน CVS ไม่ใช่โรคเดียว แต่เป็นกลุ่มของอาการที่เกิดขึ้นร่วมกัน ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนแรกๆ ว่าดวงตากำลังเผชิญกับภาระที่หนักเกินไป

นิยามและอาการที่พบบ่อย

Computer Vision Syndrome คือกลุ่มอาการที่เกิดจากการที่ดวงตาและสมองต้องทำงานประสานกันอย่างหนักเพื่อประมวลผลภาพบนหน้าจอ ซึ่งแตกต่างจากการอ่านหนังสือบนกระดาษ ตัวอักษรบนหน้าจอมีความคมชัดน้อยกว่า มีคอนทราสต์ที่ต่ำกว่า และอาจได้รับผลกระทบจากแสงสะท้อนและแสงจ้า ทำให้กล้ามเนื้อตาต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อปรับโฟกัสอย่างต่อเนื่อง อาการที่พบบ่อยของ CVS ได้แก่:

  • ตาล้า (Eye Strain): เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุด รู้สึกปวดกระบอกตา เมื่อยล้าดวงตา หรือรู้สึกหนักๆ ที่เปลือกตา
  • ตาแห้ง (Dry Eyes): เกิดจากการที่อัตราการกะพริบตาลดลงขณะจ้องหน้าจอ ทำให้ฟิล์มน้ำตาที่เคลือบผิวตาอยู่ระเหยไปเร็วกว่าปกติ ส่งผลให้รู้สึกแสบตา เคืองตา เหมือนมีฝุ่นอยู่ในตา
  • แสบตาและตาแดง: เป็นผลต่อเนื่องมาจากอาการตาแห้ง เมื่อผิวตาขาดความชุ่มชื้นจะเกิดการระคายเคืองและอักเสบได้ง่าย
  • แพ้แสงหรือสู้แสงไม่ได้ (Light Sensitivity): ดวงตาจะไวต่อแสงมากกว่าปกติ ทำให้รู้สึกไม่สบายตาเมื่ออยู่ในที่ที่มีแสงสว่างจ้า
  • มองเห็นภาพซ้อนหรือภาพเบลอ: กล้ามเนื้อตาที่อ่อนล้าจากการเพ่งเป็นเวลานาน อาจทำให้ความสามารถในการโฟกัสลดลงชั่วคราว
  • ปวดศีรษะ: ความตึงเครียดของกล้ามเนื้อรอบดวงตาและหน้าผากสามารถส่งผลให้เกิดอาการปวดศีรษะ โดยเฉพาะบริเวณขมับและหน้าผาก

ความเชื่อมโยงกับพฤติกรรมการทำงาน

ความรุนแรงของอาการ CVS มีความสัมพันธ์โดยตรงกับระยะเวลาและลักษณะของการใช้หน้าจอ จากข้อมูลพบว่าผู้ที่ใช้เวลามากกว่า 70% ของชั่วโมงทำงานไปกับการจ้องหน้าจอมีความเสี่ยงสูงที่จะเผชิญกับอาการเหล่านี้ พฤติกรรมต่างๆ เช่น การนั่งทำงานในท่าที่ไม่เหมาะสม การจัดวางหน้าจอคอมพิวเตอร์ในระดับความสูงหรือระยะห่างที่ไม่ถูกต้อง และการทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีแสงสว่างไม่เพียงพอหรือมีแสงสะท้อนมากเกินไป ล้วนเป็นปัจจัยที่ซ้ำเติมให้อาการ CVS รุนแรงขึ้นได้

ผลกระทบต่อร่างกายส่วนอื่น: จากดวงตาสู่ออฟฟิศซินโดรม

ปัญหาไม่ได้จำกัดอยู่แค่ที่ดวงตาเท่านั้น อาการของ CVS มักจะเกิดขึ้นควบคู่ไปกับอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆ โดยเฉพาะบริเวณคอ บ่า และไหล่ ซึ่งเป็นอาการคลาสสิกของ ออฟฟิศซินโดรม สาเหตุเกิดจากการที่ผู้ใช้งานมักจะยื่นศีรษะและคอไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัวเพื่อมองหน้าจอให้ชัดขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าวต้องทำงานหนักเพื่อรับน้ำหนักศีรษะที่อยู่ในตำแหน่งผิดปกติเป็นเวลานาน ความเชื่อมโยงนี้แสดงให้เห็นว่าภาวะตาเบิร์นเอาท์ไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะจุด แต่เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาสุขภาพองค์รวมที่เกิดจากวิถีการทำงานในยุคดิจิทัล

แสงสีฟ้า (Blue Light): ตัวการทำลายสุขภาพดวงตา

แสงสีฟ้า (Blue Light): ตัวการทำลายสุขภาพดวงตา

นอกเหนือจากความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อตาแล้ว อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ภาวะตาเบิร์นเอาท์เป็นภัยคุกคามที่น่ากังวลคือ แสงสีฟ้า (Blue Light) ซึ่งเป็นคลื่นแสงพลังงานสูงที่ปล่อยออกมาจากหน้าจอของอุปกรณ์ดิจิทัลทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ต การได้รับแสงสีฟ้าในปริมาณมากและเป็นเวลานานต่อเนื่องกันสามารถสร้างความเสียหายต่อดวงตาได้ในระดับเซลล์

แสงสีฟ้าคืออะไร และมาจากไหน

แสงสีฟ้าเป็นส่วนหนึ่งของสเปกตรัมแสงที่มองเห็นได้ (Visible Light Spectrum) ซึ่งมีอยู่ตามธรรมชาติในแสงแดด แต่แหล่งกำเนิดแสงสีฟ้าที่มนุษย์สัมผัสอย่างใกล้ชิดและยาวนานที่สุดในยุคปัจจุบันคือหน้าจอ LED ของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แสงสีฟ้ามีคุณสมบัติเป็นคลื่นแสงที่สั้นแต่มีพลังงานสูง ทำให้มันสามารถทะลุผ่านกระจกตาและเลนส์ตาเข้าไปได้ลึกจนถึงจอประสาทตา (Retina) ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อที่ไวต่อแสงและทำหน้าที่สำคัญในการมองเห็น

กลไกการทำลายเซลล์จอประสาทตา

ปัญหาหลักของแสงสีฟ้าอยู่ที่พลังงานสูงของมัน จากข้อมูลของจักษุแพทย์ นพ.ธีรวีร์ หงส์หยก ได้อธิบายกลไกที่น่ากังวลไว้ว่า พลังงานจากแสงสีฟ้าสามารถกระตุ้นให้เกิดการสร้างสารที่เรียกว่า อนุมูลอิสระ (Free Radicals) ขึ้นภายในเซลล์ของจอประสาทตา อนุมูลอิสระเหล่านี้เป็นโมเลกุลที่ไม่เสถียรและมีความว่องไวในการทำปฏิกิริยาสูง มันจะเข้าไปทำลายองค์ประกอบสำคัญต่างๆ ภายในเซลล์ เช่น โปรตีน ไขมัน และ DNA ซึ่งกระบวนการนี้เรียกว่า Oxidative Stress หรือความเครียดออกซิเดชัน

แสงสีฟ้าจากหน้าจออุปกรณ์ดิจิทัลมีพลังงานสูงและสามารถสร้างอนุมูลอิสระในเซลล์จอประสาทตา ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เซลล์ค่อยๆ เสื่อมสภาพและตายไปในที่สุด หากไม่ได้รับการป้องกันอย่างเหมาะสม

เมื่อเซลล์จอประสาทตาถูกทำลายอย่างต่อเนื่องจากอนุมูลอิสระ มันจะค่อยๆ เสื่อมสภาพและตายไป ซึ่งเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ และไม่สามารถย้อนกลับได้ การสูญเสียเซลล์เหล่านี้จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการมองเห็น

ความเสี่ยงระยะยาว: โรคจอประสาทตาเสื่อม

ผลกระทบที่น่ากลัวที่สุดในระยะยาวจากการสัมผัสแสงสีฟ้าเป็นเวลานาน คือการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิด โรคจอประสาทตาเสื่อมตามวัย (Age-Related Macular Degeneration หรือ AMD) ให้เร็วขึ้นกว่าปกติ โรคนี้เป็นสาเหตุสำคัญของการสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรในผู้สูงอายุ โดยจะทำให้การมองเห็นส่วนกลางของภาพมืดลงหรือบิดเบี้ยวไป แม้ว่าโดยปกติแล้วโรคนี้จะสัมพันธ์กับอายุที่มากขึ้น แต่พฤติกรรมการใช้หน้าจอที่หนักหน่วงตั้งแต่อายุยังน้อยอาจเป็นตัวเร่งให้กระบวนการเสื่อมของจอประสาทตาเกิดขึ้นเร็วกว่าที่ควรจะเป็น นี่จึงเป็นเหตุผลที่การป้องกันดวงตาจากแสงสีฟ้าจึงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แต่เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรักษาสุขภาพการมองเห็นไว้ในระยะยาว

ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะตาเบิร์นเอาท์และภาวะหมดไฟ

แม้ว่าคำว่า “ภาวะตาเบิร์นเอาท์” จะเน้นไปที่ผลกระทบทางกายภาพต่อดวงตา แต่ก็มีความเชื่อมโยงที่น่าสนใจกับ ภาวะหมดไฟ (Burnout Syndrome) ซึ่งเป็นภาวะความอ่อนล้าทางอารมณ์และจิตใจที่เกิดจากความเครียดเรื้อรังในการทำงาน ปัญหาทั้งสองอย่างนี้มักเกิดขึ้นในบริบทเดียวกัน คือสภาพแวดล้อมการทำงานที่เรียกร้องสูงและต้องใช้เทคโนโลยีอย่างเข้มข้น และบ่อยครั้งที่อาการของทั้งสองภาวะนี้เกิดขึ้นพร้อมกันและส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน

เมื่อความเครียดทางจิตใจส่งผลต่อร่างกาย

ภาวะหมดไฟทางจิตใจไม่ได้จำกัดผลกระทบอยู่แค่ในด้านอารมณ์และความรู้สึกเท่านั้น ความเครียดสะสม ความวิตกกังวล และความรู้สึกเหนื่อยล้าทางพลังใจสามารถแสดงออกผ่านอาการทางกายภาพได้หลากหลายรูปแบบ อาการปวดศีรษะและอาการอ่อนเพลียที่ตา ซึ่งเป็นอาการเด่นของ Computer Vision Syndrome ก็อาจเป็นหนึ่งในอาการที่สะท้อนถึงความเครียดที่เกิดจากภาวะหมดไฟได้เช่นกัน เมื่อจิตใจเหนื่อยล้า ร่างกายก็มักจะอ่อนแอลง ความทนทานต่อความเมื่อยล้าทางสายตาก็ลดลง ทำให้รู้สึกว่าอาการตาล้า ปวดตา เกิดขึ้นได้ง่ายและรุนแรงกว่าปกติ ในทางกลับกัน เมื่อต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการทางกายภาพ เช่น ปวดตา ปวดศีรษะเรื้อรัง ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจ ทำให้รู้สึกหงุดหงิดง่าย ไม่มีสมาธิ และอาจนำไปสู่ความรู้สึกหมดไฟในการทำงานได้ง่ายขึ้นเช่นกัน

ตารางเปรียบเทียบอาการที่อาจพบร่วมกันระหว่างภาวะตาเบิร์นเอาท์ (CVS) และภาวะหมดไฟ (Burnout Syndrome)
ลักษณะอาการ ภาวะตาเบิร์นเอาท์ (CVS) ภาวะหมดไฟ (Burnout Syndrome)
ปวดศีรษะ ✔️ (เกิดจากความตึงเครียดของกล้ามเนื้อตา) ✔️ (เกิดจากความเครียดทางจิตใจ)
อ่อนเพลีย/เหนื่อยล้า ✔️ (รู้สึกอ่อนเพลียที่ดวงตา) ✔️ (รู้สึกอ่อนล้าทั้งทางร่างกายและจิตใจ)
ประสิทธิภาพการทำงานลดลง ✔️ (เกิดจากปัญหาสายตา เช่น มองไม่ชัด) ✔️ (เกิดจากการขาดแรงจูงใจและสมาธิ)
ปวดเมื่อยร่างกาย ✔️ (ปวดคอ บ่า ไหล่ จากท่าทาง) ✔️ (อาจเกิดจากความเครียดสะสมในกล้ามเนื้อ)
ตาล้า / ตาแห้ง ✔️ (อาการหลัก) ❌ (ไม่ใช่อาการโดยตรง)
รู้สึกเหนื่อยล้าทางอารมณ์ ❌ (ไม่ใช่อาการโดยตรง) ✔️ (อาการหลัก)

จากตารางจะเห็นได้ว่ามีอาการหลายอย่างที่ทับซ้อนกัน การดูแลสุขภาพจึงต้องมองอย่างเป็นองค์รวม การจัดการกับความเครียดทางจิตใจ การจัดสมดุลระหว่างการทำงานและการพักผ่อน จึงไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันภาวะหมดไฟเท่านั้น แต่ยังอาจช่วยบรรเทาความรุนแรงของอาการทางกายภาพที่เกี่ยวข้องกับภาวะตาเบิร์นเอาท์ได้อีกด้วย

แนวทางการป้องกันและดูแลสุขภาพตาในยุคดิจิทัล

ข่าวดีคือภาวะตาเบิร์นเอาท์และอาการ Computer Vision Syndrome สามารถป้องกันและบรรเทาได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพดวงตา การดูแลดวงตาไม่ได้เป็นเรื่องซับซ้อน แต่ต้องอาศัยความสม่ำเสมอและความใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้สายตา

หัวใจสำคัญของการป้องกันคือการลดภาระการทำงานของดวงตา การปรับพฤติกรรมเป็นวิธีที่ง่ายและได้ผลดีที่สุดในการเริ่มต้นดูแลสุขภาพตา:

  • พักสายตาอย่างสม่ำเสมอ: ควรมีการหยุดพักสายตาจากหน้าจอทุกๆ 20-30 นาที โดยการมองออกไปไกลๆ หรือหลับตาสักครู่เพื่อให้กล้ามเนื้อตาได้ผ่อนคลาย
  • กะพริบตาให้บ่อยขึ้น: ขณะทำงานหน้าจอ คนเรามักจะกะพริบตาน้อยลงโดยไม่รู้ตัว ควรฝึกตัวเองให้กะพริบตาบ่อยขึ้นเพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิวตา หรืออาจใช้น้ำตาเทียมเพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นเมื่อรู้สึกตาแห้ง
  • ปรับขนาดตัวอักษร: ตั้งค่าขนาดตัวอักษรบนหน้าจอให้อ่านง่ายและสบายตา ไม่ต้องเพ่งหรือยื่นหน้าเข้าไปใกล้จอ
  • ลดการใช้หน้าจอที่ไม่จำเป็น: พยายามหากิจกรรมอื่นทำในช่วงเวลาพักผ่อนแทนการไถสมาร์ทโฟน เพื่อให้ดวงตาได้พักจากการจ้องหน้าจออย่างแท้จริง

โภชนาการเพื่อดวงตา: เสริมเกราะป้องกันจากภายใน

นอกจากการดูแลจากภายนอกแล้ว การบำรุงสุขภาพตาจากภายในก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ตามคำแนะนำของ ผศ.ดร.เอกราช บำรุงพืชน์ การรับประทานสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อดวงตาจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของเซลล์จอประสาท